The 1975เป็นอีกวงดนตรีที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่า "บทเพลงทุกเพลงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง" ได้อย่างดีทีเดียว และเมื่อเราได้มีโอกาสทำบทความรีวิวคอนเสิร์ตส่งรายงานวิชาที่เราเรียนที่มหาลัย เราเลยไม่ลังเลเลยที่จะพูดถึงวงดนตรีที่เราชอบมาก ๆ อีกวงหนึ่ง ทั้งเสน่ห์ของเพลงและวงในความคิดของเรา ประสบการณ์และความประทับใจในการพาตัวเองไปสัมผัสกับบรรยากาศของคอนเสิร์ตTHE 1975 LIVE IN BANGKOK 2019 เป็นครั้งแรก อีกทั้งเรายังอยากจะชวนให้เพื่อน ๆ ที่ไม่เคยลองฟังเพลงแนวนี้ ลองมาเปิดใจให้กับวงดนตรีวงนี้ดูสักครั้งนะคะ
" I’d say the Smiths were the band of the ’80s,
I’d say the ’90s… I’d have to say Oasis – even though I’d choose Radiohead,
I’d say the band of the 2000s was Arctic Monkeys
and I’d say the band of this decade has been my band. But of course I would."
- said Matthew Healy, The 1975 's frontman.
Content's list
ทำความรู้จักกับวง The 1975
The 1975 กับเสน่ห์ของบทเพลงที่ไม่เหมือนใคร
The 1975 live in Bangkok
ความพิเศษของ The 1975 live in Bangkok
ความประทับใจในคอนเสิร์ต The 1975
ทำความรู้จักกับวง THE 1975
The 1975 เป็นวงดนตรีสตริงคอมโบ (String Combo) แนว Alternative Pop Rock จากเมือง Manchester ประเทศอังกฤษ โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ได้แก่ แมทธิว ฮีลีย์ (ร้องนำ / กีตาร์) อดัม ฮานน์ (กีตาร์) รอส แมคโดนัลด์ (เบส) และ จอร์ช แดเนียล (กลอง)
พวกเขาเริ่มฟอร์มวงขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ปี 2002 สมัยยังเรียนอยู่ที่ Wilmslow High school เมือง Cheshire ประเทศอังกฤษ โดยเริ่มจากการเล่นเพลงคัพเวอร์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเริ่มที่จะเขียนเพลงขึ้นเอง ซึ่งในช่วงแรก ๆ พวกเขาจะเน้นคัพเวอร์เพลงแนวพังก์และขึ้นแสดงในคลับของเมือง แล้วก็เริ่มไปโชว์ตามงานแสดงดนตรีหรือคอนเสิร์ตต่าง ๆ ภายใต้ชื่อวง Me and You Versus Them, Forever Drawing Six, Talkhouse, The Slowdown, Bigsleep และ Drive Like I Do ก่อนจะมาจบที่ชื่อ "The 1975" ซึ่งชื่อนี้ Matty ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ'On The Road' ของนักเขียนชาวอเมริกัน Jack Kerouac เพราะเขาดันไปเปิดและเห็นด้านหลังของหนังสือเล่มนั้นที่มีตัวหนังสือระบุเอาไว้ว่า “ 1 June, The 1975 ”
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2013 หลังจากความพยายามในการทำเพลงของพวกเขาอย่างหนัก พวกเขาก็ได้ ออกอัลบั้มเดบิวต์อันแรกในชื่อ ‘The 1975’ กับสังกัด Dirty Hit / Polydor และหลังจากออกไปได้เพียงแค่ 6 วัน อัลบั้มเปิดตัวนี้ก็ติดอันดับ 1 บน uk albums chart เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2013
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มมาอีกเรื่อย ๆ อัลบั้มที่ 2 'I Like It When You Sleep, for You Are So Beautiful yet So Unaware of'ในปี 2016 และขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ใน uk albums chart และ Billboard 200 และในปี 2018 พวกเขาออกอัลบั้มที่ 3 ' A Brief Inquiry Into Online Relationships'ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของยุค "Music for Cars" อัลบั้มนี้ก็ขึ้นอันดับที่ 1 uk albums chart อีกเช่นกัน และได้รับการตอบรับในทางที่ดีอย่างล้นหลาม และล่าสุดในปี 2019 อัลบั้มที่ 4 ' Notes on a Conditional Form' ก็จะออกจำหน่ายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2020 นี้
เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างของวงนี้ คือ พวกเขาเคยได้รางวัลศิลปินยอดแย่จาก NMEนิตยสารดนตรีชื่อดังของสหราชอาณาจักรในปี 2014 แต่ในอีก 2 ปีต่อมา พวกเขาได้สร้างสรรค์บทเพลงอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง 'I Like It When You Sleep, for You Are So Beautiful yet So Unaware of It'กลับมาขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต Album of the Year ของ NME สื่อที่เคยบอกว่าพวกเขาเป็นวงดนตรีที่แย่ที่สุด และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากอัลบั้มที่ 2 ทะยานขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งใน NME List เป็นอัลบั้มแห่งปี 2016 แล้ว พวกเขายังได้รับรางวัลศิลปินที่เล่นสดได้ดีที่สุดของ NME ในปีถัดมาอีกด้วย
The 1975 กับเสน่ห์ของบทเพลงที่ไม่เหมือนใคร
เสน่ห์ของบทเพลงจากวง The 1975 คือ การถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึก ประสบการณ์ที่ Matty พบเจอ ผ่านทำนองและเนื้อเพลง มีทั้งการเล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นของเขาที่กำลังคึกคะนอง ความรักของเขาที่เคยผ่านมา และช่วงเวลาที่ยากลำบากจากการติดยาเสพติด ซึ่งในช่วงหลัง ๆ Matty ได้พยามที่จะทำเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ในสังคมด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสังคม อย่างเพลง Love It If We Made It หรือจะเป็นปัญหาภาวะโลกร้อน อย่างเพลง The 1975 (NOACF) - Greta Thunberg Speech ที่ทั้งเพลงคือการพูดถึงเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนเริ่มที่จะละเลยของ Greta Thunberg คลอไปกับดนตรี และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่วงจะออกเพลงแนวนี้มาอีกเรื่อย ๆ กล่าวได้ว่าบทเพลงของ The 1975 เป็นอีกหนึ่งตัวแสดงที่สะท้อนให้เราได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นของสังคมและเห็นถึงโลกของความเป็นจริงว่ามันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด
เพลง It's Not Living (If It's Not With You) เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เล่าถึงอาการการติดเฮโรอีนเกินขนาดของตัว Matty เอง ในบทเพลงพูดถึง "You" ซึ่งในที่นี้ก็คือเฮโรอีน และตัวเขากับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เขารู้ว่ามันไม่ดีต่อตัวเขาเลย และมันก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งเขามีความคิดที่จะเลิก แต่พอเกิดเรื่องแย่ ๆ เขาก็กลับไปหายาอีกครั้ง ทั้งเนื้อเพลงและ MV สื่อให้เห็นภาพของอาการและการต่อสู้กับยาของ Matty และภาพใน MV ก็เปรียบเสมือนภาพที่เขาเห็นตอนที่มีอาการติดยานั่นเอง
แนวเพลงและซาวน์ดนตรีที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ The 1975 หลายคนอาจจะพูดว่าแนวเพลงของวงนี้ คือ Pop, Rock, Pop rock, Electropop, Indie, Alternative rock และอื่น ๆ แต่ที่จริงแล้ว The 1975 นั้นไม่ได้มีแนวเพลงที่ยึดไว้เป็นหลักเท่าไหร่นัก ซึ่งนั้นเป็นเพราะความชอบที่จะทดลองอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา บวกกับการใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายในเพลงแต่ละเพลง อย่างเพลง Sincerity is Scary ก็มีการใส่เสียงของเครื่องเป่าเข้าไป, เพลง Somebody Else ที่เน้นไปใช้ Synthsizer pad เป็นซาวน์หลักของเพลง และในอีกหลาย ๆ เพลงของ The 1975 จะมีเสียงลีดกีต้าร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่นเพลง Robbers, Girls หรือ She Way Out และอีกมากมาย ซึ่งนั่นกลายเป็นเอกลักษณ์ของเพลงและของวง The 1975 ที่เราได้ยินแล้วรู้ได้ทันที่ว่านี้แหละ คือเพลงของ The 1975
ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็ใส่กลิ่นอายของแนวเพลง Country เข้าไปในเพลงด้วย อย่างเช่นเพลง "Jesus Christ God Bless America" พวกเขาผสมผสานออกมาระหว่างแต่ละแนวเพลง และแต่ละเครื่องดนตรี เช่น ในเพลงนี้วงได้ใช้เสียงของกีต้าร์โปร่งมาผสมกับเทคนิค เอฟเฟคเสียงสมัยใหม่ไว้ได้อย่างลงตัว แตกต่างและไม่เหมือนกับเพลงอื่น ๆ ซึ่งนี่แหละคือเสน่ห์ในความหลากหลายที่แตกต่างของ The 1975 (เพลงนี้สื่อถึงความรักระหว่างเพศเดียวกันที่ไม่สามารถที่จะแสดงออกได้อย่างเปิดเผย เนื่องจากกรอบของสังคมและศาสนาที่จำกัดพวกเขาเอาไว้ ซึ่งเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาในปัจจุบันในแบบของ The 1975 อีกเพลงหนึ่ง)
และอีกเสน่ห์ในบทเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของ The 1975 คือ การสื่อสารเรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านบทสนทนาของตัวละคร เช่น ในเพลง Robbers ที่เนื้อเพลงจะเป็นบทสนทนาของคู่รักสองคน ที่พยายามยืดเยื้อในความสัมพันธ์ และมีบทบรรยายจากผู้บรรยายเป็นตัวเชื่อมอีกที ซึ่งในบางบทเพลงก็เป็นบทสนทนาที่กำลังเถียงอยู่กับตัวเองในหัว หรือเป็นการสนทนากับผู้ฟังโดยตรงก็มี และลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในอีกหลาย ๆ เพลง ทำให้กลายเป็นอีกความไม่เหมือนใครของบทเพลงจากวง The 1975 ด้วยเช่นกัน
คอนเสิร์ต The 1975 live in Bangkok 2019 คอนเสิร์ตครั้งที่สองในประเทศไทยของ The 1975 ซึ่งจัดขึ้นที่ Thunder Dome เมืองทองธานี ในวันที่ 13-14 กันยายน 2562 แบ่งเป็น 3 โซน มีโซน A B และ C เป็นบัตรยืนทั้งหมด (จริง ๆ สามารถขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างบนได้ด้วยนะ แต่ว่ามันจะไม่ได้อารมณ์เท่ามายืนรวม ๆ กันแหละ) โซน A จะใกล้เวทีที่สุด และ โซน C ไกลสุดตามลำดับ และราคาก็จะต่างไปตามโซนด้วยเช่นกัน สำหรับเรา เราไป วันที่ 13 ซื้อบัตรโซน B ราคา 3,500 บาท คอนเสิร์ตเริ่มเปิดประตูให้เข้าตั้งแต่เวลา 19.00 น. โซนของเราตอนยืนก็จะเห็นเวทีไกลหน่อย ไม่เห็นนักร้องและนักดนตรีชัดเจนขนาดนั้น ส่วนใหญ่จะมองจากภาพบนจอที่ฉายอยู่ข้าง ๆ เวทีอีกที (อาจจะเป็นเพราะส่วนสูงด้วยแหละ เพราะคนรอบตัวเราตอนนั้นสูง ๆ ทั้งนั้น 5555)
คอนเสิร์ตเปิดด้วยการแสดง Opening Act จาก No rome นักร้องสัญชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นศิลปินร่วมค่ายกับ The 1975 และเพลงของเขาก็ได้ Matty และ George สมาชิกจาก The 1975 มาช่วยโปรดิวซ์ให้ด้วย จึงทำให้แนวเพลงของ No rome และ The 1975 นั้น สอดคล้องไปในทางเดียวกัน นับว่าเป็นการวอร์มอัพให้กับผู้ชมได้ดีทีเดียว
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 21:30 น. Matty ก็ได้ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับสมาชิกวงอีก 4 คน และเปิดมาด้วย Intro The 1975 จากอัลบั้ม A Brief Inquiry Into Online Relationships พร้อมกับเสียงกรี๊ดจากผู้ชม และ ต่อด้วยเพลงแรกหนัก ๆ อย่าง People เป็นการเปิดโชว์ของ The 1975 อย่างเป็นทางการ
และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเพลงอีก 20 กว่าบทเพลง มีทั้งเพลงจาก อัลบั้มใหม่ อย่าง People, Give Yourself A Try, Love It If We Made It ฯลฯ และเพลงชูโรงจากอัลบั้มเก่าอย่าง Robbers, Chocolate, Sex ฯลฯ ให้ได้รับฟัง และดื่มด่ำไปยาว ๆ เป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่าเลยจ้า
เพลงตามลิสต์นี้เลย
00 The 1975 (A Brief Inquiry Into Online Relationships) 01 People 02 Give Yourself A Try 03 TOOTIMETOOTIMETOOTIME 04 She's American 05 Sincerity Is Scary 06 It's Not Living (If It's Not With You) 07 Love Me 08 I Couldn't Be More In Love 09 She Way Out 10 Loving Somone 11 A Change of Heart 12 Narcissist (with No Rome) 13 Robbers 14 fallingforyou 15 I Like America & America Likes Me 16 Somebody Else 17 If I Believe You 18 Girls 19 I Always Wanna Die (Sometimes) 00 The 1975 (Notes on a Conditional Form) 20 Love It If We Made It 21 Chocolate 22 Sex 23 The Sound
มาถึงเพลงสุดท้าย ซึ่งก็คือเพลง The Sound ทุกคนร้องกันเสียงดังมาก หลังจากนั้นคอนเสิร์ตระยะเวลาสองชั่วโมงกว่า ๆ ก็ได้จบลงไปอย่างเต็มอิ่มกับบรรยากาศ และความประทับใจกับบทเพลง เสียงดนตรี ความหมายในสิ่งที่จะสื่อ และอารมณ์ร่วมในแต่ละเพลงในคอนเสิร์ต The 1975 live in Bangkok 2019 ได้อย่างสมบูรณ์
ความพิเศษของ The 1975 live in Bangkok 2019
ในด้านของภาพรวมคอนเสิร์ต The 1975 live in Bangkok 2019 ในครั้งนี้ เราประทับใจในความพิเศษในหลาย ๆ ด้าน ทั้งซาวน์ดนตรีและเทคนิคที่หลากหลายของนักร้อง นักดนตรี แดนเซอร์ การสื่ออารมณ์จากศิลปินสู่ผู้ชม การจัดเวที แสง สี และแน่นอน การสะท้อนปัญหาสังคมในยุคปัจจุบัน
ภาพวิดีโอภัยพิบัติถูกฉายขึ้นจอ พร้อมกับคำบรรยายและเสียงพูดของ Greta Thunberg ที่กล่าวถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น และกระตุ้นให้เราร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่ตอนนี้ ร่วมมือกันก่อนที่จะสายเกินไป "It is time to rebel."
และไฮไลท์สำคัญที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการแสดงจุดยืนของวง The 1975 ที่จะเป็นศิลปินที่ใช้ความมีชื่อเสียงของตนเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการสะท้อนปัญหาสังคม ซึ่งในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ที่จะเห็นชัดที่สุดคือเรื่องของปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งความโหดร้ายเหล่านี้ก็มาจากมนุษย์นั้นแหละ แต่เราก็ยังที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ด้วยการเริ่มที่ตัวเองและการร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อตัวเราและคนรุ่นหลัง ๆ ต่อไป และเพลง Love It If we Made It ก็เป็นอีกเพลงที่ถูกร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาและความล้มเหลวของสังคมออกมาได้อย่างเห็นภาพ
เพลง Love It If We Made It ก็เป็นอีกเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาสังคม ที่ทำให้พวกเราล้มเหลว แต่ก็คือพวกเราเองด้วยนี้แหละที่เป็นคนทำให้สังคมล้มเหลว ปัญหาที่ถูกพูดถึงในบทเพลงนี้เป็นปัญหาที่เราก็ยังพบเจออยู่ในชีวิตประจำวันในทุกหนทุกแห่ง เช่น การเหยียดสีผิว (ในเพลงสื่อโยงไปถึงการค้าทาสในอเมริกาที่ส่งผลทำให้ปัจจุบันยังมีการเหยียดสีผิวกันอยู่ด้วย) เรื่องของยาเสพติด ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ และอีกมากมาย โดยการร้องว่า "Yes, I'd love it if we made it" สื่อว่า เขาจะดีใจมากถ้าเราทำมันได้ เปลี่ยนแปลงระบบและสังคมให้ดีขึ้นได้ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาเองก็ยังมีความหวังอยู่ว่าสังคมของเรานั้นมันจะดีขึ้นได้ และเขาก็อยากให้เราเชื่อและมีความหวังเหมือนเช่นเขา
ทั้งนี้เราไม่ได้บอกว่าให้เชื่อและทำในทุกสิ่งที่บทเพลงพูดแบบหลับหูหลับตา คอนเสิร์ตครั้งนี้ก็เหมือนการสะท้อนให้เรารับรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และให้เรานำกลับไปคิดและตัดสินใจเอง โดยมีวง The 1975 เป็นตัวกลางและปัจจัยกระตุ้นความคิดนั้น สุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินใจว่าจะลองอะไรใหม่ ๆ หรือ ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ก็คือตัวเรา อยู่ที่ว่าหนทางไหนคือหนทางที่เราจะเลือก "So just give yourself a try".
ซึ่งเราสามารถรับชมการแสดง ติดตามข่าวสาร คอนเสิร์ต เพลง และอื่นๆ ของวง The 1975 ได้จาก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in