เอนทรี่นี้เกิดขึ้นเพราะความแรนด้อมล้วนๆ เลยแหละ
เรื่องมีอยู่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มหางานของเราหลังจากวุ่นวายกับบ่วงช่วงมหาลัย (เอาจริงๆ ตอนนี้บ่วงนั้นก็ยังไม่หลุดนะ เรายังไม่ได้ไปเอาของออกจากล็อกเกอร์ที่มหาลัย…ฮ่าๆ ขอโทษ ผิดไปแล้ว ยังกลับไปว่ายน้ำที่มหาลัยอยู่ สรุปคือแกยังตัดเราไม่ขาดหรอกต่อให้บัตรนิสิตจะหมดอายุแล้วก็ตาม!) อะ กลับเข้าเรื่อง แล้วไปเจอบริษัทหนึ่งรับสมัครหางาน พอเห็นที่อยู่ออฟฟิศแล้วก็คงไม่ไปทำเพราะไกลบ้าน แต่โลโก้บริษัทน่ารักดี ตัว m ในชื่อของบริษัทเขียนด้วยเลข 3 มุมหมุนทวนเข็มนาฬิกา 90 องศา…เอาง่ายๆ ก็คือพลิกเลขสามให้เป็นตัว m นั้นแหละ เอ้อ พูดยากทำไม
มันก็ไม่แปลกใช่มั้ย หลายๆ คนอาจจะคุ้นกับมุขที่เวลาเราเบื่อๆ ในห้องเรียนวิชาเลขช่วงมอปลายแล้วหยิบเครื่องคิดเลขสแตทมากดเป็นเลข 2003 แล้วพลิกให้มันอ่านเป็นคำว่า Moon แบบแนวตั้งได้
เฮ้ยแอน แค่เลข 3 นี่ถึงกับต้องกลับมาเขียนเลยหรอ
ฮ่าๆ เขียน! เอดจ่อก! เรากับเลข 3 มันมีอะไรมากกว่านั้น พูดเลย และนี่ไม่ใช่แค่พูดพล่อยๆ แค่เพราะเราเคยอ่านการ์ตูนรีบอร์น ชอบตัวละครตัวนึงที่ชื่อออกเสียงเป็นเลข 3 ภาษาญี่ปุ่นเลยชอบเลขนั้น ไม่! เรามีประวัติกับมันยาวกว่านั้น
เข้าเรื่องเลยละกัน (เดี๋ยวๆ นี่คือยังไม่เข้าเรื่อง? 555) หลายปีก่อนตอนที่เราอยู่ประถม…ก็ 10 ปีแล้วมั้ย? โห น่าตื่นเต้นเนอะ นี่เราแก่พอจะพูดอะไรถึงระดับทศวรรษที่ผ่านมาอะไรแบบนี้แล้วนะ สุดยอด อ้ะ กลับเข้าเรื่อง ตอนเราอยู่ประถมที่โรงเรียนมีนิทรรศการวันวิชาการที่โรงเรียน–ก็ประมาณว่าให้ทุกภาคในโรงเรียน อังกฤษ ภาษาไทย วิทย์ คณิต ศิลปะ จัดห้องนิทรรศการของตัวเอง ทำกิจกรรม ให้เด็กๆ มีสมุดทัวร์เล่มหนึ่งที่ต้องไปทำกิจกรรมตามฐานห้องต่างๆ แล้วจะได้ตัวปั๊ม ถ้าใครได้ครบจะได้เกียรติบัตร
เกียรติบัตร
ถ้าโลกนี้ประดิษฐ์เครื่องเดินทางข้ามเวลาได้กูจะกลับไปบอกตัวเองตอน 10 ปีก่อนว่า เออ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก ตั้งแต่มีชีวิตมายังไม่เคยเอาเกียรติบัตรไปทำอะไรเลย!! เกียรติบัตรเดียวที่ส่งผลกับชีวิตเราจริงๆ ไม่ใช่เพราะได้เกรด 4 ไม่ใช่เพราะมารยาทงาม แต่เป็นเกียรติบัตรฉลองที่ทำโครงการรักการอ่านสำเร็จแล้วได้กินพิซซ่าฟรี นี่พูดเลยนะ รักการอ่านได้เพราะพิซซ่าจริงๆ 555
อะ กลับเข้าเรื่อง ไม่ได้จะพูดเรื่องเกียรติบัตรน่า วันนี้จะมาพูดถึงนิทรรศการฐานของวิชา…ศิลปะ
ถ้าคนอื่น judge จากตัวเราตอนนี้คงจะคาดหวังว่าเราตอนเด็กคงพูดว่า “man, I love art!”
แต่ไม่
เราเกลียดวิชาศิลปะตอนเด็กมาก ถึงจะชอบวาดรูปแต่นึกสภาพ ทฤษฎี อะกูทำตามไม่ได้ โจทย์ที่ให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ ความตั้งใจของเราลงในช่องคะแนนต่างๆ…เกลียดมาก ทุกวันนี้เราก็ยังให้คะแนนงานสร้างสรรค์ไม่ได้ นึกออกมั้ย สมมติมีคนยื่นรูปโมนาลิซ่าให้แกแล้วบอกว่า อะ ไหนให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ดาวินชีสิ แกจะให้ยังไงอะ? รูปผู้หญิงที่นั่งยิ้มอย่างมีนัยรูปนี้สร้างสรรค์แค่ไหนจากสเกล 1 ถึง 10?
แล้วเปเปอร์มาเช่เป็ดกระดาษตอนเราอยู่ประถมที่ได้เกรด 2.5 มันไม่สร้างสรรค์หรอ!! ตอบ!!
(แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นเป็ดก็ฉ่ำลาเท็กซ์มากน่ะนะ…)
อะ กลับมาที่นิทรรศการห้องนี้ วันนี้ของทุกๆ ปีจะเป็นวันที่เด็กเยอะมาก จินตนาการเด็กตัวน้อยทั้งโรงเรียนพยายามทำกิจกรรมเพื่อให้ได้กระดาษแผ่นนึงที่บอกว่า เฮ้ย มึง เด็กอายุ 10 ขวบต้นๆ คนนี้เข้าห้องนิทรรศการครบทุกห้องนะ เย่!! สรุปคือคนเยอะมาก สำหรับเด็กแล้วระยะเวลาที่ยืนรอเข้าคิวทำกิจกรรมตอนนั้นเหมือนเป็นวันเลยนะ ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะแค่สิบยี่สิบนาที ไม่รู้สิ แต่ตอนนั้นมันนานมากๆ
ฐานศิลปะตอนนั้นก็ง่ายมาก คนคุมฐานที่เป็นครูยื่นกระดาษที่มีเลขมาให้แล้วให้เด็กที่เข้าฐานวาดรูปต่อโดยใช้ “ความสร้างสรรค์” (–กลอกตาแรง) จะผ่านไม่ผ่านขึ้นอยู่กับครูคนนั้น เราเข้าคิวนานมาก จนกระทั่งพอถึงคิวเรา
เราได้เลข 3
อะแอนมึง จัดการ วาดรูป ใช้ความสร้างสรรค์ทั้งหมดที่มี วาดลงไป!! วาดไปเลย! เลข 3 หรอ วาดอะไรดี หัวใจมั้ย? ก้นหรอ? เออ…มันจะกราฟฟิคเกินไปสำหรับเด็กมั้ย จะโดนครูใหญ่เรียกมั้ย (แต่ชินจังยังไม่เห็นมีใครว่าเลย 555)
สรุปเราตอนอายุ 10 กว่าๆ ก็ยื่นมือน้อยๆ ไปจับกระดาษ แล้วก็ค่อยๆ พลิกมันเป็นแนวนอน เงยหน้าหาครูคนนั้นแล้วก็บอกว่า
“ภูเขา”ใช่มั้ยอะ เลข 3 ที่พลิกไปเหมือนตัว m มันก็เป็นรูปภูเขามั้ยอะ
โจทย์ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ต้องทำอะไรกับมันก็ได้ แค่บอกว่าใช้ความคิดสร้างสรรค์กับเลขพวกนี้
ก็ในเมื่อมันสร้างสรรค์แล้วไม่ต้องออกแรงมาก…ก็ภูเขามั้ยอะ
แต่เหมือนมันจะไม่ได้ผลมั้ง เพราะสรุปเราไม่ได้ตัวปั๊มผ่าน ครูคนนั้นบอกว่า ไปใช้ความคิดสร้างสรรค์มาใหม่นะ
เรามองกลับไปที่แถวที่มีเด็กคนอื่นเข้าเป็นล้านกับฐานอื่นๆ ที่เหลือ
ไม่เอาก็ได้เกียรติบัตรอะ
:(
ได้!
ผ่านมา 10 ปีตอนนี้เราก็พอจะตอบได้แล้วว่าความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองคืออะไร และถึงถามเราตอนนี้ความคิดสร้างสรรค์เราก็คงยังไม่เหมือนครูสอนศิลปะคนนั้น
แต่เอาจริงๆ จำได้ว่าตอนนั้นเกือบร้องไห้เลยนะ (หรือร้อง) รู้สึกอายมากๆ ที่ทำไมไม่หยิบปากกาไปว่าแบบคนอื่น ก็ครูพูดเองว่าทำอะไรก็ได้ไม่มีผิดมีถูก
ผ่านมา 10 ปีเราก็ยังมองหารูปร่าง หน้าตา จากตัวเลข ตัวหนังสือโดยที่ไม่ต้องเติมอะไรให้มันต่อไป และค้นพบว่า Pareidolia–ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่สมองเรามองอะไรบางอย่างให้มีแพทเทิร์น เป็นหน้า เป็นอะไรต่อมิอะไรได้มันมีอยู่เว้ย ถึงจะไม่เกี่ยวกับไอ้เลข 3 อะไรนี่มากเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นนะว่าแค่ของบางอย่างในชีวิตประจำวัน มองด้วยสายตาธรรมดาๆ ไม่ต้องเติมสี ไม่ต้องระบาย ไม่ต้องหยิบปากกา สมองเราก็จินตนาการให้เป็นอย่างอื่นได้
สรุปแล้วไอ้ความคิดสร้างสรรค์นี่วัดกันยังไงนะ แค่ไหนถึงจะเรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์
ไม่รู้สิ สรุปได้ง่ายๆ ก็คือ Screw their creativity and find your own ฮ่าๆ
MAN, I LOVE ART!!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in