“ ผมเป็นเพื่อนบ้านของคุณ อันที่จริงแล้ว เป็นเพื่อนบ้านของทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ แม้จะไม่เคยออกหน้าทักทายมาก่อน แต่ผมก็รู้จักพวกคุณดี ” เขามองไปในดวงตาของเอ็ดมันน์ “ รวมทั้งลูกชายของคุณด้วย ”
เอ็ดมันน์นึกอยากจะตะโกนสาปแช่งคนตรงหน้า แต่คำพูดก็จมหายไปในดวงตาคู่นั้นทั้งหมด
“ คุณรู้จักโจนาสได้ยังไง ”
“ เขาเป็นเพื่อนกับน้องสาวของผม … วาลเลอรี เด็กผู้หญิงที่มาเล่นกับเขาบ่อยๆช่วงนี้ ทั้งคู่สนิทกันมากทีเดียวในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ”
วาลเลอรี … น่าแปลกที่แม้เอ็ดมันน์ไม่รู้จักชื่อนี้มาก่อน แต่ภาพของเด็กหญิงผมสีดำที่เกาะรั้วประตูบ้านคนนั้นกลับผุดขึ้นมาในหัวทันที
“ อ้อ เธอนั่นเอง คงพูดไม่ได้เต็มปากนักว่าผมรู้จักเธอ ลูกชายของผมต่างหากที่รู้จักดีทีเดียว ซึ่งเขา ...เออ ช่างเถอะ ..แล้วมีธุระอะไรกับผมกันเล่าคุณมอนเกรฟ ” เอ็ดมันน์พูดเสียงแข็ง ขมับข้างหัวดังตุบๆไม่เป็นจังหวะ
“ ผมมาตามหาน้องสาว วาลเลอรียังไม่กลับบ้าน “
เสียงนั้นราบเรียบจนไม่อาจสัมผัสได้ถึงความห่วงใยหรือร้อนรนใดๆ ต่างจากรอสเวลล์ที่เข้ามาหาเขาเมื่อครู่คนละเรื่อง
“ ตามหาน้องสาวของคุณ? ให้ตายเถอะ คืนนี้มันเรื่องอะไรกันนี่ ” เอ็ดมันน์แค่นหัวเราะ “ เด็กหายอีกแล้วหรือ ทำไมใครๆถึงได้เที่ยวมาตามหาคนหายกันที่นี่นะ ”
ชายแปลกหน้าจ้องมองเขาอยู่แวบหนึ่ง
“ เธอบอกว่าเธอจะมาที่บ้านของคุณ ”
“ ใช่ และเธอก็มาจริงๆ มาเกาะรั้วบ้านผมอยู่ตลอดบ่ายเทียว “ เอ็ดมันน์ว่าพลางถอนใจ “ แต่ว่าผมกำลังง่วนกับงานอยู่เลยไม่ทันสนใจ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เย็นแล้ว ไม่เห็นเธอเลยจากนั้น บางทีอาจจะหลงทางในป่าละแวกนี้หรือเนินเขาก็ได้ คุณควรจะรีบไปหาดู “
“ งั้นหรือ “ เคลาส์ มอนเกรฟถามขึ้นประหนึ่งไม่สนใจคำบอกเล่าเมื่อครู่ของอีกฝ่าย “ คุณไม่รู้หรือว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ”
“ ไม่ทราบเลย ”
“ จริงหรือคุณวู้ด ”
“ หมายความว่ายังไง … ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่ไหน “
ใบสีแดงของต้นโอ๊คร่วงกราว เขาคิดไปเองหรือเปล่านะว่าสีของมันเข้มขึ้น
“ คุณไม่ทราบจริงๆรึ ”
ชายแปลกหน้ายังคงถาม ทว่ามันกลับฟังดูไม่เหมือนคำถาม คล้ายคำพูดรำพันกับตัวเองที่แผ่วเบา นุ่มนวล และเจือไว้ด้วยความสนุกสนาน
“ ผมไม่ทราบ “ เอ็ดมันน์ชักรู้สึกประสาทเสีย “ นี่ คุณ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะเล่นตลก ถ้าคุณตั้งใจจะตามหาน้องสาว ผมแนะนำว่าคุณควรจะรีบออกไปได้แล้ว ”
เขารู้ดีว่าถ้อยคำนี้ฟังดูตัดรอนความช่วยเหลือและแล้งน้ำใจ แต่เวลานี้เขาไม่นึกถึงสิ่งใดนอกจากการให้แขกยามวิกาลคนนี้กลับไปมากที่สุด
ชายแปลกหน้าสูงศักดิ์ผู้นี้ทำให้เขาอึดอัดอย่างประหลาด คล้ายมีบางสิ่งไม่ถูกต้องคืบคลานเข้ามาในบ้านเขา…ก้าวข้ามสวนและต้นไม้รกร้าง รุกคืบมายังข้างกาย เป็นบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับยามที่ถูกเด็กหญิงคนนั้นจ้องมอง ทว่าเยือกเย็นกว่า และผิดแปลกกว่ามาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น
รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองไปถึงข้างใน ผ่านเนื้อหนังและไขที่ห่อหุ้ม ทะลุไปจนถึงกระดูกและความมืดที่ซ่อนอยู่ในหยดเลือด
เอ็ดมันน์ตัวสั่นสะท้าน จู่ๆก็รู้สึกเย็นเฉียบจากหัวจรดปลายเท้า นึกสบถในใจให้กับความตื่นกลัวไร้เหตุผลของตนเอง
ทว่าแม้จะได้ยินถ้อยคำขับไล่ไสส่งชัดเจนเพียงใด แต่ชายแปลกหน้ายังคงไม่ขยับเท้า เขายืนกรานคำเดิมอย่างหนักแน่น
“ คุณควรจะรู้สิ คุณวู้ด คุณน่าจะรู้ดีทีเดียวว่าน้องสาวของผมอยู่ที่ไหน ”
“ หมายความว่ายังไง”
“ เธอเข้าไปในบ้านของคุณ ”
“ อะไรนะ ? ”
“ เธออยู่ข้างในนั้น ” ผู้มาเยือนย้ำ “ ตอนนี้เธออยู่ในบ้านของคุณแล้ว คุณวู้ด ”
“ ไร้สาระ เธอจะเข้ามาในบ้านของผมทำไม ”
“ เธอบอกว่าเธอจะไปตามหาเพื่อน ---หรือก็คือโจนาส ลูกชายของคุณ---เพราะฉะนั้นเธอต้องอยู่ข้างในนั้นแน่นอน ”
“ คุณพูดเรื่องอะไร ! ” เอ็ดมันน์แทบจะตะโกนออกมาด้วยความกราดเกรี้ยว “ นี่คุณไม่รู้รึว่าโจนาส ลูกชายผม เขา --- เขา !”
“ เขาหายตัวไปน่ะรึ ? โอ้ใช่ ผมทราบดีทีเดียว ”
เคลาส์ มอนเกรฟยังคงสงบนิ่งขณะเผชิญหน้าความเดือดดาลของอีกฝ่าย
“ ผมได้ยินข่าวลือจากคนในหมู่บ้านมาไม่น้อย พวกเขาบอกว่าเด็กๆหายไปอย่างไร้ร่องรอย เท่าไรนะ ? สี่ถึงห้าคนได้กระมัง พวกเขาบอกว่าคนที่หายไปล่าสุดนี่เป็นเด็กชายของบ้านต้นโอ๊ค คือลูกชายของคุณใช่ไหม ”
“ ถ้าคุณรู้เรื่องนั้นดี ก็น่าจะทราบว่าผมไม่อยากพูดถึงมันหรือได้ยินใครพูดถึงอีก เรื่องน้องสาวคุณผมยืนยันได้ว่าไม่เห็นเธอเข้ามาในบ้านนี้แม้แต่น้อย ขอร้องล่ะคุณมอนเกรฟ กรุณาออกไปจากบ้านของผมเถอะ ”
“ ผมบอกแล้วว่าเธออยู่ที่นี่ เธอบอกว่าจะมาตามหาเขา และวาเลอรีเป็นคนดื้อรั้น ดังนั้นเธอต้องอยู่ที่นี่”
“ ผมไม่เข้าใจ ”
“ ไม่เข้าใจหรือ ” ดวงตาของชายแปลกหน้าสบตาเขา แสงจันทร์สีเงินในดวงตาช่างเย็นยะเยือก “ ผมเพียงแค่บอกว่า น้องสาวของผมอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะลูกชายของคุณ ..ไม่ได้หายไปที่ไหน เขายังอยู่ที่บ้านเสมอมา ”
เอ็ดมันน์ วู้ดชะงักไปทั้งร่าง ใบต้นไม้สีแดงร่วงหล่นราวกับสายฝน
“ ไม่ใช่เขาคนเดียวเสียด้วย มีอยู่เท่าไหร่นะ สี่..อ้อ ไม่สิ ห้า.. ห้าคน ” คนแปลกหน้ายังว่าต่อไป “ เด็กห้าคนในบ้านหลังนี้ อยู่อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง.. ”
“ อะไรของแก แกพล่ามอะไรอยู่ ! แกพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน !”
“ ต้นโอ๊คต้นนี้สวยงามมาก มันทำให้ผมนึกถึงต้นไซปรัสเหนือสุสานในเมือง มักมีต้นไม้ที่เติบโตเบ่งบานได้ดีเป็นพิเศษเหนือเนินสุสานเสมอ ...คุณรู้ไหมว่าทำไม ”
จู่ๆชายแปลกหน้าก็เปลี่ยนหัวข้อ เขาหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่นุ่มนวลและมีสเน่ห์ทีเดียว น่าเสียดายที่มันขาดความขบขันจนชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือก
“ เพราะข้างใต้นั้นมีศพไม่ใช่หรือ ”
พ่อครับ พ่อครับ
มีอะไรหรือโจนาส
พ่อครับ... ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับพ่อ
เรื่องอะไรหรือคนดี ว่ามาสิ พ่อพร้อมจะคุยเสมอ
เมื่อวันก่อนที่หมู่บ้านพูดกันถึงเรื่องเด็กผู้หญิงหายตัวไป คาเนสกา.. พ่อรู้จักเธอไหมครับ คนที่หน้าตาน่ารัก มีกระ ผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนแม่
พ่อรู้จักเธอดี พวกเขาบอกว่าเธอหายตัวไปรึ ช่างน่าสงสาร เด็กน้อยที่น่าสงสาร
พ่อครับ.. พ่อ เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่แล้ว พ่อทำอะไรอยู่หรือครับ
เอ พ่อคงกำลังผ่าฟืนอยู่กระมัง ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว เราต้องรีบเตรียมฟืนไว้สำหรับเตาผิงนะ โจนาส พ่อรู้ว่าลูกชอบออกไปเล่นข้างนอกบ่อยๆ แต่แกก็ต้องมาช่วยพ่อบ้าง แกก็โตขึ้นไม่น้อยแล้วนะ
..พ่อเตรียมฟืนเมื่อวันเสาร์ใช่ไหม
ใช่ มีอะไรรึ
ทำไมขวานของพ่อถึงเปื้อนคราบสีคล้ำล่ะครับ
โจนาส ลูกพูดเรื่องอะไร
ผมเห็นคราบสีดำคล้ำเป็นทางยาว เรื่อยไปจนถึงโรงเก็บของใต้ดิน
โจนาส พ่อไม่เข้าใจ
พ่อครับ วาเลอรีบอกผมว่าเธอรู้สึกประหลาดเวลามองมาที่ต้นโอ๊คบ้านเรา เธอได้ยินเสียงกระซิบ เธอได้กลิ่นแปลกๆ ผมบอกเธอไปว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จนกระทั่งวันเสาร์ที่แล้ว ที่ผมเห็น..
โจนาส ลูกเห็นอะไรหรือ
พ่อครับ ผมคิดว่าผมฝันร้าย ผมเห็นพ่อ..ที่โรงเก็บของ
ลูกคงจะฝันไป ลูกแค่ฝันไปเหมือนอย่างเคย เชื่อสิ ลูกเข้าใจผิดไปทั้งนั้น วันนั้นพ่อฆ่าแม่วัวในคอกไปสองตัว มันเป็นเลือดของวัว เป็นเสียงของวัว
แล้วทำไมถึงมีผ้าเช็ดหน้าของคาเนสกาตกอยู่ที่นั่นได้ล่ะครับ
...พ่อครับ
พ่อฆ่าเธอทำไม
“ บางคนก็อยู่มานานทีเดียว คุณเริ่มตั้งแต่เมื่อไรรึ ห้าปีที่แล้วใช่ไหม ”
ชายแปลกหน้ายังคงพูดพล่าม ในขณะที่เอ็ดมันน์นิ่งงันราวกับร่างกายเป็นอัมพาตไปเสียดื้อๆ ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้แม้แต่คำเดียว
“ ห้าปี คงเป็นห้าปีแน่นอน.. เพราะชาวบ้านต่างก็บอกว่าเด็กคนแรกเริ่มหายไปเมื่อห้าปีก่อน แถมพวกหล่อนยังมีเรือนผมสีน้ำตาลสวยงามน่ารัก คงจะทรงสเน่ห์ไม่น้อยยามที่โตขึ้น น่าเศร้าเหลือเกินที่เส้นผมเหล่านั้นไม่มีเสียแล้ว แม้แต่ใบหน้าตกกระหรือข้อมือผอมบางนั่นด้วย ”
เคลาส์ มอนเกรฟว่า ฝ่ามือลูบไปบนเปลือกไม้ขรุขระของต้นโอ๊ค ประหนึ่งกำลังลูบไล้เรือนผมเงางามของเด็กหญิงทั้งหลาย ท่าทางของเขาดูอ่อนโยนคล้ายคนใจดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ ใครๆก็พูดถึงปราสาทที่เนินเขา ใครๆก็พูดถึงตระกูลขุนนางลึกลับ พวกเขาบอกว่านั่นคือต้นเหตุทั้งหมด พวกเขากระซิบกระซาบกันประหนึ่งเรื่องเล่าเป็นเรื่องจริง น่าหัวร่อ.. ไม่ใช่ฝีมือพวกเรา เสียหน่อย ...ไม่มีทางเป็นแบบนั้น พวกเราไม่ใช่กลุ่มคนแปลกหน้าของหมู่บ้าน ไม่ใช่กระทั่งผู้มาเยือน พวกคุณต่างหากที่เป็นผู้มาเยือน พวกเราอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานกว่าพวกคุณนัก เก่าแก่ยิ่งกว่าต้นไม้ใดๆในป่า จนกระทั่งหมู่บ้านแห่งนี้ขยับขยายเข้ามา ”
เอ็ดมันน์ยังคงเงียบเสียงเหมือนมีอะไรมาจุกคอ เขาไม่เข้าใจคำพูดของชายแปลกหน้าแม้แต่นิดเดียว ประโยคต่างๆผ่านเข้ามาและเลื่อนไหลออกไป มีแค่เสียงทุ้มสงบและห่างไกลของมอนเกรฟเท่านั้นที่ยังคงระเรื่อยมาไม่ขาดสาย
“ วาเลอรี ..สาวน้อยของผม เธอบอกว่าได้ยินเสียงแปลกๆที่บ้านหลังนี้ เป็นเสียงกระซิบแว่วมาตามสายลม แต่ไม่ใช่เสียงของคน มีกลิ่นดอกไม้ ซากแห้งกรังของสัตว์ป่า เธอเลยบอกลูกชายของคุณ.. ผมอุตส่าห์บอกเธอแล้วว่าไม่จำเป็นต้องสนใจ ไม่เช่นนั้นหนุ่มน้อยคงจะยังมีชีวิตอยู่ น่าเศร้า.. ไม่มีใครคิดว่าคุณเป็นคนทำใช่ไหม แม้แต่โจนาสเองก็ไม่ยอมเชื่อ น่าสงสารเสียจริง สุดท้ายแล้วใครกันจะคิดว่าคุณลงมือกระทั่งกับลูกของตัวเองเล่า ”
เอ็ดมันน์สั่นสะท้าน ในถ้อยคำทั้งหมด ชื่อของลูกชายเด่นชัดเหนืออื่นใด
...พ่อครับ พ่อฆ่าเธอทำไม
โจนาส ฟังพ่อก่อน
นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมพ่อถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้ลงคอ พวกเธอเป็นเพื่อนของผมนะ เป็นเพื่อนของผม
โจนาส โจนาส อย่าเพิ่งไป โจนาส
ปล่อยผม ผล่อยผม
โจนาส
“ ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ได้ทำร้ายเขา ”
เงาของขวานส่องประกายอยู่ในแววตา
โจนาสวิ่งออกไป ไกลเกินกว่ามือของเขาจะคว้าไว้ เช่นเดียวกับที่แม่ของเด็กชายเคยจากไป
เขาพยายามคว้าทั้งคู่ไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
โจนาสวิ่งและล้มลง เลือดแดงฉาน
ใต้โอ๊คต้นนั้น ใบสีแดงร่วงกราว
“ ไม่มีใครรู้เรื่องนั้นหรอก และมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ” มอนเกรฟยังว่าต่อ เขายืนหันหลังให้อีกฝ่ายอยู่ใต้จันทร์กระจ่างที่เคลือบทุกสิ่งให้เป็นสีเงินยวง ดูหลุดลอยออกมาจากความฝัน
“ คุณทำสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ และลูกชายของคุณจะไม่กลับมาแล้ว โอ๊คต้นนี้สวยงามเหลือเกิน ความงามของมันหลอกหลอนคุณใช่ไหม พวกเด็กน้อยหลอกหลอนคุณใช่ไหม เช่นนั้นคุณถึงจามมันทิ้งด้วยขวาน หวังว่าจะลบเลือนพวกเขาและจะหนีไปจากที่นี่ ”
เงาของขวานส่องประกาย มันปักอยู่ที่โคนรากของต้นไม้ ตำแหน่งซึ่งชายแปลกหน้าไม่มีทางมองเห็นได้ เอ็ดมันน์ วู้ดเลือกที่จะไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว นอกจากเงาสีเงินของมัน ความคมของมัน และระยะห่างที่มือเอื้อมถึง
“ แต่บางเรื่องแม้กระทั่งความตายก็หยุดยั้งมิได้ ทำให้เราเป็นอิสระไม่ได้ คุณว่าไหม ”
เงาของขวานทอประกายสะท้อนแสงจันทร์
เอ็ดมันน์ผู้คลุ้มคลั่งทุ่มแรงทั้งหมดลงไป
ตวัดฉับไปที่คอของชายแปลกหน้าทันที
ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ
แสงจันทร์ทอประกายลงมา ย้อมให้ทุกสรรพสิ่งในผืนป่าเป็นสีซีดจางไร้ซึ่งชีวิตชีวา ทว่าความมืดของหุบเขาโรยตัวทาบทับเหนือเงาสีเงินอีกครั้ง ท่ามกลางสีขาวและดำที่ผลัดกันขึ้นมาชิงชัย รัตติกาลอันสงบเงียบยังคงดำเนินต่อไป
นกฮูกกู่ร้อง สัตว์ป่าทั้งหลายของค่ำคืนหลีกทางให้อย่างเงียบเชียบยามเมื่อพวกมันล่วงรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นกำลังเดินผ่านเส้นทางหากินของตน สัตว์ร้ายบางชนิดซึ่งเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้
แกรบ แกรบ
รองเท้าบู๊ตคู่ใหญ่เหยียบย่ำบนใบไม้แห้งกรอบและทางเดินของฝูงสัตว์ เกิดเป็นเสียงแผ่วท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี
สุ้มเสียงดังกล่าวปลุกให้ผู้ที่หลับใหลตื่นขึ้น เด็กหญิงตัวน้อยงัวเงียขณะพยายามหยีตาขึ้นมอง ผมสีอีกาของเธอยุ่งเหยิงอยู่เหนือบ่า สิ่งแรกที่เห็นมีเพียงเงาของต้นไม้ และเสื้อโค้ทแสนประณีตที่ยับยู่ยี่ของพี่ชาย
“ อือ ...”
“ ตื่นแล้วหรือ ..”
“ ท่านพี่ ? ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้คะ ? ” เธองุนงงเสียเต็มประดา ร่างเล็กของเด็กหญิงอยู่ในอ้อมกอดเย็นยะเยียบของผู้เป็นพี่ ดวงตาสีดำสนิทจ้องตอบเธอ มีเงาขมุกขมัวซ่อนเร้นอยู่ในนั้น แต่เมื่อเขากะพริบตาอีกครั้ง ร่องรอยดังกล่าวก็เลือนหายไป
“ ข้าต้องถามเจ้ามากกว่า ..วาเลอรี จำได้หรือเปล่าว่าตัวเองไปที่ไหนมา ”
“ ข้าไปตามหาเพื่อนที่บ้านของเขา… บ้านที่มีต้นโอ๊ค …. โจนาส ---ใช่แล้ว โจนาส ”
ในที่สุดเด็กหญิงก็ตื่นเต็มตา เธอรีบยุดชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ทันที
“ ท่านพี่.. โจนาสอยู่ที่นั่น เขาอยู่ข้างในนั้น ข้างใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่ที่ใบสีแดงก่ำ ข้าได้ยินเสียงเขา ”
“ ข้ารู้ เขาเคยอยู่ที่นั่น ข้ารู้ตอนออกไปหาเจ้า..แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่แล้ว”
“ หมายความว่าอย่างไรคะ ? ”
ความเงียบเข้าเกาะกุมระหว่างคนทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่ วาเลอรีไม่เข้าใจสิ่งใดเลย แม้เรือนผมดำดุจอีกาและริมฝีปากแดงสะพรั่งของสาวน้อยจะทำให้ใครต่อใครมักจะคิดว่าเธอเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ทว่าแท้จริงแล้วเธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงแปดขวบปีที่ไร้เดียงสาเท่านั้น และสำหรับเด็กหญิงตัวน้อยแล้ว โลกนี้เป็นเพียงสวนอันสงบเงียบ ที่ซึ่งดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง เป็นสถานที่วิ่งเล่นของตนกับเพื่อนเพียงเท่านั้น
กลางคืนอันลี้ลับหมุนเวียนไป กลางวันมาแทนที่ ฤดูหนาวที่ผ่านเข้ามาจะผ่านเลยไป เช่นเดียวกับความเลวร้ายต่างๆของโลก เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว เธอยังคงหวังว่าวันพรุ่งนี้จะได้เห็นหน้าเพื่อนของตนเช่นเคย
ผู้เป็นพี่ชายยังคงเงียบงันไร้สุ้มเสียง เขามองไปยังทิวเขาเบื้องหน้าที่ซึ่งแสงสีเงินซีดตกกระทบ หมอกที่เคลื่อนคล้อยไปทำให้เห็นภาพของทะเลสาบกว้าง ห่างไกลไปจากนั้นคือแสงไฟเล็กๆจากหมู่บ้านที่ตั้งอยู่คนละทิศ
ใต้ทัศนียภาพอันงดงาม ความเลวทรามถูกหมักหมมไว้ข้างใต้ เช่นเดียวกับต้นโอ๊คแดงก่ำ ซึ่งบัดนี้ศพทั้งหลายยังคงหลับใหลอยู่อย่างสงบ
ชายผู้นั้นฆ่าเด็กหญิงหลายต่อหลายคน ทุกคนล้วนแต่ผุดผ่องดั่งกุหลาบแรกแย้ม เรือนผมสีน้ำตาลดกเป็นเงา ในอนาคตพวกหล่อนคงจะเป็นดอกไม้งามอย่างแน่นอน เขาพรากความงามที่บริสุทธิ์ไปจากโลก รวมทั้งลูกชายของตนเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความวิกลจริต เขาย่อมถูกสาป เขาย่อมต้องโทษ
กระนั้นระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่ เคลาส์ก็มิได้แสดงท่าทีโศกเศร้า ไม่ใช่เพราะเขาไม่แยแส
เขาเพียงกำลังคำนวณถึงคำตอบที่ดีที่สุดที่จะมอบให้สาวน้อยของตน
“ โจนาสจากไปพร้อมกับพ่อแล้ว ” ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่มนวล “ พวกเขากำลังจะเดินทางลงใต้ไปที่ๆอุ่นกว่านี้ เหมันต์กำลังมา พวกเขาคงทนอยู่ที่หมู่บ้านต่อไม่ไหว..บางทีพวกเราก็น่าจะทำแบบเดียวกันนะวาเลอรี ”
“ แต่ข้าว่าข้าได้ยินเสียงโจนาสที่ใต้ต้นโอ๊คจริงๆ ” วาเลอรีตอบอย่างเชื่อมั่น เธอเกาะกุมบ่าของพี่ชายเสียแน่นขณะที่พูดยืนยัน
“ ข้าได้ยินจริงๆ ท่านพี่ โจนาสอยู่ใต้โอ๊คต้นนั้น รอให้ข้าไปหา แต่พ่อของเขาไม่ยอมสนใจข้าเลยสักนิด ตอนเย็นข้าก็เลยแอบเข้าไปในสวน…. แล้ว แล้วก็”
“ แล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น ..หลับอยู่ในโรงเก็บของ ” ผู้เป็นพี่ชายต่อให้จนจบประโยค มีร่องรอยการตำหนิแม้สีหน้าเรียบเฉย
“ ข้าหาเจ้าเสียตั้งนาน เด็กน้อย ..ไม่นึกว่าหลังจากก่อวีรกรรมอย่างการหลบหนีออกมาจากปราสาท ซ้ำยังลักลอบเข้าเคหสถานของมนุษย์ผู้อื่น เจ้าจะหลับไปดื้อๆเพียงเท่านั้นเอง ”
เด็กหญิงก้มหน้าอย่างนึกละอาย ใบหน้าซีดปรากฎรอยแดงซ่าน
“ ขอโทษค่ะท่านพี่ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าจะไม่สร้างปัญหา”
ชายหนุ่มหัวเราะหึ นี่คงเป็นคำพูดที่น่าขบขันที่สุดในค่ำคืนนี้
“ ถ้าอย่างนั้น …โจนาสก็ไม่อยู่แล้วหรือคะ ”
“ ใช่ ”
“ แต่ว่า ...แต่ว่า เขาสัญญาว่าจะมาเล่นกับข้าวันพรุ่งนี้ เขารักษาสัญญาเสมอ”
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะบอกว่าข้าโกหกหรือ ”
เด็กหญิงชะงัก เธอมองหน้าพี่ชายสลับกับมือของตนอย่างละล้าละลัง นี่เป็นคำถามที่ยากจะตอบ หากในโลกนี้มีสิ่งที่เชื่อถือได้ยิ่งกว่าพระจันทร์กับพระอาทิตย์ กลางวันและกลางคืน นั่นคงจะเป็นท่านพี่อย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเธอจึงเริ่มตระหนักได้ว่าเพื่อนจากไปแล้ว ทั้งคู่คงจะไม่ได้พบกันอีก เด็กหญิงจึงเริ่มสะอื้นน้อยๆ เธอร้องไห้เสียจนไหล่ของเสื้อโค้ทพี่ชายเปียกปอน และร้องกระทั่งไม่มีเสียงให้ร้อง แล้วจึงหลับไปอีกครั้งหนึ่ง
วันพรุ่งนี้จะมาเยือน แม้จะแห้งแล้งเย็นชาเพียงใด วันพรุ่งนี้ย่อมมาเยือนเสมอ
เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วสาวน้อยจะตระหนักและเรียนรู้ถึงสิ่งสำคัญ นั่นคือการจากลา … เป็นครั้งแรกที่เธอจะเจ็บปวดกับการสูญเสีย และรับรู้ถึงสิ่งสำคัญกว่า นั่นคือสายสัมพันธ์กับผู้ที่ยังดำรงอยู่
เคลาส์ มอนเกรฟครุ่นคิดถึงเด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อย โจนาสเรียกวาเลอรีไปที่นั่นอย่างแน่นอน แต่มิใช่โจนาสที่มีชีวิต เขาคงจะตายไปแล้วในตอนที่วาเลอรีไปถึง สาวน้อยของเขามักจะเป็นที่ดึงดูดของเหล่าสิ่งลี้ลับและวิญญาณในเงามืดอยู่เสมอ
ทว่าที่จริงแล้วคงไม่ใช่เพียงโจนาสที่รอคอยเด็กหญิงอยู่
ต้นโอ๊คต้นนั้นเองก็รอคอย มันนั่นเองที่ปรารถนาให้วาเลอรีเข้าไปหา อาจเพราะมันเก็บกักความรู้สึกอันท่วมท้นมายาวนาน ทั้งความยินดี ความเดียวดาย ความโศกเศร้า ความโกรธแค้น และความคลุ้มคลั่ง อารมณ์ที่รุนแรงทั้งหมดกลั่นตัวเป็นหยดสีแดงดั่งเลือด กระจายจากรากที่ซุกซ่อนใต้ดินสู่ใบเบื้องบน และเปลี่ยนจากสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นปิศาจกระหายเลือด ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้น หากปล่อยไว้อีกเพียงชั่วคืน วาเลอรีที่หลับใหลอยู่ข้างในบ้านก็จะเป็นเหยื่อรายต่อไป
วันพรุ่งนี้ชาวบ้านจะลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าต้นโอ๊คในไร่สปริงฟิลด์หักโค่นลงเสียแล้ว ใต้รากที่ผุพังจะปรากฎโครงกระดูกของเด็กทั้งหลาย กับซากขวานเปื้อนเลือด คนในหมู่บ้านจะพบว่าเอ็ดมันน์ วู้ดทำอะไรลงไป พวกเขาจะร้องตะโกน สาปแช่ง และตามหาสัตว์ร้ายผู้นั้น แต่จะไม่มีวันหาเจอ ไม่มีวันรู้ได้ว่าเอ็ดมันน์ วู้ดหายไปที่ใด
จะไม่มีใครเชื่อว่าครั้งหนึ่งชายฆาตกรก็ได้พบกับค่ำคืนที่เหมือนฝันร้าย ค่ำคืนที่เขาได้พบกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง และสิ่งลี้ลับอันเก่าแก่ซึ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าขวาน ราตรีกาล หรือความตาย น่าสะพรึงเสียจนมนุษย์มิอาจไม่วิปลาสไปได้
เขาคลุ้มคลั่ง เขากรีดร้อง แต่ไม่มีใครรับรู้
เคลาส์ มอนเกรฟเลียริมฝีปากช้าๆ ตรงตำแหน่งที่เลือดกระเซ็นมาโดนเขี้ยวยาวสีขาว
คอของตนมีรอยขีดเบาบางดั่งขนนก บ่งบอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยถูกขวานเล่มบิ่นฟันจนแทบขาดสะบั้น
ราตรีนี้ยังคงเยียบเย็นเช่นเคย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in