คนที่ทำให้เรายิ้มได้
มักจะเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้เราร้องไห้
แต่ผมไม่ได้เศร้าครับ ไม่ต้องเป็นห่วง
สำหรับผม ชีวิตคือความสนุกสนาน เต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นเต้น เวลาเล่นละคร ผมก็ชอบบทแปลก ๆ ที่ท้าทาย ผมว่าเราเลือกมองโลกในแง่มุมที่สนุกสนานได้นะ
เพราะงัั้นผมก็จะย้ำอีกครั้ง ว่าผมไม่ได้เศร้า มันอาจจะหน่วง ๆ อยู่บ้างในบางครั้ง แต่ก็ อย่าไรมาก ครับ
แรก ๆ มันคือความสนุกท้าทาย
เมื่อสี่ปีที่แล้ว พี่ออฟเป็นพวกเกรี้ยวกราดใจร้อนตามประสาคนรุ่นเดียวกัน ผมเข้าใจ เพราะผมก็เพิ่งจะยี่สิบห้า
เวลาป่าปี๊หงุดหงิดเพราะผมเข้าไปวอแว จับนั่นจับนี่มันกระตุ้นต่อมท้าทายในตัวผม
แต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่ความรู้สึกมันมาถึงวันนี้
"ร้องเพลงได้ยัง"
ความรู้สึกมั่นคงในใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร เป็นเรื่องใหม่หรือเรื่องยากแค่ไหน แต่พอหันกลับมามอง ก็ยังเจอคน ๆ หนึ่งที่เป็นเหมือนเสาหลักที่มั่นคงคอยสนับสนุนอยู่เสมอ เหมือนตอนนี้
"ไม่แน่ใจ น่าจะพอถูไถไปได้มั้ง แต่ป่าปี๊ต้องช่วยกันร้องด้วย"
พ่อ คือความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งผมเคยมีให้เขา ไม่งั้นผมจะเรียกเขาว่า ป่าปี๊ หรอครับ
แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกลายเป็น ป่าปี๊ของกัน ไปตอนไหน
รู้ตัวอีกที ผมก็แค่อยากอยู่ข้าง ๆ เขาในทุก ๆ วัน
"ไหนซ้อมดิ๊"
" ♪ เข้าใจใช่มั๊ย ที่ฉันทำ เพราะอะไรและเพราะใคร อยากรู้บ้างว่าเธอ คิดยังไง ♪"
"เพลงนี้ไม่มีร้องวันนี้ไม่ใช่หรอ"
"ช่าย อันนี้มันเข้ามาในหัวเฉย ๆ ร้องเล่น ๆ"
เล่น ๆ
ทีเล่นทีจริง
คือสิ่งที่ผมพยายามจะแสดงออกมาตลอด ไม่อยากให้คนข้าง ๆ รู้ตัว
แต่พอถึงจุดหนึ่ง มันกลับทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นไปอีก
ไม่รู้ตัว หรือพยายามไม่รับรู้ ผมก็ไม่แน่ใจ เหมือนติดอยู่ใน brother-zone ไปเรียบร้อยแล้ว
"ดูที่เขาตัดต่อตอนปิ๊กโรมมายัง"
"ตัดเสร็จแล้วหรอ" ไม่เห็นพี่มุกซีจี บอกเลยแฮะ
"ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้เข้าตึกเลย"
"อ้อ...."
ปกติความเงียบไม่เคยทำให้ผมอึดอัด ไม่เหมือนวันนี้ ซึ่งผมก็รู้ตัวว่ามันเกิดจากตัวผมเองนี่แหละ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ
"กัน"
"อื้อ" ตอบรับในคอเบา ๆ แต่ป่าปี๊ก็ไม่ยอมพูดต่อ จนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
"ไม่เป็นอะไร ใช่มั๊ย"
น้ำเสียงแบบนี้ทำเอาใจผมกระตุกไปวูบนึง ไม่เคยรู้ว่ามันหมายความว่าอะไรเวลาที่ป่าปี๊เป็นแบบนี้ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกไป พี่ทีมงานก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
"โทษที รอนานมั๊ยเด็ก ๆ มาแต่งหน้ากันจ๊ะ"
พวกเราก็ได้แต่ต่างคนต่างจัดการแต่งหน้าแต่งตัวไปเงียบ ๆ
รวมถึงจัดการกับความรู้สึกของตัวเองด้วย
.
.
.
.
.
"จบงานแล้วไปไหน" หลังแยกย้ายกับเบบี๋ ป่าปี๊ก็เดินตามมาคุยกับผม
"น่าจะอยู่แถว ๆ นี้แหละ เดี๋ยวรอพี่เตกับนิวเลย"
"จะรอหรอ"
"ใช่ๆ"
"ไปกินข้าวกันก่อนมั๊ย เดี๋ยวพี่แวะเข้าบ้านหน่อย" ผมหันไปสบตากับป่าปี๊ นาน ๆ ทีเขาจะเรียกแทนตัวเองว่าพี่กับผมนะครับ
"ไม่เป็นไรดีกว่า..." ป่าปี๊จ้องตาผมนิ่ง
"เอางั้นหรอ...... ดื้อ" ท้ายประโยคเหมือนพึมพำกับตัวเองซะมากกว่าพูดกับผม "งั้นไปละ"
"อื้อ" ก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กมาคล้องตัว
"กัน..."
"ว่า"
"น้องกัน" ถึงกับต้องหันกลับไปมองคนที่เรียกชื่อผมแบบนั้น นึกว่าจะได้เห็นความกวนบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่แววตาที่มองมา ทำให้ผมต้องสบตานิ่ง ๆ รอว่าเขาจะพูดอะไร
สีหน้าลำบากใจของป่าปี๊ตอนนี้ทำให้นึกถึงวันนั้น วันที่ผมแยกออกมาเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังแค่รอบเดียว สีหน้าลำบากใจ ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมไม่สบายใจ
เวลาอยู่กับป่าปี๊ผมสนุกมาก เขาเป็นคนตลก ร่าเริง และอะไรก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ทุกอย่างดูเป็นไปได้เมื่ออยู่กับเขา
ความลำบากใจเลยเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะเห็น ยิ่งถ้ามันเกิดขึ้นจากผมด้วยแล้ว ผมยิ่งไม่โอเค
ผมเคยสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเขา ทั้ง ๆ ที่ผมเจอแต่ความปรารถนาดีอยู่รอบตัว จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ ที่เจอแต่คนดี ๆ ที่มอบความรู้สึกดี ๆ ให้ตลอด
และผมก็เป็นคนขี้เบื่อ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว พอเวลาสนใจอะไรบางอย่าง ก็จะจริงจังกับมันเต็มที่ แต่พออยู่กับมันไปสักพักก็เปลี่ยนความสนใจไปอย่างอื่นแทน
"งั้นอยู่คนเดียวก็อย่าซน เข้าใจมั๊ย คนมันเยอะมาก"
แต่คนตรงหน้าผม มีเรื่องให้ผมแปลกใจได้อยู่เสมอ
"ไม่เป็นไรหรอก กันไม่ซนน่า"
"อย่าเอาแต่ก้มมองมือถือ มองรอบตัวด้วย"
"กันรู้แล้ว"
"พูดยังงี้ทุกทีแหละ"
"ดุเหลือเกิน ไปกินไรมาวะ"
"ถ้าบนโลกนี้มีแต่คนโอ๋มึง กูก็จะเป็นคน ๆ เดียวที่ดุมึงแหละ ได้ไหมล่ะ"
"..." เพราะยังงี้ไงครับ ผมถึงไปไหนไม่ได้สักที "ครับ" ได้แต่ตอบรับแล้วอดยิ้มให้เขาไม่ได้
ผมไม่ได้ถอยออกมาเพราะยอมแพ้ เพราะผมไม่ได้คิดจะเอาชนะใครอยู่แล้ว
ถ้าไม่ทึกทักเอาเองมากไป ผมก็มั่นใจว่าพี่ออฟก็มีความสุขกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ตอนนี้
และผมก็ปรารถนาที่จะเห็นแค่นั้นเอง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขา
ไม่อยากให้ใครสักคนต้องกังวลใจ
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกของผม
ผมก็จะรับผิดชอบมันเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in