การไปขอเค้าเข้าชมรมว่ายากแล้วแต่การปรับตัวยากกว่า คือเอาจริงๆอยู่จนกลับไทยก็ยัง
เอาจริงคือเราเข้ามาผิดช่วงด้วยแหละเราเข้ามาช่วงฤดูหนาวที่เค้าจะเน้นเพิ่มพลังกายกัน ก็เน้นเวท วิ่งไกล ไม่เน้นการสปรินท์ ซึ่งเราเป็นคนเหนื่อยง่ายมาก วิ่งไกลคือไม่รอดเลย วิ่งขึ้นเนินยิ่งไม่รอดใหญ่ เวทก็ไม่เคยทำมาก่อน สรุปตายหมด ก็คือเราก็ทำแค่เท่าที่ไหว สองเดือนแรกไม่เคยซ้อมครบตามตารางเลย แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ เพราะเป็นเด็กแลกเปลี่ยน พูดง่ายๆคือไม่มีใครสนใจ555 (จริงๆแค่ไม่มีใครมาพูดตรงๆ แต่เค้าสังเกตเราตลอด) แต่เพื่อนในชมรมก็จะซัพพอร์ตเราตลอด คอยสอน คอยบอก คอยให้กำลังใจ เค้าเชียร์อัพกันเก่งมากอย่างถ้ามีใครวิ่งอยู่ในสนาม คนที่ยังไม่วิ่งหรือวิ่งเสร็จแล้วงก็จะคอยบอกไฟโตะ (สู้ๆนะ) บางทีเราวิ่งถึงคนสุดท้ายเค้าก็ก็เชียร์อัพเราคนเดียวมันก็จะเขินๆหน่อย 555 แล้วส่วนมากการซ้อมก็จะซ้อมพร้อมกัน ทำทุกอย่างด้วยกัน เราชอบบรรยากาศแบบนั้นมาก แล้วพอซ้อมวิ่งเสร็จทุกวันก็จะมีบอดี้เวทต่อ เวทหลังวิ่งมาเหนื่อยๆคือเหมือนจะตาย แต่ก็ชอบนะ เพราะเค้าจะให้ล้อมกันเป็นวงกลม แล้วก็ให้คิดมาคนละท่า เราชอบเพราะว่ามันเป็นเวลาที่จะได้ทำความรู้จักกับคนอื่นนี่แหละ
ลำพังแค่การซ้อมก็ว่าเหนื่อยแล้วแต่ตอนที่เราเริ่มเข้าชมรมก็กลางเทอมแล้ว เป็นช่วงเราเรียนหนักมาก ทั้งการบ้าน ทั้งนำเสนอคือเยอะมาก มันหนักเหมือนที่รุ่นพี่บอกมา เข้าใจเลยว่าทำไมเค้าไม่แนะนำให้เข้าชมรม เพราะนอนไม่พอเลยสักวัน แถมเรียน 8 โมงเช้าทุกวัน พอเรียนเสร็จก็ซ้อมต่อ กลับมาก็ปั่นการบ้าน คือหนักหนาสาหัสมาก แล้วมันมีวันนึงเรานอนไม่พอ มีเรียนเช้า แล้วซ้อมบ่าย ต้องปั่นจักรยานไปสนาม คือตอนซ้อมเสร็จขาล้ามาก แล้วต้องปั่นจักรยานกลับอีก เหนื่อยมากๆ แล้วระหว่างทางมันต้องปั่นขึ้นสะพาน แบบโคตรทรมาน ตอนนั้นคือน้ำตามาละ แบบคิดละว่าทำไมชีวิตมันต้องเหนื่อยขนาดนี้วะ พอน้ำตากำลังจะไหลก็ขี่พ้นเนินสะพานพอดี แล้วเจอพระอาทิตย์ตก สวยมาก แบบมากๆ ยังจำภาพนั้นได้อยู่เลยอะ แบบมันสวยจนหายเหนื่อยเลย เป็นโมเมนท์ที่ดูน้ำเน่ามากนะ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ จากเหนื่อยๆก็คือมีแรงปั่นไปซูเปอร์ซื้อของกลับไปทำกับข้าวกินอะ พลังของธรรมชาติสุดๆ
มาถึงเรื่องเพื่อนบ้าง คืออย่างที่เคยบอกไปว่าชมรมมันมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนสูงมาก ละเราที่เข้ามากลางคันแถมเป็นเด็กแลกเปลี่ยนอีกก็คือคนนอกดีๆนี่เอง และการเป็นคนนอกก็คือเรื่องเศร้า (อันนี้เคยคุยกับเพื่อนญี่ปุ่น เค้าบอกว่าไม่ต้องเป็นเด็กแลกเปลี่ยนอะ แค่คนญี่ปุ่นเองก็ยาก) แต่ว่าทุกคนก็ใจดีมากเลยนะแบบที่เคยบอกไป ตอนซ้อมก็ซ้อมด้วยกัน มีอะไรก็สอน มีขับรถพาไปซื้อรองเท้าวิ่งไรงี้ด้วย แต่เวลาที่จะรู้สึกเป็นคนนอกจริงๆ ก็คือเวลาพัก เวลาที่ไม่มีอะไรให้ทำ ทุกคนก็จะจับกลุ่มคุยกัน ตอนนี้แหละที่จะไม่มีคนคุยกับเรา และเราก็เข้าไปคุยกับกลุ่มไม่ได้เพราะเค้าก็จะพูดแต่เรื่องที่เราไม่เข้าใจอะ ละถ้าเราออกความเห็นอะไรสักอย่างทุกคนก็จะหันมาสนใจเราคนเดียว ละบทสนทนามันก็จะไม่ไปต่อ และการอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นมันยากมากๆ แต่นานๆ ทีก็จะมีบางคนที่มาคุยกับเราบ้างนะ แต่พออยู่ๆไปก็จะชินไปเอง เราก็จะปล่อยให้เค้าคุยกันไป เราก็จะยืนอยู่ด้วยตรงนั้นแหละ 555 แต่ข้อดีของการเป็นคนนอกก็ดีนะคือต่อให้ทำได้ไม่ดีก็จะไม่โดนดุ ไม่มาชมรมก็ไม่มีใครว่า (ปกติถ้าไม่มาชมรมต้องแจ้งเหตุผลก่อน) ก็เลยเหมือนทำอะไรก็ได้อะ แต่ถ้าเลือกได้ใครจะอยากเป็นคนนอกกันเล่า
ละตอนที่เราไปขอเค้าเข้าชมรม ที่เค้าบอกว่าให้เข้าได้เลยแต่จริงๆเค้ายังไม่ได้รับเราเข้านะ(เพิ่งมารู้ตัวทีหลัง) เพราะเค้าไม่แอดเราเข้าไลน์ชมรมสักที เราเข้าชมรมเกือบเดือนถึงจะถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์ ระหว่างนั้นก็ต้องถามเพื่อนทุกวันว่ามันนี้มีซ้อมมั้ย ซ้อมที่ไหน เพราะว่าตารางซ้อมมันจะอยู่แค่ในกลุ่ม เพราะงั้นวันที่เค้าดึงเราเข้ากลุ่มไลน์ก็คือดีใจมากก แบบนี่คือก้าวแรกสินะ ในที่สุดด
ละมีอีกเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเป็นคนนอกสุดๆ คือเราไม่มียูนิฟอร์ม
สรุปว่าตอนแรกๆทั้งเรื่องซ้อมทั้งเรื่องเพื่อนก็คือยากสำหรับเรามากแต่มันก็สนุกมากๆเหมือนกัน ทุกวันคือได้ทำอะไรใหม่ๆไม่ซ้ำกันเลย แล้วบรรยากาศตรงนั้นมันก็ดีมากๆ มันเป็นบรรยากาศแบบที่สัมผัสไม่ได้ที่ไทยอะ แค่ได้ไปอยู่ตรงนั้นได้ดูเค้าซ้อมกันก็แฮปปี้แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in