# ??????????????
???? : อยู่ในใจ (Cover Version) – Room 39
??????? : Peck × Tom
?????? : Cotton Candy 702
※ แนะนำตัวละคร ※
วาริน – ผลิตโชค
ธาร – อิศรา
_______________
" จะห่างหรือไกลเพียงใด
ไม่ว่าเวลาจะพ้นไปนานเท่าไร
หัวใจของฉันยังคงเหมือนเคย "
.
.
.
31 ธันวาคม พ.ศ.2562
แสงแดดอ่อนยามบ่ายคล้อยสาดส่องลงมาบนพื้นปูนซีเมนต์ที่ทอดยาวไปตามทางเดินแคบ
ปรากฏให้เห็นเป็นเงาของชายคนหนึ่งกำลังเดินลงมาจากสะพานด้วยท่าทีที่ีไม่รีบร้อน
ราวกับกำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด
ไม่บ่อยนักที่ ธาร นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง
จะมีเวลาไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ
โดยไม่ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือหรือทำงาน
หลังจากที่ส่งงานชิ้นใหญ่ที่มหาลัยเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงเลือกที่จะกลับมาเยี่ยมที่แห่งนี้อีกครั้ง
สถานที่แห่ง ความทรงจำ และเรื่องราวในวัยเด็กของเขา
ธารค่อยๆก้าวเท้าไปตามทางเดินที่ทอดยาว พร้อมกับกวาดสายตามมองบรรยากาศรอบตัวที่คุ้นเคย
สองข้างทางขนาบด้วยบ้านไม้ชั้นเดียว
ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆแห่งนี้ บางบ้านเปิดเป็นร้านขายของชำเก่าๆ บ้างก็เปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางสัญจรผ่านไปมาในแต่ละวัน
ถังและกะลังมังพลาสติกสีสดวางเรียงรายอยู่หน้าบ้านเป็นภาพที่เห็นได้ตลอดทาง เนื่องจากวัดนี้อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา
ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่แวะเวียน มาทำบุญด้วยการปล่อยปลา
แม้บ้านเรือนและวิถีชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่กลิ่นอายของชุมชนริมน้ำแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม
และธารก็ยังคงจำมันได้ดี
เขาเดินมาเรื่อยๆ เสียงพูดคุยหลายภาษา
ดังมาจากร้านอาหารริมน้ำสไตล์โมเดิร์นทางซ้ายมือ กลิ่นอาหารจากห้องครัวลอยมาเตะจมูก จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีเวลาว่างอยากจะพาแม่มากินอาหารเย็นชมวิวเจ้าพระยา
สักครั้ง
วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ผู้คนส่วนมากคงรอไปเค้าท์ดาวน์กันตามห้างใหญ่ๆ หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัวที่บ้าน
แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่เลือกมาทานอาหารเย็นและนั่งดูพระอาทิตย์ตกไปพร้อมๆกันที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งนี้
เสียงคลื่นน้ำกระทบโขดหินที่ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้หัวใจของธารพองโตราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ทางเดินปูนสิ้นสุดลง
ศาลาริมน้ำปรากฎขึ้นตรงหน้า
ยังคงเป็นหลังเดิมที่เมื่อก่อนเคยเป็นสีขาว
แต่ในตอนนี้ถูกทาทับด้วยสีแดงอิฐ กระเบื้องสีเเสดเข้ามาแทนที่พื้นปูนที่เคยมีรอยร้าว หน้าบรรณของศาลายังคงเป็นสีทองอร่าม
ซึ่งตัดกับสีครามและม่วงของกระจกตกแต่ง
ได้เป็นอย่างดี ความวิจิตรของลวดลายกนกช่วยให้ศาลาหลังนี้ดูโดดเด่นมากขึ้น
ถึงอย่างนั้น ตัวอักษรสีทองบนแผ่นป้ายยังคงเป็นคำเดิม
เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ธารกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร
ธารก้าวเข้ามาในตัวศาลาและหยุดยืนตรงริมระเบียงซีกขวา ซึ่งถูกสร้างต่อเติมมาจากตัวศาลาหลังเดิม
จากตรงนี้ เขาสามารถมองเห็นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำได้อย่างชัดเจน จำนวนร้านอาหารเปิดใหม่และบ้านริมน้ำที่ดูจะหนาแน่นกว่าเมื่อก่อนมาก เป็นสิ่งยืนยันว่าชุมชนแห่งนี้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี
มือเรียวยกกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาให้พอดีกับระดับสายตา กดชัดเตอร์เพื่อบันทึกความสวยงามของภาพริมน้ำที่คิดถึง ให้ระฆังทองเหลืองใบเล็กที่ห้อยอยู่ข้างผนังเป็นองค์ประกอบหนึ่งของภาพ
เมื่อถ่ายภาพมุมนั้นจนพอใจ นักศึกษาหนุ่มจึงพาตัวเองข้ามสะพานเหล็กสีเดียวกับศาลามายังโป๊ะเรือที่อยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไหร่
โป๊ะเรือของวัดเทวราชกุญชรในความทรงจำของธารเป็นโป๊ะเรือเก่าๆ ไร้การแต่งแต้มสีสันให้สวยงามเหมือนในปัจจุบัน ราวจับถูกพ่นด้วยสีฟ้าซีดที่ถลอกออกจนเกือบหมด และมีสนิทเขรอะ แตกต่างจากภาพตรงหน้าเขาลิบลับ
เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชุมชนเล็กๆแห่งนี้ถึงได้ติดอันดับจุดชมวิวที่ห้ามพลาดในกรุงเทพมหานคร
ทัศนียภาพตรงหน้านั้นเกินคำบรรยาย
น่านน้ำสีครามตัดกับท้องฟ้าที่ดูสดใส
ได้เป็นอย่างดี แสงแดดกระทบผิวน้ำเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ฝั่งตรงข้ามปรากฏเป็นอาคารและวัดวาอาราม ห้อมล้อมไปด้วยความร่มรื่นจากเงาของแมกไม้ริมตลิ่ง
เสียงหวูดเรือโดยสารดังขึ้นเป็นระยะ
ความสั่นโคลงของโป๊ะเรือจากระลอกคลื่น ทำให้เขาเลือกที่จะทิ้งตัวลงบนพื้นเหล็ก
ธารหลับตาลง
ปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้าใต้กรอบแว่น และปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวพาเขากลับไปสู่เรื่องราวในอดีต
ธารย้ายมาอยู่ที่บ้านไม้ริมน้ำพร้อมกับแม่และคุณยายตอนอายุได้ 8 ขวบ หลังจากที่แม่ตัดสินใจแยกทางกับพ่อ เพราะปัญหาหลายอย่างที่ตอนนั้นเขายังเด็กเกินจะเข้าใจ
แม่ของธาร ในเวลานั้นเป็นอาจารย์หัวหน้าหมวดภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียนเดิม มาสอนที่โรงเรียนเอกชนไม่ห่างจากวัดแห่งนี้ และได้พาเขามาสมัครเรียนที่นี่ด้วย
ในช่วงแรกของการไปเรียน ธารยังไม่ค่อยมีเพื่อนเนื่องจากเพิ่งย้ายมากลางเทอมเเละไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร และด้วยความที่เป็นลูกคุณครู ทำให้มีบางครั้งจะถูกล้อหรือแกล้งมากกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ทุกวันหลังเลิกเรียน ธารจะนั่งซ้อนจักรยานสีแดงของแม่กลับบ้านทุกวัน ระหว่างทางก็เเวะซื้อทุเรียนทอดเจ้าประจำไปฝากคุณยายที่รออยู่ที่บ้าน
เมื่อกลับมาถึง เขาจะรีบทำการบ้านให้เสร็จ แล้วไปนั่งดูปลาตัวโตที่บันไดท่าน้ำข้างบ้าน หรือถ้าวันไหนรู้สึกเบื่อ ก็จะขอแม่กับยายออกไปเดินเล่นที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชรที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 5 นาที
เป็นกิจวัตรประจำวันที่ดูเรียบง่าย แต่ก็มีความสุขที่สุดในช่วงชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ความสุขที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้น
กระตุ้นให้ความคิดถึงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของธารมากขึ้นเรื่อยๆ
คิดถึงเสียงของกระดิ่งข้างบ้าน ที่มักจะเกิดเสียงไพเราะทุกครั้งที่ลมพัดมา
คิดถึงเวลาที่นิทานก่อนนอนของยาย
คิดถึงตอนที่แข่งกันโยนขนมปังให้ปลากับแม่ ทุกครั้งที่ไปทำบุญในวันพระ
ธารคิดถึง...คิดถึงบ้านหลังนี้เหลือเกิน
โดยเฉพาะกลิ่นของสายน้ำเวลาที่ลมพัดมาเวลาที่นั่งอยู่ริมตลิ่งเหมือนในตอนนี้
ธารสูดหายใจเข้าช้าๆ เพื่อตักตวงบรรยายกาศเหล่านี้ให้มากที่สุด
"ธาร..ใช่ธารจริงๆใช่ไหม"
เสียงของใครบางคนที่ไม่คุ้นเคย ปลุกธารให้หลุดจากห้วงความคิดและหันกลับไปมองด้านหลังด้วยความประหลาดใจ
ทันทีที่เห็นภาพของคนที่ยืนอยู่
ธารรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
ภาพของเรื่องราวต่างๆเมื่อครั้งวันวานผุดขึ้นมาในหัวของธาร หลายสิ่งที่เคยลืมเลือนก็เริ่มชัดเจนขึ้นและกลับมาโลดเเล่นในห้วงความทรงจำของเขาอีกครั้ง เหมือนหนังที่ฉายภาพเดิมซ้ำไปมาอย่างไม่รู้จบ
แม้หลายสิ่งบนตัวของคนตรงหน้าจะเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ธารจำได้ไม่เคยลืม
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
ยังคงฉายแววอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยน
"...พี่วาริน..."
ความรู้สึกและคำถามมากมายตีรวนขึ้นในหัว
แต่ธารเลือกที่จะทำตามความรู้สึกส่วนลึกที่เก็บไว้ในใจมาตลอด
ไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า ร่างเล็กยันตัวเองขึ้นและโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
อ้อมกอดจากใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบสิบปี ทำเอาคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วสะดุ้ง
เล็กน้อย ก่อนจะกอดตอบอย่างด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นไม่เเพ้กัน
ไร้ซิึ่งคำพูดใดๆ ปล่อยให้สายลมเป็นสื่อกลางความรู้สึกถึงกัน และให้ความคิดถึงโอบกอดร่างกายและจิตใจของคนทั้งคู่
ธารค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดที่แสนคิดถึง
"นึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอกันแล้วซะอีก ธารคิดถึงพี่วารินมากนะ"
เพียงแค่ได้มองใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ หัวใจของวารินก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะจนยากที่ควบคุม ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นทำให้เขาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดในรอบหลายปี
ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายจะสวมกอดคนอายุน้อยกว่าอีกครั้ง
วารินใช้มือขวาลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลของคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา
"พี่ก็คิดถึงธารมากเหมือนกัน ดีใจจริงๆ
ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะ..."
.
.
.
เรือขนข้าวสารลำใหญ่ที่ถูกลากด้วยเรือลำเล็ก เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เงาสะท้อนบนผิวน้ำ ปรากฏเป็นภาพของคนสองคนกำลังนั่งห้อยขาอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังเล็กไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก
หลังจากทักทายกัน ทั้งคู่จึงชวนกันมานั่งเล่นที่ศาลาไม้สีขาวหลังนี้ ศาลาที่พบกันครั้งแรก
อาจเป็นเพราะมีคำถามในใจมากมาย
จนไม่สามารถเรียบเรียงเป็นคำพูดได้
ทำให้ความเงียบปกคลุมไปชั่วขณะ
ก่อนที่วารินจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน
"ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ธารดูโตขึ้นเยอะเลยนะ"
วารินลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่อายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดูที่ไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย
"พี่วารินเองก็..ยังหล่อเหมือนเดิมเลยฮะ ถ้าไม่รู้จักกันมากก่อน ธารคงจะคิดว่าพี่เป็นดารามาถ่ายแบบแล้วมั้ง"
น้ำเสียงเจี้ยวเเจ้วและคำพูดติดตลก
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนที่โตกว่าได้เป็นอย่างดี
"พูดเก่งเหมือนเดิมเลยนะเรา"
วารินหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองวิวตรงหน้าเช่นเดียวกับธาร
"แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่อ่ะครับ อย่าบอกนะว่ากลับมาเพราะคิดถึงที่นี่เหมือนกัน"
คำถามของธาร ทำให้แววตาของวารินไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตอบ ด้วยแววตาและสีหน้ายิ้มแย้มดังเดิม
"ก็บ้านพี่อยู่แถวนี้นี่นา เลยแวะมาเดินเล่นบ่อยๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอธาร "
"โห ผ่านมาสิบปีละ นึกว่าพี่จะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วซะอีก"
"ไม่หรอก พี่ยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนี่แหละ.. "
เสียงหวูดเรือดังขึ้นอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาของการเดินทางกลับบ้านมาถึงแล้ว
"ฟังเรื่องของพี่ไปแล้ว พี่อยากฟังเรื่องของธารบ้าง เล่าให้ัพี่ฟังหน่อยได้มั้ย?"
"ได้สิฮะ ธารมีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟังเยอะเลย"
เด็กหนุ่มชุดนักศึกษาเขยิบตัวเข้ามาเล็กน้อย เพื่อให้ระยะห่างของเขากับคนที่เป็นทั้งพี่ชายและเพื่ิอนเล่นในวัยเด็กลดลง ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองอีกครั้ง
"ที่จริง ธารอยากขอโทษพี่วารินมาตลอดเลย ที่อยู่ๆก็ย้ายไปโดยที่ไม่ได้บอกสักคำ
ขอโทษนะครับ"
น้ำเสียงที่สดใสหม่นลงเล็กน้อยจนวารินสังเกตได้
วารินอดไม่ได้ที่จะวางมือบนบ่าของธารเบาๆ เป็นเชิงสื่อให้รับรู้ ว่าเขาไม่เคยโกรธคนข้างๆเลยแม้แต่น้อย
"ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่เคยโกรธธารเรื่องนี้เลย
มันคงกะทันหันมากใช่มั้ย?"
"ธารไม่รู้เรื่องที่แม่จะแต่งงานใหม่มาก่อนเลยพี่ ไหนจะเรื่องที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านนั้นอีก ตอนนั้นไม่ทันตั้งตัวอะไรเลย"
"แล้วตอนนี้อยู่บ้านนั้นเป็นไงบ้าง คุณแม่กับคุณยายสบายรึเปล่า? "
"คุณแม่สบายดีครับ แต่ว่าคุณยายท่านเสียไปได้สองปีแล้วล่ะฮะ"
รอยยิ้มที่แสนเศร้าถูกส่งมาอีกครั้ง
"พี่เสียใจด้วยนะธาร ขอโทษที่ถามเรื่องนี้ขึ้นมานะ ขอโทษจริงๆ"
"อือ ไม่เป็นไรหรอกพี่ ตอนนี้ธารโอเคแล้วแหละ"
"แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ ก็เล่าให้พี่ฟังได้เสมอนะ"
"พี่นี่ไม่เปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลยนะ เมื่อก่อนเวลาธารเศร้าๆ พี่ก็จะพูดแบบนี้ทุกครั้งเลย รู้ตัวป่ะ"
พูดจบคนข้างๆก็หันมา พร้อมกับรอยยิ้มที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำ
ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆด้วย
"นั่นสิ พี่คงพูดบ่อยจนติดเป็นนิสัยแล้วมั้ง"
เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ที่วารินปล่อยให้ร่างกายและคำพูดของเขาเป็นไปตาม
ความเคยชิน ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
เป็นความรู้สึกพิเศษที่ไม่สัมผัสมานาน
และเป็นความเคยชินที่คนข้างๆกำลังสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
"แล้วนี่พี่วารินจะกลับบ้านกี่โมงอะ ต้องรีบไปไหนต่อรึเปล่า"
"ไม่รีบเลย บ้านพี่อยู่แค่นี้เอง นั่งคุยกับธารไปเรื่อยๆนี่แหละ แล้วธารล่ะ?"
"ธารนัดกินข้าวปีใหม่กับที่บ้านตอนค่ำฮะ แต่ยังไม่อยากรีบกลับเลย"
ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าสดใส ถูกแต่งแต้มด้วยริ้วสีชมพูอมส้ม เมฆก้อนใหญ่ที่บดบังดวงอาทิตย์เมื่อสักครู่เริ่มเคลื่อนที่ผ่านไป ทำให้แสงทองสุดท้ายของปีโผล่พ้นกลีบเมฆ
"เออๆ พี่วาริน ธารอยากไปดูบ้านเดิม พี่พาธารไปหน่อยได้รึเปล่า"
"บ้านริมน้ำอ่ะเหรอ เอาสิ พี่ก็ไม่ได้กลับไปดูนานแล้วเหมือนกัน"
"ถ้างั้น เราไปกันเลยมั้ยฮะ"
.
.
.
เงาของคนสองคนกำลังเดินคู่กัน
ปรากฏบนกำแพงปูนเก่าของทางเดินริมน้ำ
คนตัวเล็กสวมเครื่องแบบนักศึกษา
อีกคนสวนเพียงเสื้อผ้าฝ้ายเเขนยาวสีขาว
กับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน
บทสนทนาและเสียงหัวเราะของคนที่ไม่ได้เจอกันมานานดังขึ้นตลอดทาง
เป็นภาพที่ดูแปลกตาและอบอุ่นในคราวเดียวกัน
"ธารจำได้ๆ ตรงนี้เคยเป็นบ้านลุงทอง"
"แต่คุณลุงย้ายไปอยู่ที่อื่นหลายปีแล้วล่ะ"
"อ้าวเหรอ คิดถึงลุงแกเนอะ"
"ทุกคนที่นี่น่ารักมากๆ พี่ยังคิดถึงบรรยากาศตอนนั้นเลย"
"นั่นสิ ว่าแต่อีกไกลมั้ยพี่วาริน?"
ร่างสูงก้าวช้าลง และหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
"นี่ไง ถึงแล้วนะ บ้านริมน้ำของธาร"
บ้านไม้เพียงหลังเดียวที่ยื่นออกไปริมน้ำ
ใต้ถุนยกสูงให้เท่ากับระดับของทางเดิน
ด้านล่างเป็นโขดหินและน้ำที่ลึกลงเรื่อยๆ
ข้างห้องครัวมีบันไดลงไปในน้ำ
ก่อนถึงประตูไม้เป็นแผ่นปูนเก่าๆ
ทั้งหมดล้อมด้วยรั้วเหล็กสีฟ้าซีด
และต้นมะลิ 2 ต้นในกระถางดินที่ตั้งอยู่หน้ารั้ว
นั่นคือภาพสุดท้ายของบ้านหลังนี้ที่ธารจำได้
"โห เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ"
"อยากเข้าไปดูข้างในรึเปล่า"
"เข้าไปได้เหรอ มีคนอยู่มั้ยอ่ะ?"
"ถ้าพี่จำไม่ผิด หลังจากธารย้ายไปมีคนขอซื้อบ้านหลังนี้แล้วเปิดเป็นร้านอาหาร
แต่เหมือนวันปีใหม่ร้านจะปิดนะ ไม่แน่ใจว่าเจ้าของเขาอยู่รึเปล่า"
ทั้งมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก
วารินชั่งใจอยู่สักพัก
ใจหนึ่งก็เสียดาย ถ้ามาถึงที่แล้วไม่ได้เข้าไป แต่อีกใจก็รู้ดีว่าถ้าแอบเข้าไปโดยไม่ได้
ขออนุญาตก่อน ก็คงไม่ดีเท่าไหร่
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ แค่รู้ว่าบ้านยังอยู่ดี
ธารก็ดีใจมากแล้วฮะ"
สายตาของธารยังคงจับจ้องที่บ้านไม้ตรงหน้า
เหมือนกำลังซึมซับความรู้สึกที่เคยห่างหายไป
ความสุขปนความคิดถึง เวลาได้เจอบางสิ่งที่เฝ้ารอมานานอีกครั้ง
ธารกำลังจะเอ่ยชวนวารินเดินกลับ
ก่อนจะได้ยินเสียงของใครบางคน
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่
"อ้าว มายืนทำอะไรกันตรงนี้ล่ะลูก"
เจ้าของเสียงเรียกคือหญิงวัยกลางคน
ในชุดเดรสสีเหลืองอ่อน ที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยความเร่งรีบ สองมือหอบหิ้วผักสดและวัตถุดิบมากมายจากตลาดสดนับสิบถุง
เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งวารินและธารจึงรีบเข้าไปช่วยคุณป้าโดยไม่รอช้า
"คุณป้าหนักไหมครับ? ให้ผมช่วยถือนะ"
"ค่อยๆเดินนะครับ ถุงนี้ส่งมาให้ธารช่วยก็ได้ฮะ"
"ป้าขอบใจมากนะลูก มาๆ ขอป้าไขรั้วก่อน เดี๋ยวเข้าไปกินน้ำกินขนมข้างในกันก่อนนะ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมเกรงใจ.."
"โถ่ เกรงใจอะไรกัน เนี่ย ป้าเพิ่งได้ขนมใหม่มาเพียบเลยนะ"
"อ่า ได้ครับๆ ขอบคุณมากนะครับ"
ระหว่างที่คุณป้ากำลังปลดล็อคกลอนรั้ว
วารินลอบสังเกตสีหน้าของคนที่มาด้วยกัน
เจ้าตัวกำลังมองลอดรั้วบ้านเข้าไปข้างใน
ด้วยแววตาที่ซ่อนความดีใจไว้ไม่มิด
จนคนที่มองเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
ทางเดินก่อนถึงประตูไม้ ถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีอ่อนดูสะอาดสะอ้าน มีโต๊ะและเก้าอี้พลาสติกตั้งอยู่รอบๆสามสี่ตัว
ทันทีที่ถอดรองเท้าและก้าวเข้ามาข้างใน
กลิ่นอายของบ้านไม้เก่าและสัมผัสสายลมอ่อนยามเย็น พัดพาให้ธารหวนกลับไปในวันวานอีกครั้ง ณ บ้านหลังแรก ที่เขาไม่เคยลืมเลือน
หลังจากที่ช่วยกันยกถุงไปไว้ในครัวจนครบ
คุณป้าได้บอกให้พวกเขานั่งรอในบ้าน
ก่อนเดินเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมขนมถุงใหญ่และขนมปังขนาดพอดีคำหลายชิ้นในจาน
"ทุเรียนทอด!"
ธารเผลอร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นของโปรด ที่หาซื้อไม่ได้ง่ายๆในใจกลางเมือง
"เอาไปแบ่งกันทานนะลูก ทุเรียนทอดลูกชายป้าเพิ่งส่งมาให้ ส่วนขนมปังนี่เจ้าดังในตลาดเลยนะ"
"ขอบคุณครับ น่ากินมากๆเลยฮะ"
"ลองชิมดูสิ ว่าอร่อยมั้ย"
เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาค่อยๆ แกะถุงพลาสติกใส หยิบทุเรียนทอดสีเหลืองทองออกมาสองสามชิ้น ก่อนจะส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกระต่ายกินเเครอท
เหมือนเด็กจริงๆเลยนะ
ท่าทางที่น่าเอ็นดู
และแววตาราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่
อยู่ในสายตาของคนเป็นพี่ตลอดเวลา
วารินมองเพลิน รู้ตัวอีกทีชิ้นผลไม้กรอบสีทอง
ก็ถูกยื่นมาที่ปากของตนเรียบร้อย
"อ่ะ พี่ลองชิมดูสิ อร่อยนะ"
วารินดึงสติกลับมา ก่อนจะจำใจเอ่ยตอบไปด้วยความจำเป็น
"เอ่อ..คือพี่ไม่ค่อยชอบผลไม้เท่าไหร่อ่ะ ธารกินเถอะ เดี๋ยวพี่กินขนมปังดีกว่า"
"อ๋ออ โอเคฮะ"
วารินยิ้มให้คุณป้าพร้อมกับหยิบขนมปังชิ้นก้อนหนึ่งขึ้นมาและลองชิมดู
ขนมปังเหนียวนุ่มกำลังดี รสชาติของอาหารที่คุ้นเคย
"ขนมปังอร่อยมากเลยครับ ผมชอบ"
"อร่อยก็กินเยอะๆเลย ว่าแต่เมื่อกี้มายืนทำอะไรกันหน้าร้านป้าล่ะ มาหาใครหรือเปล่า?"
บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและบรรยายกาศที่เป็นกันเอง
ธารเล่าเรื่องบ้านและวัยเด็กของตัวเอง
ให้คุณป้าฟัง ส่วนคุณป้าก็เล่าให้เด็กทั้งคู่ฟังว่าสิบปีที่ผ่านมาที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง
จนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"เด็กๆคุยกันไปก่อนนะลูก ออกไปดูวิวข้างนอกก็ได้ ป้าขอไปรับโทรศัพท์แปปนึงนะ"
"ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับ"
หลังจากที่เจ้าของบ้านเดินเข้าคุยธุระในห้อง
วารินกับธารหันมองหน้ากันอย่างรู้ใจ
"ไปดูข้างนอกกันมั้ย?"
"รออะไรล่ะฮะ"
ทั้งสองพาตัวเองออกมารับลมเย็นริมระเบียง
เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวเหมือนโกหก
ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามล้วน
ในตอนนี้ไล่สีจากเหลือง ส้มอมชมพู ไปจนถึงฟ้าอ่อนอย่างลงตัว ดวงตะวันที่ทอแสงทองอยู่หลังกลีบเมฆ กำลังจะตกลงสู่ผืนน้ำในอีกไม่กี่นาทีนับจากนี้
เป็นภาพสุดท้ายของปีที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม
ธารมองภาพตรงหน้าผ่านเลนส์ กดบันทึกความทรงจำครั้งนี้ไว้ในกล้องคู่ใจของเขา
วารินเหลือบไปเห็นพวงกุญแจที่คล้องอยู่กับกระเป๋าใส่กล้องของคนข้างๆ
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความดีใจ
"ธารยังเก็บพวงกุญแจที่พี่ให้ไว้อีกเหรอ?"
คนตัวเล็กกว่าวางกล้องลงแต่ตายังคงโฟกัสอยู่ที่ภาพบนหน้าจอ
"อ๋อ คุณจิงโจ้อ่ะนะ ต้องเก็บไว้อยู่แล้ว ของขวัญวันเกิดอันแรกที่พี่ให้ธารเลยนะ"
"นึกว่าธารจะทำหายไปแล้วซะอีก"
"ของสำคัญขนาดนี้ เปลี่ยนกระเป๋ากี่ครั้ง ธารก็ห้อยไว้ตลอดแหละ"
ธารเงยหน้าขึ้น สายตาประสานกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่คุ้นเคย
"คงเพราะห้อยแล้วรู้สึกเหมือน..มีพี่อยู่กับธารทุกที่เลยมั้ง"
รอยยิ้มที่จริงใจไม่เคยเปลี่ยน
และความจริงที่ว่าธารยังนึกถึงเขาอยู่เสมอ
ทำให้หัวใจของวารินเต้นแรงขึ้น
แบบที่เจ้าตัวไม่ได้สัมผัสมาเกือบสิบปี
และเกิดขึ้นกับคนตรงหน้าเพียงคนเดียว
"ขอบคุณมากนะธาร"
"ขอบคุณเรื่องอะไรฮะ"
"ก็ทุกเรื่องเลย ขอบคุณที่ยังนึกถึงแล้วก็เข้าใจพี่เสมอเลยนะ"
คนตัวสูงกว่าเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมสีดำอมน้ำตาลของคนที่อายุน้อยกว่า
"ธารอยู่มหาลัยแล้วนะ ทำเหมือนเป็นเด็กๆไปได้"
"ยังไงก็เป็นเด็กน้อยอยู่ดีนั่นแหละ"
"โห อะไรอ่ะ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศริมน้ำที่คุ้นเคยเหมือนเมื่อครั้งวันเก่า
ธารเดินไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนใกล้บันไดลงน้ำ ตามมาด้วยวารินที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
"ทำไมธารถึงเรียนสถาปัตย์เหรอ?"
"จริงๆ ธารก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร รู้แค่ว่าชอบวาดรูปมากๆ ถนัดพวกวิชาออกแบบด้วย เคยคิดว่าตอนโตขึ้น ถ้ามีโอกาสซื้อบ้านริมน้ำให้แม่สักหลัง ธารอยากเป็นคนออกแบบตกแต่งเองก็เลยเลือกเรียนด้านนี้ฮะ"
แววตาของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา
เป็นประกายทุกครั้งเวลาพูดถึงความฝันและสิ่งที่เจ้าตัวชอบ
"ถ้าธารได้เรียนในสิ่งที่ชอบจริงๆ พี่ดีใจด้วยนะ ยังไงก็สู้ๆนะ น้องพี่เก่งอยู่แล้วเนอะ"
"ขอบคุณนะครับ พี่วาริน"
"เริ่มเย็นเเล้ว เราจะเดินกลับกันเลยมั้ย
จะได้ไม่กวนคุณป้าด้วย"
"ได้ฮะๆ เดี๋ยวนะ เรายังไม่ได้ถ่ายรูปกันเลยนี่
ขอเซลฟี่ตรงนี้แปปนึงนะ วิวกำลังสวยเลยๆ"
"อือ เอาสิๆ"
มือเรียวควานหาโทรศัพท์สีดำจากกระเป๋าใส่กล้อง กดเปิดด้วยความรวดเร็ว และชูแขนขึ้นให้ได้องศาที่พอดี
เพราะส่วนสูงที่ต่างกันเล็กน้อย ทำให้ธารต้องยืนแขนให้สูงขึ้น เพื่อที่จะเก็บภาพมุมกว้างของพวกเขาและวิวข้างหลังให้ครบ
วารินเห็นท่าท่างเก้ๆกังๆของคนตัวเล็ก
จึงนึกเอ็นดู จึงตัดสินใจเอื้อมมือออกไปช่วยประคองโทรศัพท์ในมือที่ธาร
ไออุ่นจากสัมผัสหลังมือของธาร
ทำให้หัวใจของวารินเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
จนกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าคนในอ้อมแขนของวารินก็มีเริ่มอาการเช่นเดียวกัน
"ยิ้มนะพี่ หนึ่ง สอง สาม!"
รอยยิ้มของพี่น้องในวัยเด็กสะท้อนให้เห็นผ่านหน้าจอกระจกใส
เสียงชัตเตอร์ดังติดกันสองสามครั้ง
ก่อนจะลดแขนลง และเลื่อนดูรูปในมือช้าๆ
"เมื่อกี้ พี่วารินมือเย็นจัง ยังสบายดีใช่มั้ยฮะ"
"อ๋อ พี่สบายดีๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เราเข้าไปลาคุณป้ากันเลยมั้ย?"
"เดี๋ยวขอถ่ายมุมนี้แปปนึงฮะ พี่เข้าไปก่อนได้เลยๆ"
"ได้ๆ รีบตามมานะ"
เมื่อคนเป็นพี่เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นต่อกันอีกสี่ห้าครั้ง
ธารหมุนปิดฝากล้องให้เรียบร้อยหลังจากได้ภาพที่พอใจ
ร่างเล็กหมุนลูกบิดประตู เตรียมจะก้าวเข้าไปด้านใน แต่สัมผัสเปียกชุ่มบนพรมเช็ดเท้าหน้าประตู ทำให้เขาต้องก้มลงสำรวจด้านล่าง
โชคดีที่เขารู้ตัวทันและออกมายืนนอกพรม
ถุงเท้าสีขาวทั้งสองข้างจึงเปียกแค่บางส่วน
"ธารครับ ถ่ายรูปเสร็จหรือยัง? "
เจ้าของชื่อเหลียวกลับไปมองด้านนอก
น่าแปลก ที่ตอนออกมาเขาไม่ทันสังเกตเห็นรอยด่างของน้ำบนพื้นสีอิฐ ที่เหมือนจะเป็นทางยาวต่อกันมาจนถึงทางเข้า
ธารมองดูอยู่สักพัก ก่อนจะละความสนใจจากพื้น และหันไปตะโกนตอบวาริน ก่อนที่จะพาตัวเองกลับมาในตัวบ้านอีกครั้ง
หลังจากกล่าวคำขอบคุณและบอกลาคุณป้าเรียบร้อย ทั้งคู่จึงเดินกลับไปที่โป๊ะเรือตามทางเดิมที่เดินมาเมื่อตอนบ่าย
"จะว่าไปบ้านพี่วารินอยู่ตรงไหนอ่ะ ธารไม่เคยเห็นเลย"
ร่างสูงคนคนที่เดินนำหน้าชะงักไปเล็กน้อย
ความกังวลบางอย่างแสดงออกผ่านทางแววตาเพียงเสี้ยววินาที
"บ้านพี่อยู่แถวๆตลาดเลย แต่ว่าช่วงนี้ช่างเขาซ่อมบ้านอยู่นะ อาจจะไม่สะดวกพาไปดูเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะ"
"เฮ้ย ไม่เป็นไรเลยพี่ แค่ถามดูเฉยๆ
เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้ครับ"
"ธารมาอีกเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่พาไปดูเองเลย สัญญา"
"สัญญาแล้วนะ แล้วนี่– "
เสียงเพลงรอสายดังขึ้นทันทีที่ทั้งคู่เดินกลับมาถึงศาลาริมน้ำพอดี
ธารปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์สักพัก แล้วจึงเดินกลับหาวารินที่กำลังยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่เดิม
"แม่โทรมาตามไปทานข้าวฮะ เดี๋ยวธารคงต้องกลับจริงๆแล้วนะ พี่วาริน"
"ถ้างั้น เดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่รถนะ"
บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดลงในเวลาเพียงชั่วครู่ สองข้างทางยังคงเหมือนกับตอนที่ธารเดินผ่านมาเมื่อตอนบ่าย บทสนทนาดังขึ้นเป็นระยะบนทางเดินเส้นเดิม
แม้ว่าแสงสุดท้ายในปี้นี้กำลังจะหมดไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ แต่ก็ยังสว่างพอจะทำให้เห็นเงารางๆของคนในชุดนักศึกษา
และใครบางคนที่เดินไปด้วยกัน
เป็นคนเดิม ที่เติมเต็มช่วงเวลาในวัยเด็กของธาร ณ ที่แห่งนี้
เป็นคนเดิม ที่เติมเต็มเศษเสี้ยวความทรงจำที่ขาดหายไปให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เป็นคนเดิมและคนเดียว ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังหวังดีและเข้าใจธารที่สุดเสมอ
เมื่อเดินมาถึงที่จอดรถ ธารรีบวางขนมที่ได้จากคุณป้าไว้ในรถ และเดินกลับมาหาคนที่ยืนรอเขาอยู่ไม่ไกล
“ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ วันนี้มีความสุขมากเลย ขอบคุณพี่วารินที่อยู่เป็นเพื่อนแล้วก็พาธารไปดูบ้านนะครับ”
“พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณธาร ที่ยังไม่ลืมที่นี่นะ ดีใจจริงๆที่เราได้เจอกันอีก พี่รอวันนี้มาตลอดเลย..”
ก่อนที่วารินได้ทันตั้งตัว อ้อมกอดจากคนตรงหน้าก็ได้แทนที่คำพูดทุกอย่างที่เขาตั้งใจจะพูดจนหมดสิ้น
มือหนาวางลงอย่างอ่อนโยนบนเรือนผมของคนที่อายุน้อยกว่า กระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม ทั้งคู่หลับตาลง และซึมซับความรู้สึกและสัมผัสนี้ไว้ให้นานที่สุด
สำหรับธาร วารินคือเพื่อนสนิทและพี่ชายที่แสนดีที่สุดคนหนึ่งที่เขารู้จัก
สำหรับวาริน ธารไม่ได้เป็นแค่เพื่อนเล่นน้องชาย แต่เป็นเหมือนคนสำคัญในครอบครัว และจะเป็น เพียงคนเดียวที่เขามอบความรู้สึกพิเศษนี้ให้หมดทั้งใจ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
.
.
รถยนต์คันเล็กสีขาวแล่นออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนออกสู่ถนนใหญ่ และลับสายตาไปในที่สุด วารินยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม
“สุขสันต์วันปีใหม่ฮะ! พี่วาริน”
“เช่นกันครับ ดูแลตัวเองตัวนะ!”
คำพูดสุดท้ายที่ธารลดกระจกลงมาตะโกนบอกเขาจากบนรถ และเขาตะโกนกลับไป ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
วารินหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปที่ท่าน้ำ แต่เดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว วินาทีนั้นเขารู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าบางอย่างที่แล่นผ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างสูงเสียการทรงตัวไปชั่วขณะและล้มลงไปนั่งทั้งยืน มือทั้งสองข้างกอบกุมศีรษะไว้ อาการปวดหัวเฉียบพลันที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาแทบจะพยุงตัวเองขึ้นไม่ไหว
ขึ้นมานาน..นานเกินไป
วารินพยุงตัวเองให้เดินมาตามทางเดินจนมาถึงศาลาไม้ริมน้ำหลังเดิม ดวงตาสีเข้มสอดส่องดูรอบตัวให้แน่ใจ ก่อนจะลอดเข้าไปบริเวณใต้ถุนของศาลา และเดินลงมาตามทางลาดเรื่อยๆ
บัดนี้ดวงตะวันได้ลับขอบฟ้าเป็นที่เรียบร้อย คืนท้องฟ้าที่มืดมิดให้กับพระจันทร์และหมู่ดาว
กลิ่นของความเปียกชื้น และสัมผัสเย็นของแม่น้ำกระทบเท้าเปล่าของวาริน บ่งบอกให้รู้ว่าเขาพาตัวเองมาถึงที่หมายแล้ว ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงข้างโขดหินริมน้ำ
เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทุกความรู้สึกและความทรงจำที่เกิดขึ้น มันช่างมีความหมายสำหรับเขาเหลือเกิน ขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้เขาได้พบกับ ความสุข ของเขาอีกครั้ง
“ขอให้เราได้เจอกันอีกนะ ธาร”
หลังจากที่วารินพูดจบ แสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้น และหายไปในพริบตา
หายไปพร้อมกับเงาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมฝั่งเมื่อสักครู่ เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
ไม่ไกลจากชายฝั่ง แสงสว่างแบบเดียวกันเกิดขึ้นที่ก้นแม้น้ำ บริเวณที่มีแสงสว่างส่องถึงเพียงเล็กน้อย
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ สิ่งมีชีวิตบางอย่างได้แหวกหว่ายออกมาจากกอสาหร่าย
ลำตัวขนาดใหญ่กว่าปกติปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาวนวลเช่นเดียวกับสีของครีบ
หางที่พลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ดันตัวเองให้ลอยสูงขึ้นจนถึงผิวน้ำ ดวงตาสีอำพันเป็นประกายทุกครั้งที่กระทบกับแสงจันทร์ที่ลอยเด่นประดับท้องฟ้ายามรัตติกาล
สิ่งมีีชีวิตที่สวยงามเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่ชนิด
ในน่านน้ำเจ้าพระยา หนึ่งในนั้นคือสายพันธุ์ปลาหายาก ที่บ้างก็ว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
"ปลาสวายเผือก"
นี่คือความลับเพียงอย่างเดียวของวารินที่เก็บซ่อนไว้มาตลอดสิบปี โดยไม่เคยคิดบอกให้ธารรับรู้
มีอะไรบางสิ่งในตัวของธาร
ที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับคนคนนี้
ตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นโดยบังเอิญ
นับจากวันนั้นเขาก็เฝ้ามองเด็กคนนี้มาตลอด
จนมีโอกาสได้คุยกัน ทำความรู้จัก และกลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของกันและกัน
ตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา
วารินรู้ตัวมาตลอด ว่าความรู้สึกที่มีให้ธาร
มันพิเศษมากกว่าความเป็นพี่น้อง
และรับรู้มาตั้งแต่วันแรก ว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางจะเป็นได้มากกว่านั้น
การได้พบธารอีกครั้งในวันนี้
เหมือนเป็นปาฏิหาริย์สำหรับเขา
ความรักต่างสายพันธุ์
อาจจะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อในเทพนิยาย
แต่สำหรับวาริน มันคือความจริงที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเอง
เป็นความจริงที่มีเพียงเขาคนเดียวที่รับรู้
และจะเป็นตำนานที่คงอยู่คู่กับแม่น้ำสายนี้
ณ ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร
ตลอดไป
.
.
.
.
" ฉันก็ยังรอเธอเคียงคู่
เพราะฉันนั้นมีแค่เพียงเธออยู่ในใจ "
{ The End }
_________________
Writer's Notes :
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ
เป็นปีแรกที่เรามีโอกาสได้ร่วมโปรเจคปีใหม่ร่วมกับไรท์เตอร์คนอื่นๆ
รู้สึกดีใจมากๆ และขอบคุณทุกคนที่ทำให้ฝันของเราเป็นจริงนะคะ ♡
เรื่องนี้เราตั้งใจคิดพลอตและเขียนมาจาก
ประสบการณ์ที่ได้ไปเที่ยวท่าน้ำวัดเทวราชกุญชรด้วยตัวเอง หวังว่าจะชอบกันนะคะ :)
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ ??
~ нαρρу ηєω уєαя 2020 ~
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in