ความคิดเมื่อแรกพบศิษย์พี่ผู้นี้…
แม้อายุจะมากกว่าเขาไม่กี่ขวบปี… แต่กลับมีท่าทางเคร่งขรึมเงียบงัน
ทุกครั้งที่เฉียดเข้าใกล้ มักสัมผัสได้ถึงพลังปราณเยียบเย็น กระทั่งเจียงเฟิงเหมียนคาดว่าผิวกายของอีกฝ่ายอาจสลักเสลาออกมาจากหินภูเขาไฟในฉีซานก็มิปาน…
งดงาม...
ระคนน่าเกรงขามดั่งอนุสรณ์เทพกวนอู...
ทุกคราที่บังเอิญสบตา… คล้ายมีไอเย็นลึกลับ จ้องสะกด หมายแช่แข็งการเคลื่อนไหวของผู้มองให้หยุดนิ่ง ขัดแย้งสิ้นเชิงกับแววตาคุกรุ่นดั่งเปลวเพลิง เฉกเช่นอาภรณ์ปักลวดลายรัศมีตะวันร้อนแรงบนพื้นขาวบริสุทธิ์ที่คลุมร่างเอาไว้
เจียงเฟิงเหมียนลูบริมฝีปากล่าง พลางคิดวิเคราะห์
คนผู้นี้ย่อมใช่เวินรั่วหาน คุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉีซานเวิน มิผิดแน่…
แต่เหตุใด อีกฝ่ายถึงได้จ้องมองเขาด้วยสายตาคล้ายแลเห็นกรวดทรายเกะกะหน้าเรือน อยากเตะเขี่ยให้พ้นทางอยู่ทุกคืนวันเช่นนั้นเล่า
พูดก็พูดเถอะ…
หากอีกฝ่ายส่งสายตาดูหมิ่นแล้วอย่างไร หรือยกย่องแล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายวิญญูชนมิอาจตัดสินผู้คนเพียงชั่วพริบตาผ่าน
โบราณว่า… พบพานถือเป็นวาสนา โชคชะตาลิขิตให้ผูกพัน ชะตากรรมปั้นแต่งให้พัดพราก
กระทั่งยามนี้… ระหว่างทั้งสอง ความสนใจใคร่รู้ในตัวอีกฝ่ายย่อมเกิดขึ้นแล้ว ไหนเลยจะต้องเร่งรีบตัดสินคน สู้พบปะพูดคุยให้คุ้นเคย จากนั้นจึงค่อยสรุปก็ยังไม่สาย…
เจียงเฟิงเหมียนแย้มยิ้มบางเบา...
แน่วแน่ ทว่าอ่อนโยน...
พาให้คนมองตระหนักว่าคนแซ่เจียงผู้นี้ควรค่าน่ายกย่อง หาใช่เศษหินไร้ราคาริมทางเช่นคนขลาดทั่วไปไม่…
พลอยสีม่วงในดวงตาฉายแววละมุนทั่้งซ่อนงำประกายมาดมั่นเจือจาง ดั่งกำลังซึมซับความร้อนจากแววตาดุจเพลิงพลาญอย่างปราณีต อีกทั้งสะท้อนแสงตะวันตรงหน้าอย่างหาญกล้ามิหลีกหลบ…
หากแต่เพียงชั่วพริบตา… เป็นเปลวตะวันดวงนั้นเอง ที่เสมองผ่านไปทางอื่นเสียก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in