พ่อไม่ใช่คนชอบเขียนหนังสือหรือจะเป็นหนอนหนังสือสักเท่าไรนัก
ผมจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อท่านยื่นสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลเล่มนี้มาให้แล้วบอกให้เขียนไดอารี่หรืออะไรก็ได้ที่ผมต้องการเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อฝึกเขียน
ความสนเท่ห์คงอยู่ไม่นานหลังจากพอคาดเดาแรงจูงใจของพ่อได้ เมื่อท่านเบนสายตาไปยังรูปถ่ายของแม่ที่จากไปตั้งแต่ให้กำเนิดผมได้ไม่ครบหนึ่งเดือนดี
ดังนั้นแม่ที่ผมรู้จักคือแม่ในความทรงจำของพ่อที่หมั่นเล่าเรื่องของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่ท่านรัก...ไม่รู้จบไม่รู้เบื่อ
‘พ่อเลี้ยงไอมาแบบคนไทยตลอด ให้ทำแบบนี้หวังว่าแม่เขาคงให้อภัยพ่อได้บ้าง’พ่อพูดติดตลก ขณะผมส่ายหน้ายิ้มๆ ตอบพ่อไปว่า
‘ถ้าแม่รู้ว่าไอเพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนก่อนสัมภาษณ์ทุนแค่สามวันตอนนี้อีกอาทิตย์เดียวจะบินไปเรียนแล้วยังจำคันจิได้ไม่กี่ตัว แม่คงให้อภัยพ่อหรอก’
แล้วผมก็ต้องเอียงหัวหลบมะเหงกของพ่อไปตามระเบียบ
ปกติเวลาคนอื่นเขาจะเริ่มต้นเขียนไดอารี่เขาจะเริ่มอย่างไรกัน...ที่แน่ๆเขาคงไม่มาพล่ามที่มาของสมุดยาวเหยียดแบบผมแน่ๆ
คงเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว ไม่ก็บรรยากาศของสถานที่ที่อยู่ ณ ตอนเขียน
อืม...ผมแนะนำตัวก่อนแล้วกัน
ผมชื่อไอ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นที่นอกจากหน้าตาซึ่งมียีนแดนซามูไรเด่นชัดจนถูกพ่นภาษาญี่ปุ่นใส่เป็นประจำเวลาไปแถววัดพระแก้วและชื่อเล่นแล้วผมไม่มีส่วนไหนที่มีความเป็นญี่ปุ่นทั้งนั้น
ไอ...เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าความรัก พ่อตั้งชื่อเล่นให้ผมได้ในที่สุดขณะอุ้มผมวัยแบเบาะยืนมองควันลอยจากปล่องเมรุส่งแม่ขึ้นสู่สวรรค์หลังจากทุ่มเถียงกับบรรดาญาติๆมานาน
‘เขาหน้าเหมือนแม่เขามาก ยิ่งตาโตๆสีน้ำตาลใสๆแบบนี้...ให้ชื่อไอน่ะดีแล้ว’พ่ออธิบายเหตุผลกับญาติๆไปแบบนั้น
ถึงแม่จะไม่อยู่แล้ว แต่ความรักของแม่ก็ยังจะคงอยู่ในตัวของผมไม่สลายหายไป...พ่อบอกที่มาของชื่อเล่นนี้ในวันแม่ตอนผมอยู่อนุบาลหนึ่งปลอบผมซึ่งร้องไห้งอแง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีแม่มาให้กราบเหมือนเพื่อนคนอื่นมีแต่พ่อที่เดินเข้ามานั่งเป็นผู้ชายตัวโตโดดเด่นดูผิดที่ผิดทางกับรอบด้าน
ผมเรียนจบสถาปัตยกรรมศาสตร์ เข้าทำงานเป็นมัณฑนากรในบริษัทของรุ่นพี่ได้ราวสามเดือนก็รู้ข่าวเรื่องทุนนี้
ฟังดูเหลือเชื่อ...แต่ผมตัดสินใจสมัครชิงทุนเพราะแม่
ผมอยากรู้จักแม่ให้มากกว่านี้อยากไปใช้ชีวิตในประเทศที่แม่เติบโตขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้ต่อให้ไปเที่ยวสักกี่รอบ เดินทางไปเยี่ยมญาติทางแม่กี่ครั้งต่อปีก็เติมเต็มความรู้สึกของผมในส่วนนี้ไม่ได้
ภาพของถนนเส้นเล็กตัดผ่านขนาบข้างด้วยบ้านเรือนที่มองเห็นจากหน้าต่างหอพัก...คือสิ่งที่ผมเห็นขณะกำลังเขียนไดอารี่อยู่ข้างๆบนโต๊ะมีตารางอักษรฮิรางานะกับคาตากานะ และพจนานุกรมไทย-ญี่ปุ่นวางคอยกำกับการเขียนอยู่
มันก็มีบ้างที่ท้อกับความยากของภาษานี้ อะไรๆก็ล้วนต้องจำวุ่นวายไปหมด
หากความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อผมนึกถึงแม่...ภาษาไทยก็ไม่ง่ายสำหรับคนต่างชาติเช่นกันแต่แม่ก็ทำได้
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กบอกว่าผมมาถึงประเทศที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างน้อยเป็นเวลาสองปีเต็มได้ห้าชั่วโมงแล้ว
สวัสดีญี่ปุ่น สวัสดีโตเกียว
เพิ่งมาเขียนทักทายอย่างเป็นทางการในบรรทัดนี้คงไม่ช้าเกินไปใช่ไหม
ผมอ้าปากหาวแล้วยืดแขนขึ้นบิดขี้เกียจไปมาหางตาเหลือบเห็นเงาสะท้อนของตนเองบนประตูตู้เสื้อผ้าก็หันไปมอง
ผู้ชายอายุยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ปีในนั้นจ้องตอบกลับมาเขามีผิวขาวจัด รูปร่างผอมแบบที่พ่อล้อบ่อยๆว่าช่างเป็นหุ่นแบบญี่ปุ่นจริงๆดวงตาสีน้ำตาลใสในกรอบกลมโตล้อมด้วยขนตายาวงอนและหนาใต้คิ้วเรียวเข้ม จมูกโด่งริมฝีปากอิ่ม รวมแล้วเป็นใบหน้าที่ถอดแบบมาจากหญิงสาวในกรอบรูปตั้งบนโต๊ะไม่ผิดเพี้ยน
นัยน์ตาอ่อนโยนของเธอมองผมจากอีกฝั่งหนึ่งของกาลเวลาคล้ายกับจะกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น
ผมยิ้มให้เธอ กระซิบเสียงแผ่วเป็นภาษาญี่ปุ่นก้องไปทั่วห้องพักเล็กๆแห่งนี้...และทุกห้องหัวใจ
“สวัสดีครับแม่...ไอกลับมาแล้ว”
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in