เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทฤษฎี (ไม่) จีบเธอi_whyn
(ไม่) จีบ ครั้งพิเศษ ปลาดิบกินกับกิมจิก็อร่อย



  • ถ้าเปรียบเทียบผมกับกันเป็นประเทศ ผมคือญี่ปุ่น ส่วนกันก็คือเกาหลีนั่นแหละครับ



    เกาหลีคือประเทศแห่งความน่าตื่นเต้น มีแรงดึงดูดมหาศาล เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิ่งนำกระแส เหมือนกระสุนปีนที่วิ่งตรงฉิวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ยากนักที่จะยื้อให้อยู่กับที่



    ในขณะที่ญี่ปุ่น คือประเทศแห่งความนิ่ง เรียบไหล ควบคุมทุกอย่างให้เป็นระบบระเบียบ จังหวะเคลื่อนไหวรวดเร็วและเชื่องช้า รุนแรงและอ่อนโยนไปพร้อมกัน ลึกซึ้งเหมือนละครคาบูกิ ยึดติดกับรากเหง้าไม่ยอมไปไหน



    สองประเทศนี้ไม่ถูกกันตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้วครับ แม้ว่าประเทศจะตั้งอยู่ใกล้กันก็ตาม



    .


    .


    .


    .




    "กินอาหารญี่ปุ่นนะ" ผมส่ายสายตามองหาร้านที่มีเมนูน่าสนใจ ในห้างหรูแบบนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นให้เลือกเป็นสิบ ๆ ร้านตามความพึงพอใจ 



    ผมเป็นเด็กยุค 90s ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งการ์ตูนเล่ม อนิเมชั่น กันดั้ม ดราก้อนบอลล์ สแลมดังก์ ทีวีแชมป์เปี่ยน ซีรีส์ของทาคุยะ คิมูระ ยันจอห์นนี่จูปีเตอร์อะไรสักอย่าง



    ไอ้สองอย่างสุดท้ายนั่นผมไม่ได้ชอบนะ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิด ผมแค่มีเพื่อนผู้หญิงในแก๊งที่ชอบลากไปพัทยาทุก ๆ ปีเพื่อดูศิลปินพวกนั้นร้องเพลงที่ฟังไม่รู้เรื่องบ้างเป็นบางทีก็แค่นั้น 



    แต่นั่นแหละ คนดังสมัยผมยังเด็กก็ยังดังอยู่ในปัจจุบัน เวลาไปญี่ปุ่นก็ยังมีภาพพวกเขาโผล่มาให้เห็นในบอร์ดโฆษณาได้เรื่อย ๆ เหมือนเวลาได้หยุดเคลื่อนที่ มีแค่ตีนกาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าคุณภาพนั้นเดินทางผ่านกาลเวลา



    "กันอยากกินปิ้งย่าง นั่น ๆ ร้านนั้นซอสแดงอร่อยมาก" เด็กข้างตัวที่มาด้วยกันขัดความคิดผมขึ้น



    "กูไม่กินเผ็ด"



    "ไม่เผ็ดไง ป่าปี๊ก็ไม่ต้องจิ้มไง กินเนื้อเปล่า ๆ" 



    รักกูมากเลยสินะมึงน่ะ "เออ ๆ นำไป" 



    ถึงเขาจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าระริกระรี้นั่นก็บอกผมว่ากันดีใจ เวลาที่ผมตามใจ สีหน้าเขาเหมือนมีลูกโป่งบอลลูนกำลังขยายตัว เป็นคนที่มีแรงดึงดูดสว่างไสว บางทีก็สว่างวาบจนต้องหลบตา



    วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษ และเราสองคนก็ว่างมากพอที่จะมาช้อปปิ้งด้วยกัน ก็อย่างว่า เขาต้องนำกระแสในทุก ๆ อย่าง ในขณะที่ผมยังคุ้ยเสื้อวินเทจอยู่ตามจตุจักรอยู่เลย 



    "สองที่ครับ" กันแจ้งกับพนักงานหน้าร้าน โชคดีที่ยังไม่ใช่ตอนเที่ยง โต๊ะเลยว่างพอที่เราจะได้เข้าไปนั่งทันทีที่มาถึง 



    ร้านปิ้งย่างเกาหลีนั้นเด็ดที่น้ำจิ้มก็จริง แต่สำหรับผมที่ไม่ชอบน้ำจิ้มใด ๆ บนโลก ร้านค้าเลยต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณภาพของเนื้อ และร้านนี้รสชาติการหมักหมูดีเยี่ยมจริง ๆ 



    "อร่อยมั๊ยป่าปี๊"



    "ดี" 



    "เนอะ กันชอบร้านนี้ แต่มีอีกร้านอยู่ตรงสยาม นั่นก็อร่อย ไว้ไปกินกัน"



    "อื้อ"



    "กิมจิก็อร่อยนะ" 



    "ไม่ชอบ"



    "กินยากจัง" 



    เราสั่งเมนูหมูสารพัดชนิดมาลองชิม บางอย่างก็เผ็ดไปสำหรับผม บางอย่างก็ติดมันมาก แต่โดยรวมแล้วก็เป็นมื้ออาหารที่เพลิดเพลินจนลืมเวลา



    "โอ๊ยๆๆๆ ร้อนๆๆ" กันทำเนื้อหมูที่เพิ่งคีบขึ้นจากเตาหลุดออกจากตะเกียบ ทิ้งดิ่งลงที่มือเพราะดันเอามือไปรับตามสัญชาตญาณ แล้วก็ร้อนมือจนสะบัดลงเสื้อ... ภาพที่ผมเห็นนี่สไลว์โมชั่นเว่อร์ 



    "มือเป็นง่ะ..."



    "โอ๊ย เสื้อเลอะ!!!!!" แล้วกันก็โวยวายไม่หยุด ตีเสื้อพั่บ ๆ ราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วรอยเลอะจะกระเด็นหลุดออกมา ตอนแรกก็เป็นห่วงมือน้องมันนะ ตอนนี้รู้สึกตลกมันแทน โทษที 



    "อย่าเอาน้ำไปถูแบบนั้น ยิ่งกระจาย"



    "ก็มันเลอะอะป่าปี๊ กันไม่ชอบ" 



    "เสื้อก็ขาวอีก" บางมากด้วย



    "ไปซื้อเสื้อกัน"



    "กินให้อิ่มก่อน" 



    "อิ่มแล้ว หมดอารมณ์" เออ ได้ว่ะ หน้านี่มู่ทู่มาเลย ถ้ามีสัญญาณเตือนตอนนี้ก็ไฟแดงกะพริบรัว ๆ แล้ว



    "โอเค ๆ งั้นไป" ผมคว้าบิลที่เสียบไว้ตรงช่องข้างโต๊ะแล้วลุกไปจ่ายเงิน 



    เราเดินออกมาจากร้านเพื่อมุ่งตรงไปยังร้านประจำของกันที่เราตั้งใจจะไปแต่แรกอยู่แล้ว 



    "เด่นเลยอะ กันอาย" เด็กเนี้ยบแบบกันจะรู้สึกอายก็คงไม่แปลก นี่ถ้าวันนี้ผมใส่เสื้อฮาวายแบบทับอีกตัวมาคงต้องถอดให้เขาไปแล้ว 



    "มาเดินใกล้ ๆ มา" กันเลยเอาแขนทั้งสองข้างมากอดแขนผม ให้มือบังเสื้อไปในตัวด้วย "ว่าแต่ทำไมช่วงนี้ใส่แต่เสื้อยืดสีขาววะ" 



    "สังเกตด้วย"



    "เออสิ ก็มันเห็น" เห็นไปถึงไหนต่อไหน 



    "ใส่สบายดี แมตช์ง่าย" 



    "เลอะก็ง่ายด้วย" 



    แรงบีบที่แขนผมเพิ่มขึ้นทันทีพร้อมกับหน้างุ้ย ตลกดีครับ เหมือนเด็ก 



    พอมาถึงร้าน กันก็เดินเข้าไปเลือกเสื้อ ผมเลยแยกออกไปกะว่าจะดูเสื้อสไตล์ผมบ้าง แต่ว่า...


    "ป่าปีี๊ตัวนี้ดีมั๊ย"

    "ป่าปี๊สีนี้สวยเปล่า" 

    "ป่าปี๊นี่เข้ากับกางเกงมั๊ย"

    "ป่าปี๊หรือกันซื้อกางเกงตัวนี้ด้วยดี" 


    และอีกสารพัดป่าปี๊จนผมไม่ดูอะไรแม่งแล้ว เดินตามต้อย ๆ เลย กูยอมแพ้ 



    "ให้กูเข้าไปดูในห้องลองเสื้อด้วยเลยมั๊ยล่ะ" 



    "ก็ดี" เออ กูประชด แต่กันคงไม่นับว่าคำประชดมีอยู่จริง เขาเลยดึงแขนผมเข้ามาในห้องลองชุดและจัดการถอดเสื้อตัวที่เลอะออกทางหัว แล้วทิ้งลงพื้นแบบไม่แยแส 



    เอวคอด ก้นงอน และเนื้อพุ้ย ๆ ที่ล้นขอบกางเกงออกมา มันก็มีพุงเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เลียนแบบกูไปซะทุกอย่าง



    "ป่าปี๊มองไร" กันถามแล้วแกล้งยกมือขึ้นมาปิดจุกชมพูเล็ก ๆ สองอัน .. คือกูมองพุงไงมึง 



    "วะฮู้มั๊ย"



    "วะฮู้แล้ว" 



    ห้องลองชุดขนาดสองคูณหนึ่งเมตรไม่ได้ทำให้บรรยากาศโรแมนติกขึ้นมา ตรงข้าม ไอร้อนจากตัวของผู้ชายสองคนที่อัดกันอยู่ออกจะแปลก ๆ ด้วยซ้ำ 



    ผมไม่ต่อคำน้องมันแต่มองลงไปที่พื้นแทน "อย่าบอกว่ามึงจะไม่เอาเสื้อนั่นแล้ว"



    "มันเลอะแล้ว ซักไม่ออกหรอก" 



    "...." ผมก้มลงไปเก็บเสื้อกันขึ้นมาถือไว้ 

      

    "ดีมั๊ย" กันถามถึงเสื้อที่เพิ่งสวมไป



    "ดี" เป็นเสื้อยืดสีขาวอีกตัวที่ไม่บางเกินไปแม้คอจะย้วย ๆ หน่อยก็ตาม



    "งั้นเอาตัวนี้แหละ" กันมองเสื้อในมือผมแต่ไม่ว่าอะไร เปิดม่านแล้วออกไปจากห้องลอง 



    "เอาตัวนี้ครับ" กันชี้มือเข้าหาตัวเอง พร้อมกับวางเสื้อและกางเกงอีกสองสามตัวลงบนเคาน์เตอร์ "และนี่ด้วยครับ" 



    สรุปเราก็ออกมาจากร้านโดยที่ผมหิ้วถุงทั้งสองมือ แต่ไม่ใช่ของผมเลยสักถุง ที่ถือให้เพราะมือน้องโดนลวกไง ก็แค่นั้น



    "ป่าปี๊ กันอยากกินไอติม" กันชี้ไปที่ร้านหัวมุม



    "เริ่มหิวแล้วสิ บอกแล้วให้กินให้อิ่ม"



    "ปะกี้ก็อิ่ม แต่นี่แค่อยากหนมหวาน" 



    "เออ ๆ แต่พี่เอานี่ไปเก็บบนรถก่อน" ผมยกสองมือขึ้นมาตรงหน้า "กันไปรอที่ร้านเลย"



    "ไปด้วยกันดิ"



    "ไม่ต้องหรอก รถจอดชั้นนี้พอดี แป๊บเดียว" 



    "โอเคครับ" 



    ผมเดินไปเก็บของที่รถและกลับมาที่ร้าน มองเข้าไปในร้านก็เห็นกันก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะตัวเล็กสำหรับสองคนที่มุมในสุดของร้าน  



    "สั่งไรยัง" ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม



    "สั่งแล้ว ป่าปี๊กินได้" 



    "อื้อ" 



    "ทำไมไปนาน"



    "แวะเข้าห้องน้ำ"



    "อาฮะ"



    บรรยากาศของร้านให้ความรู้สึกโคซี่หน่อย ๆ ด้วยการประดับร้านด้วยเบาะ ตุ๊กตาหมี และหมอนอิงสีพาสเทล เหมาะกับเด็กมหา'ลัยจะมาเดทกัน หรือไม่ก็อ่านหนังสือแล้วหลับแม่งไปเลย 



    ช่วงนี้ผมชอบมองของแต่งบ้าน พอเติมนั่นเติมนี่เข้าไปมันก็ให้ความรู้สึกใหม่สดชื่นดี แต่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนอะไร



    แต่พาสเทลนี่คงไม่ไหว



    บรรยากาศมันเงียบจนผมเอะใจ กลับมาสนใจคนตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับอุปกรณ์สี่เหลี่ยมไม่เลิก



    "คุยกับใคร" กันเงยหน้าขึ้นมามองผม ก่อนจะก้มลงไปดูมือถือต่อ "ไอ้กัน" 



    "แป๊บนึง" 



    ผมกำลังจะพูดต่อแต่พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามาซะก่อน "ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ" เธอวางบิงซูถ้วยใหญ่พร้อมช้อนสองคันลงบนโต๊ะ 



    พอพนักงานเดินไป กันก็ยกมือถือขึ้นถ่ายรูปขนมทันที



    "ทำไร"



    "ถ่ายสตอรี่"



    "ถ่ายให้ใครดู" 



    "ก็ทุกคน ทำไมอะ"



    "ไม่ให้ลง" 



    "เดี๋ยวเบบี๋สงสัยว่าหายไปไหนอีก"



    "ไม่ต้องลง" 



    "นะ" เสียงอ้อน ตาแป๋ว ถ้าเป็นคนอื่นคงเรียกมันว่า อรรถพันธ์'s attack 



    "...... เออๆๆๆ แล้วแต่มึงเลย" และมันใช้ได้ผลดีชะมัด



    "ป่าปี๊อ่า....ไม่ลงแล้วก็ได้"



    "เรื่องของมึงเลย"



    "อ่า... อ้อ งั้นทำงี้"



    "ทำไง" น้ำเสียงเหมือนอิ๊กคิวซังแก้ไขปริศนาออกทำให้ผมสนใจ ชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปดูมือถือกัน 



    ผมเห็นรูปขนมคาอยู่ในกล้องสตอรี่ แล้วกันก็กดปุ่มลง your story........ อะไรวะ ก็ลงไง ตื่นเต้นทำไมงง



    กันกะพริบตาใส่ผมประมาณ 5 ที  ใครงงกว่ากันให้ทาย.. แต่แล้วมันก็ก้มหน้าลงไปกดปุ่มจุดสามจุด แล้วกด...Delete...



    "แค่นี้เบบี๋ก็หายคิดถึงละ" กันยิ้มหวานใส่ผม หยิบช้อน แล้วตักบิงซูเข้าปาก สีหน้าร่าเริงเหมือนทุกทีที่แกล้งคนได้สำเร็จ



    น่ารักว่ะ...



    น่ายีหัวชะมัดเลย...



    สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตอาจเป็นการห้ามยิ้มก็เป็นได้


    .


    .


    .


    .



    ด้านหน้าห้างมีจัดงานต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ตั้งเด่นตะหง่านรอให้ผู้คนเดินเข้าไปถ่ายรูปด้วย



    บรรยากาศรื่นเริงท้ายปีเป็นช่วงที่ดี แต่สำหรับผม ถ้าอากาศเย็นกว่านี้ซะหน่อย ไม่ใช่เดินแล้วเหงื่อแตกพลั่กก็คงให้ความรู้สึกที่ดีกว่านี้ 



    แต่ดูเหมือนจะตรงข้ามกับเด็กข้าง ๆ



    "ป่าปี๊อันนี้น่ารัก ถ่ายรูปกัน" อากาศร้อนไม่เคยทำให้กันอารมณ์เสีย เอาจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรทำให้น้องอารมณ์เสียได้หรอก... ยกเว้นผม 



    "ถ่ายได้ ห้ามลง"



    "คร้าบๆ งกจัง"



    เราเดินวนไปเรื่อย ๆ แฝงตัวไปกับฝูงชน หยุดถ่ายรูปบ้างถ้าน้องเจอจุดที่ชอบใจ



    "กันอย่าวิ่ง เดี๋ยวคนมอง" เวลาออกมาในที่สาธารณะก็จะเป็นจุดสนใจมากหน่อย 



    บางคนรู้จักเราแล้วแอบตาม



    บางคนไม่รู้จักเรา แต่สนใจเพราะเราหล่อ... ผมคิดว่าใช่นะ ไม่ใช่หรอ



    นั่นแหละ ผมเลยออกจะหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากเป็นพิเศษ ก็อย่างที่บอก ผมมันญี่ปุ่นเซน ๆ คนหนึ่งที่ไม่ชอบความวุ่นวาย และเชื่อในสิทธิส่วนบุคคล 



    แต่จริง ๆ ตั้งแต่เจอน้องมันชีวิตก็เจอแต่ความวุ่นวายนั่นแหละ เด็กแสบ ขี้แกล้ง วุ่นวาย วิ่งวนรอบตัวเหมือนโดนปั่นหัว แต่ที่น่าประหลาดคือมันทำให้ชีวิตทุก ๆ วันดูมีสีสันกว่าเดิม



    อย่างการออกมาวิ่งเล่นถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสงี้..



    พอน้องหัวเราะ ผมก็พลอยหัวเราะไปด้วย พอผมหยุดเดิน น้องก็มาฉุดกระชากลากถูให้เคลื่อนไปข้างหน้า พอผมหมดพลัง น้องมันก็แค่หยุดและนั่งลงข้าง ๆ เงียบ ๆ 



    คนบางคนก็แกล้งกันทุกวัน ปั่นเราให้หัวหมุน ทำให้เราหงุดหงิดตลอดเวลา แต่พอคน ๆ นั้นหายไป ก็เหมือนเจอทางตัน เหมือนสีสันในชีวิตหายวับไป 



    กันดึงคอผมลงไปกระซิบที่ข้างหู "น่าจะมีคนตามเราเจอแล้วนะป่าปี๊" ภาพที่คนนอกเห็นอาจเหมือนคนหอมแก้มกัน ผมชินกับเสียงตกใจรอบตัวไปนานแล้ว สนใจแค่คนข้าง ๆ ก็พอ 



    "วันนี้สนุกพอแล้ว กลับเนอะ"



    "ครับ"



    ผมขับรถมาส่งกันที่บ้าน จอดรถสนิทหน้าประตูรั้ว 



    "ดับเครื่องก่อน" กันบอกและปลดเบลล์ของตัวเอง



    "ทำไม"



    "ดับเครื่อง" ผมก็เลยบิดกุญแจเข้าหาตัว เครื่องยนต์ดับสนิทสมใจอีกฝ่าย 



    "กอดหน่อย" กันอ้าแขนรอ ผมสบตากันนิ่ง แตกต่างจากคลื่นลมแปรปรวนที่ซัดอยู่ภายในใจ



    ปกติเวลาเรากอดกัน กันเริ่มก่อนเสมอ ผมแค่ทำตัวว่าง่าย ยินยอมพร้อมใจ แต่พอถึงเวลาที่น้องขอให้ผมเริ่ม ผมเคยปฏิเสธเสียงแข็งมาได้ตลอด แต่ไม่ใช่วันนี้



    "ป่าปี๊ครับ"



    "อือๆ" ผมปลดเข้มขัดนิรภัยออก เอี้ยวตัวไปสวมกอดกันไว้เบา ๆ มือทาบไว้บนหลังน้อง ในหัวคิดข้ออ้างมากมายแต่เหมือนระบบสมองจะรวนเมื่อลมหายใจอุ่น ๆ รินรดข้างแก้ม



    "ขอบคุณนะครับ" 



    "อื้ม"



    "วันนี้สนุกมาก"



    "อื้ม"



    "กลับบ้านดี ๆ นะ" 



    "อื้ม"



    น้องเป็นฝ่ายที่ถอนตัวออกจากอ้อมกอดไปเอง ผมแค่ปล่อยให้แรงผลักของน้องนำพาไป



    กันเอี้ยวตัวไปหยิบถุงใส่เสื้อผ้าที่วางอยู่บนเบาะหลัง



    "หยิบถุงสีชมพูนั่นไปด้วย"



    "ไม่ใช่ของกันหนิ" น้องทำหน้างง แต่ก็เอื้อมแขนไปหยิบถุงมาวางบนตัก



    "ของขวัญ" 



    "หื้มมม ให้กันหรอ" ตาโต ๆ มองลงไปในถุงแล้วก็ตาโตยิ่งกว่าเดิม ลูกบอลลูนขยายขนาดอีกแล้ว "ป่าปี๊~~~



    "ชอบมั๊ย"



    "ชอบมากเลย ขอบคุณนะ" น้องตอบแล้วดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง ตาเป็นประกายจนผมต้องเบียนหน้าหนี 



    จุ๊บ~ รอยจูบเบา ๆ ที่มุมปาก ทำให้อุณหภูมิบนรถเพิ่มขึ้นแบบฉับพลัน



    "เมอรี่คริสต์มาสนะ ซานต้าของกัน"



    แก้มสีชมพูระเรื่อปรากฎอยู่ในสายตาตอนที่กันผละตัวออก แต่เหมือนเสียงพูดของผมจะถูกเสียงใจเต้นกลืนกินไปหมดแล้ว ทำได้แค่ตอบรับเบา ๆ ในลำคอ



    ".......อื้ม" 



    กันเปิดประตูรถแล้วก้าวขาออกไปยืนบนพื้นดิน โน้มตัวมองผ่านประตูแล้วโบกมือหยอย ๆ ยิ้มกว้าง 



    "บ๊ายบายนะ" 



    ผมผงกหัวแล้วยิ้มตอบรับ




    บางที สงครามโลกก็จบไปนานแล้ว และความสัมพันธ์บางอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ซะที 







    [END - special]




    Merry Christmas ???
    Wishing offgun and babiis a Happy New Year!


    Cover and Ending photo credit by เบบี๋สักคนหนึ่ง T.T 
    หาเครดิตในรูปไม่เจอ แต่อนาคตของออฟกันอะชัดเจน 


    See you again when the Theory of Love filming starts ka!
    Thank you.




    14/08/2021

    เข้ามาอธิบายเพิ่มตรงนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา

    เนื่องจากช่วงนี้ได้เห็นรายละเอียดของสงครามญี่ปุ่น-เกาหลี ผ่านตาบ่อย ๆ เลยรู้สึกขึ้นมาว่า ฟิคบทนี้อาจจะมีบางข้อความที่เป็นการลดทอนความรุนแรงของสงคราม และอาจถึงขั้น romanticize ในบางมิติโดยไม่ได้ตระหนักและเจตนา จึงขออภัยมา ณ จุดนี้ และขอให้อ่านโดยทำความเข้าใจบริบทและศึกษารายละเอียดผลกระทบเพิ่มเติม

    ขอบคุณค่ะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Sirirat (@fb1010480042495)
น่ารักกด
Vijitra Gift (@fb1021763943412)
น่ารักจังค่ะ อ่านแล้วยิ้มตามทุกตอนเลย ?
cmmh1996 (@cmmh1996)
แอบตามอ่านมาพักนึงแล้วค่ะ ?สเปเชียลอันนี้ น่ารักมากเลย รอติดตามทฤษฎีตอนต่อไปน้า