การค้นหาอัตลักษณ์และการก้าวข้ามผ่านวัยคือการค้นหาความเป็นตัวตนของตนเองและการก้าวข้ามปัญหาจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวละครจะต้องเผชิญซึ่งสองสิ่งนี้สามารถเห็นได้ผ่านตัว เพอร์ซี่ย์ และแอนนาเบธ ตัวเอกของหนังสือเรื่อง เพอร์ซี่ย์ แจ๊กสันกับสายฟ้าที่หายไป
หนังสือเรื่อง เพอร์ซีย์แจ็กสันกับสายฟ้าที่หายไป เขียนโดย Rick Riordan แปลโดย
ดาวิษ ชาญชัยวานิช ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2,553 โดยสำนักพิมพ์เอ็นเธอร์บุ๊คส์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพอร์ซีย์ แจ็กสัน เด็กชายอายุ 12 ปี ผู้เข้าใจว่าตนเองเป็น เด็กมีปัญหาธรรมดาๆ ทั่วไป จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งต่างๆ รอบตัวเขาก็เริ่มแย่ขึ้น เขาถูกอสูรกายตามล่าเอาชีวิตจนต้องไปอยู่ที่ค่ายฮาล์ฟบลัดเพื่อความปลอดภัย ที่ค่ายแห่งนี้เขาได้พบว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแต่เป็นมนุษย์กึ่งเทพและพ่อของเขาคือเทพโพไซดอน แต่เขายังไม่ทันปรับตัวกับข่าวนี่ได้ก็ถูกกล่าวหาว่าขโมยสายฟ้าของซุสไปเสียก่อน เขาจึงต้องทำภารกิจออกเพื่อตามหาสายฟ้าและคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ตัวเอง
ปมปัญหาที่ต้องเผชิญ
ตัวเอกในเรื่องทั้งเพอร์ซี่ย์และแอนนาเบธต่างประสบปัญหาที่พ่อแม่แต่งงานใหม่และรู้สึกเป็นส่วนเกินของครอบครัว ดังจะเห็นได้จากประโยค
“ แม่จะส่งผมไปอีกหรือเปล่าครับ” ผมถามแม่ “จะให้ผมไปอยู่โรงเรียนประจำอีกหรือเปล่า”
“...แม่ไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยเหรอครับ”
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า46)
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่าเพอร์ซีย์เสียใจที่แม่ของเขาที่มักส่งเขาไปอยู่โรงเรียนประจำเขาจึงคิดว่าแม่ไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย ซึ่งแอนนาเบธเองก็มีปัญหานี้ พ่อของเธอไม่เคยต้องการให้เธอเกิดมา ดังจะเห็นได้จากประโยคดังต่อไปนี้
“...เขามักจะพูดอยู่เสมอว่าการปรากฏตัวของฉันคือภาระที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตตอนฉันอายุได้ 5 ขวบเขาก็ไปแต่งงานและลืมเลือนอาธีน่าโดยสิ้นเชิงเขามีภรรยาที่เป็นมนุษย์ทั่วๆไปและก็มีลูกสองคนที่เป็นเด็กทั่วๆ ไปจากนั้นมาเขาก็ทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตน”
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า207)
จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พ่อของแอนนาเบธปฏิบัติกับเธอเหมือนไม่ใช่ลูกและไม่สนใจเธอ ยิ่งไปกว่านั้นแม่เลี้ยงของแอนนาเบธยังไม่ให้น้องๆ มาเล่นกับเธอและพ่อของเธอก็เห็นดีเห็นงามดวย สิ่งนี้ทำให้แอนนาเบธรู้สึกเป็นส่วนเกินในครอบครัวและเลือกที่จะหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ
นอกจากนี้การที่ไม่รู้ว่าพ่อหรือแม่ของตนเป็นใครก็เหมือนเป็นปมในใจของบรรดามนุษย์กึ่งเทพในเรื่องพวกเขาต่างเติบโตมาโดยที่เข้าใจว่าพ่อหรือแม่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่งกลับพบว่าพ่อแม่ของตนเป็นเทพเจ้าและพวกเขายังต้องรอให้พ่อหรือแม่เทพเจ้าของตนประกาศยืนยันว่าเป็นพ่อกับแม่อีกด้วยซึ่งเด็กบางคนในค่ายฮาล์ฟบลัดก็ไม่มีพ่อแม่มายืนยันตัว ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
“เทพเจ้ามีงานยุ่งเพอร์ซีย์ พวกเขามีลูกหลายคน...บางครั้งพวกเขาก็ไม่สนใจพวกเราเพอร์ซี่ย์ พวกเขาไม่ใส่ใจพวกเรา”
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า103)
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เด็กๆ ในค่ายฮาล์ฟบลัดต่างรู้สึกด้อยค่าในตนเองพวกเขารู้สึกว่าพ่อหรือแม่ไม่สนใจพวกเขาเหมือนไม่มีค่าพอที่จะสละเวลามาสนใจซึ่งตัวเพอร์ซี่ย์เองก็ไม่ได้รับการยกเว้นเขาเองรู้สึกเช่นนั้น ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
...จริงอยู่ที่ว่าเหล่าเทพมีงานสำคัญต้องทำมากมาย แต่แค่โทรมาหาลูกๆบ้างนานๆครั้งแค่นี้จะทำไม่ได้เชียวเหรอ
ไดโอนีซุสสามารถเสกกระป๋องโค้กขึ้นมาจากอากาศ แล้วทำไมพ่อของผมจะเสกโทรศัพท์ขึ้นมาบ้างไม่ได้ล่ะ
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า115)
จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เพอร์ซี่ย์เองก็รู้สึกว่าพ่อไม่ใส่ใจเขาอย่างที่พ่อควรจะทำ ทั้งไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นและไม่เคยติดต่อมาสักครั้งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกน้อยใจพ่อของเขาและรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าสำหรับพ่อ ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวปกติที่พ่อแม่ในปัจจุบันไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก และใช้เวลาอยู่กับการทำงานเลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยี
นอกจากปัญหาด้านครอบครัวแล้วอีกปัญหาหนึ่งของเพอร์ซี่ย์คือปัญหาด้านการเรียนและการเข้าสังคม เพอร์ซี่ย์เป็นโรคดิสเลกเซียซึ่งทำให้เพอร์ซีย์มีปัญหาด้านการเรียนที่ไม่สามารถท่องจำคำศัพท์ต่างๆ หรืออ่านหนังสืออย่างรวดเร็วเหมือนเด็กๆ ทั่วไป อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการสะกดคำและโรคสมาธิสั้นซึ่งสิ่งนี้เป็นเหมือนปมของเพอร์ซีย์ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
ในชีวิตผมไม่เคยได้เกรดสูงกว่าซีลบเลยด้วยซ้ำ...และผมจำชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกับคนในประวัติศาสตร์พวกนั้นไม่ได้เลย ยิ่งถ้าให้สะกดชื่อด้วยล่ะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า14)
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นถึงปัญหาจากการเป็นดิสเลกเซียที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนของเขาทำให้ไม่สามารถท่องจำหรืออ่านสิ่งต่างๆ ได้ง่ายเหมือนคนปกติ นอกจากนี้เขายังคิดว่าตนเองเป็นเด็กมีปัญหาเพราะมักจะก่อเรื่องอยู่เสมอแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เพอร์ซี่ย์เรียนอยู่ในโรงเรียนประจำที่รวมตัวเด็ก
มีปัญหาเอาไว้ด้วยกัน โดยก่อนหน้าโรงเรียนแห่งนี้เขาย้ายโรงเรียนมาแล้วถึงหกครั้งและมักจะโดนทำโทษหรือโดนทัณฑ์บนเป็นประจำ
การค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง
จากปมปัญหาข้างตนทำให้เพอร์ซี่ย์ในวัยเด็กไม่สามารถหาคุณค่าของตนเองพบแต่เมื่อผ่านการเดินทางทำภารกิจเขาก็เติบโตขึ้นและค้นพบคุณค่าของตนเอง จากที่เป็นเด็กมีปัญหาอยู่โรงเรียนประจำสำหรับเด็กมีปัญหาเพอร์ซี่ย์กลายเป็นฮีโร่ผู้ช่วยยับยั้งสงครามระหว่างเหล่าเทพเขากลายเป็นที่รักของชาวค่ายฮาล์ฟบลัด นอกจากนี้เขายังพบว่าปัญหาต่างที่ทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนอยู่บ่อยๆ ล้วนไม่ใช่ฝีมือเขาแต่เป็นเพราะเหล่าอสูรกายที่พยายามเอาชีวิตเขาต่างหากที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ซึ่งรวมถึงสายฟ้าของซุสที่ถูกขโมยไปและซุสกล่าวหาว่าเพอร์ซีย์เป็นคนขโมยไปแต่ในตอนท้ายของเรื่องเขาก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์และกู้ชื่อเสียงของตนเองจากการเป็นเด็กมีปัญหาให้กลายเป็นฮีโร่ของชาวค่ายฮาล์ฟบลัดได้ ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
พวกเราเป็นวีรบุรุษกลุ่มแรกที่สามารถกลับมายังค่ายได้โดยไม่ตายเสียก่อน...ดังนั้นทุกคนในค่ายจึงต้อนรับเราราวกับเราเป็นผู้ชนะรายการเรียลลิตี้โชว์อะไรสักอย่าง...เราต้องสวมมาลัยลอเรล เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่...
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า362)
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า หลังจากกลับจากการเดินทางเพอร์ซี่ย์ได้รับการปฏิบัติที่ดีไปกว่าเดิม จากวันแรกที่เขาไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดและถูกเด็กจากบ้านแอรีสในค่ายจะกดหัวจุ่มชักโครก หรือหลังจากที่คนในค่ายรู้ว่าเขาเป็นลูกขอโพไซดอนผู้ไม่ควรเกิดมาก็ทำให้ไม่มีใครมาคบกับเขาอีก แต่เมื่อเขาสามารถทำภารกิจสำเร็จและกลับมาค่ายอย่างปลอดภัยก็ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ของค่าย
นอกจากนี้เพอร์ซี่ย์ยังพบว่าพ่อคอยเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเหมือนที่เขาสามารถจำรอยยิ้มและสายตาอบอุ่นของพ่อได้ทั้งที่พ่อไม่เคยมาปรากฏตัวให้เห็นและเป็นเสียงที่คอยช่วยให้คำแนะนำเขาตลอดการเดินทาง
เขาพบว่าพ่อรักและให้ความสนใจเขามาตลอดเพียงแต่ไม่สามารถมาพบเขาได้เพื่อความปลอดภัยของเพอร์ซี่ย์เอง ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
...ในดวงตาของเขามีแสงสว่างหลายสี คล้ายกับแววแห่งความภาคภุมิใจ
“เจ้าทำได้ดี เพอซีอุส แต่จงอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร จงรู้ไว้เสมอว่าเจ้าเป็นบุตรของข้า เจ้าเป็นบุตรที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”
( เพอร์ซี่ย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป, ริก ไรออร์แดน, ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล, หน้า353)
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิในที่โพไซดอนมีต่อเพอร์ซี่ย์ลูกชายของตน และการที่เพอร์ซี่ย์เข้าใจว่าพ่อไม่ต้องการเขาและไม่อยากให้เขาเกิดมาเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่เขาคิดไปเอง
ส่วนทางด้านแอนนาเบธที่คิดว่าพ่อแต่งงานใหม่มีลูกกับแม่ใหม่ทำให้เธอคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวจึงหนีออกจากบ้านหลังการเดินทางทำภารกิจในท้ายที่สุดเธอก็พบคุณค่าของตัวเธอเองและครอบครัวจึงตัดสินใจติดต่อหาพ่อหลังจากไม่ได้ติดต่อนานและตัดสินใจที่จะลองกลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
การเผชิญหน้ากับปัญหา
นอกจากตัวแอนนาเบธที่ค้นพบคุณค่าของตัวเองในครอบครัวและเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการเผชิญหน้าแทนที่จะหนีต่อไปอย่างที่เคยทำในวัยเด็กด้วยติดต่อกลับไปหาพ่ออีกครั้งและตัดสินใจกลับไปอยู่กับพ่ออีกครั้งแล้วตัวเพอร์ซี่ย์เองก็สามารถแก้ไขปมที่เขามีในตัวได้สำเร็จเช่นกัน จากการเป็นดิสเลกเซียและสมาธิสั้นที่แม้ไม่สามารถรักษาให้หายได้แต่เพอร์ซีย์ได้พบถึงข้อดีของการเป็นดิสเลกเซียที่ทำให้เขาสามารถอ่านภาษาละตินออกเพราะตัวอักษรที่มักลอยไปมาไม่ยอมเป็นภาษาอังกฤษนั้นมักจะลอยไปสะกดเป็นภาษาละตินแทน ส่วนการเป็นโรคสมาธิสั้นนั้นก็ช่วยให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วขึ้นในเวลาเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆและสิ่งนี้เองที่ช่วยให้เขามีชีวิตรอดจากการสู้กับบรรดาอสูรกาย ซึ่งการได้รู้ความจริงข้อนี้ทำให้การเป็นดิสเลกเซียและสมาธิสั้นที่เหมือนเป็นปมหรือข้อด้อยของเพอร์ซีย์หายไปและกลายเป็นข้อดีแทนในตอนสุดท้ายของเรื่อง
เพอร์ซีย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะอยู่ที่ค่ายอย่างปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงและไม่ต้องเรียนในโรงเรียนที่แสนหน้าเบื่อหรือจะกลับบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับแม่แต่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายและต้องไปโรงเรียนซึ่งเพอร์ซีย์เลือกที่จะกลับบ้านแสดงถึงการกล้าที่จะลุกขึ้นสู้และเผชิญหน้ากับปัญหา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in