'คริสต์มาสนี้ ไปดูหนังด้วยกันไหม'
ลาเต้ร้อนในแก้วเซรามิกซ์เนื้อละเอียดสีขาวเนียนขนาดสิบสองออนซ์ ปล่อยควันสีเทาขุ่นจางๆ บ่งบอกว่าเครื่องดื่มพึ่งมาเสิร์ฟไม่นานมานี้ ฟองนมด้านบนวาดเป็นรูปตุ๊กตาหิมะพร้อมระบุข้อความ 'Have a Nice Day on Christmas Eve' ด้านล่างมีแผ่นกระดาษลายเส้นสีเทา ถูกฉีกเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้วยไม้บรรทัดอย่างประณีต บรรจุข้อความประหลาดจากบุคคลลึกลับวางอยู่บนโต๊ะประจำของผมในห้องสมุดโซนขายกาแฟในมหาวิทยาลัย ที่ปกติก็เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลแบบนี้ คนยิ่งหายกันไปหมด ซึ่งปีนี้เป็นปีที่สามแล้วที่ผมได้รับข้อความจากคนแปลกหน้าในวันคริสต์มาสอีฟ ผมหยิบเศษกระดาษบางๆ อย่างเบามือ เพราะกลัวจะขาดเข้า พลิกดูด้านหลังเพื่อมองหาอักษรย่อที่คุ้นเคย
ㅈㅎ (จฮ.) คนเดิมสินะ ผมคิดพลางเลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะแล้วนั่งลง แล้วก็เดาไม่ผิดจริงๆ ด้านหลังยังคงประทับตรา ㅈㅎ เหมือนเมื่อสองปีที่แล้วไม่มีผิด เจ้าของลายมือน่ารักๆ นี่คงมีชื่อย่อว่า ㅈㅎ หรือจะเป็น จีฮเย? สาวแว่นผิวขาวตาชั้นเดียวหน้าตาธรรมดาถึงขั้นจืดชืด ซึ่งผมสันนิฐานมาตลอดว่าเธอไม่ชอบแต่งหน้า หน้าเธอจึงดูไร้สีสันทุกวันจันทร์ - อังคารที่เราเจอกันในคลาสวรรณกรรมคลาสสิก แต่อาจจะไม่ใช่เธอ เพราะผมสังเกตเห็นว่าเธอมักจะแชทอยู่กับใครสักคนอยู่ตลอดเวลา นั่นอาจจะเป็นแฟนหนุ่มของเธอก็ได้ หรือจะเป็น จองฮา? สาวลูกครึ่งมะกันตาคมที่บุคลิกต่างกับจีฮเยโดยสิ้นเชิง เธอพกความมั่นใจมาเต็มร้อยเสมอเมื่อถึงคลาสภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารขั้นสูง แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าในเมื่อพ่อของเธอเป็นถึงเจ้าของภาษาและเธอก็ดูจะใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แล้วเธอจะมาลงเรียนวิชานี้ (ที่มีจุดประสงค์ไว้สำหรับคนที่อยากพัฒนาภาษา) ทำไมเมื่อภาษาอังกฤษของเธอพัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่รู้จะพัฒนาไปไหนได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่น่าใช่เธออีกล่ะ เพราะแฟนหนุ่มหุ่นล่ำของเธอก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอในคลาสภาษาอังกฤษนั่นเอง
ผมตัดสินใจเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์เพื่อถามหาเจ้าของแก้วกาแฟและแผ่นกระดาษนี้ โกชินวอน รุ่นน้องคนสนิทต่างคณะที่มาทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ เขามีผิวสีขาวผ่องเสียจนถ้าอยู่กลางแดด ผิวของเขาคงสะท้อนเปล่งออกมาเป็นประกายออร่าให้คนแสบตาเล่น ดวงตาที่เล็กอยู่แล้วแต่ก็ชอบเอาผมม้ายาวๆ ลงมาปิดหน้าปิดตาทำให้มองยากขึ้นไปอีก เขาหันหลังเหมือนจะยุ่งอยู่กับการทำกาแฟให้ลูกค้าคนอื่นเพราะไหล่กว้างกว่า 55 เซนติเมตรอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไหวไปมา แต่ผมไม่ยักกะเห็นใครอยู่ที่นี่นอกจากผม ผมจึงตัดสินใจเรียกก่อนจะต้องรอนานไปมากกว่านี้ เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มกว้างใส่ ผมชูแผ่นกระดาษขึ้นโชว์เขาแล้วชี้ไปที่โต๊ะของผมก่อนจะถามว่า "ของใคร?" เขายิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบแบงค์หมื่นวอน (ราว 300 บาท) ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนขึ้นมาโบกไปมาเป็นสัญญาณว่า 'คุณคนนั้นเอาเงินปิดปากผมไว้น่ะ บอกไม่ได้หรอก'
"น่า บอกหน่อยไม่ได้หรือไง" ผมถามออกไปตรงๆ
"ไม่ได้หรอกครับ ผมสัญญาไว้แล้วด้วยเจ้านี่" ชินวอนหยิบแบงค์ออกมาโชว์อีกรอบ
"ฉันให้นายได้มากกว่านั้น นายก็รู้ใช่ไหม"
"ไม่จำเป็นหรอกครับพี่ฮงซอก เพราะสัญญาต้องเป็นสัญญาครับ" พูดจากวนส้นเท้าเป็นบ้า!
หมอนี่ทำตัวดีเหนือปกติพิลึก ปกติไม่เคยจะเห็นว่าเป็นคนรักษาสัญญาเท่าไหร่ กะอีแค่เงินหนึ่งหมื่นวอนมันมีอิทธิฤทธิมากเสียจนปิดปากคนได้ขนาดนี้เชียวหรือ "อย่าลืมกาแฟนะครับ ผมอุตส่าฝึกทำฟองนมรูปสโนว์แมนอยู่ตั้งนาน กว่าคุณคนนั้น จะพอใจ"
หมอนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมโบกมือปัดๆ เดินกลับมานั่งที่ แล้วคิดถึงความเป็นไปได้ของคนใกล้ตัวที่จะเป็นเจ้าของกระดาษใบนี้ คนหลายพันคนในมหาวิทยาลัย ไหนจะคนนอกที่สามารถเข้าถึงห้องสมุดนี้ได้ (แม้จะไม่ค่อยมีคนเข้ามาก็ตาม) ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าของกระดาษแผ่นนี้เป็นใคร เมื่อคำใบ้เดียวที่จะทำให้ผมสืบหาตัวเขาได้มีเพียงชื่อย่อ จฮ. นั่น ผมส่ายหน้าไปมา ล้มเลิกความคิดจะตามหาเจ้าของ แล้วหยิบ A Christmas Carol นวนิยายของ ชาร์ลส์ ดิคเก้นส์ ขึ้นมาอ่าน เพราะไหนๆ ก็จะใกล้วันคริสต์มาสแล้วผมจึงหยิบวรรณกรรมที่แอบแฝงความ เย็นเยือก มืดมน โศกเศร้า ไว้ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นในวันเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่ประเทศอังกฤษได้เป็นอย่างดี
ตัวผมไม่แตกต่างอะไรกับ เอเบเนเซอร์ สครูจ นายธนาคารตัวดำเนินเนื้อเรื่องหลักในหนังสือเล่มนี้เลย ผมโดดเดี่ยว เดียวดาย และดูมีทีท่าว่าบั้นปลายชีวิตจะจบลงด้วยการนอนตายอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครอยู่และกว่าจะมีคนมาพบศพเข้าก็คงผ่านไปนานหลายวันจนศพนั้นส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เพียงแต่ ผมไม่ใช่คนขี้เหนียว หรือใจจืดใจดำเย็นชาอะไรเหมือน สครูจ ผมไม่ใช่คนเลว ผมเพียงแค่ โดดเดี่ยว เท่านั้นเอง
ผ่านไปราวสามชั่วโมงครึ่งผมอ่านหนังสือเล่มเล็กในมือจบ สายตากวาดไปมองแผ่นกระดาษที่ยังวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะ ข้างๆ เป็นแก้วกาแฟที่หมดเกลี้ยงแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าคุณคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าผมชอบการดื่มกาแฟเป็นที่สุด โดยเฉพาะลาเต้ร้อนในฤดูหนาวหน้าเทศกาลแบบนี้ ใครกันนะ ผ่านไปสามปีแล้วแต่ก็ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นสักที ตกลงแล้วหนังที่ชวนดูด้วยกันคือเรื่องอะไรกันแน่ มาเขียนโน๊ตทิ้งไว้แบบนี้แล้วไม่โผล่หน้ามาจะให้ทำยังไงเล่า ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะว่าจะนอนหลับพักสายตาเสียหน่อย ผ่านไปนานกว่ายี่สิบนาที เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนออกพร้อมการปรากฎตัวของคนแปลกหน้า
"วันคริสต์มาสนี้ ไปดูหนังด้วยกันไหม"
ผมหยีตาขึ้นมองบุคคลลึกลับที่โผล่มานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำเอาผมสะดุ้งยืดตัวตรง ขายาวเก้งก้างที่ขดตัวอยู่ข้างใต้กระแทกกับขอบโต๊ะดังปัง แก้วกาแฟแก้วใหม่ที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นของเขา ค่อยๆ กระเด้งลอยขึ้นบนฟ้าแล้วตกลงกระทบโต๊ะอีกครั้งก่อนลาเต้ร้อนสีน้ำตาลอ่อน จะเทพรวดกระจายเต็มโต๊ะ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของลาเต้ไหลหกไปโดนเขาเต็มๆ เขาไม่ได้มีท่าทีโกรธใดๆ เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนขึ้นมาซับลงบนเสื้อถักไหมพรมสีขาวตัวโคร่ง กลับกลายเป็นผมเสียเองที่เป็นฝ่ายกระวนกระวายใจ แต่เขาส่ายหน้าเบาๆ โบกมือขึ้นตรงหน้าไปมาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
"คุณคือเจ้าของกระดาษแผ่นนี้เหรอครับ" ผมถามขึ้นทำลายความเงียบที่น่ากระอักกระอ่วนใจ
"ไม่ต้องเรียกคุณหรอก ฉันอายุมากกว่านายแค่ 2 ปีเอง ชื่อจินโฮนะ" เขายิ้มจนตากลายเป็นขีดเดียวแล้วแกล้งมองออกไปนอกหน้าต่าง หูเล็กๆ นั่นขึ้นสีแดงระเรื่อ แสงแดดอุ่นๆ ที่สาดเข้ามายังเส้นผมสีดำขลับยิ่งทำให้ผิวของเขาดูขาวเนียนต่างจากผิวสีคล้ำของผมโดยสิ้นเชิง ริมฝีปากสีแดงอมชมพูนั่น ฉ่ำวาวเหมือนผู้หญิงที่พึ่งทาลิปมันกลิ่นสตรอเบอร์รี่มาไม่มีผิด แก้มป่องกลมๆ ทำให้ผมเกือบหลุดขำออกมา เพราะเขาดูไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตัวน้อยที่กำลังซุกตัวอยู่ในเสื้อไหมพรมสีขาวตัวใหญ่ที่เลอะคราบกาแฟเป็นดวงๆ เพื่อหลบหนีความหนาวเย็นและเงยหน้าเอนตัวเข้ารับเอาไออุ่นจากแสงแดดยามบ่าย
"เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านะ?" แม้ผมจะไม่เคยรู้จักคนชื่อจินโฮมาก่อน แต่ผมมั่นใจว่า
ผมต้องเคยพบเขาที่ไหนมาก่อนแน่ๆ
"ฉันชอบประกวดร้องเพลงน่ะ นายอาจจะเคยเห็นฉันขึ้นโชว์บนเวทีไหนสักเวทีก็ได้" ผมยักไหล่ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน "อ้อ ฉันเห็นว่านายชอบอ่านหนังสือที่เข้ากับเทศกาลอยู่บ่อยๆ ก็เลยอยากชวนไปดูหนังด้วยกันบ้างน่ะ"
แบบนี้เรียกว่า จีบ หรือเปล่านะ ผมชักไม่แน่ใจว่าการที่เขาเขียนโน้ตส่งมาให้ผมทุกวันคริสต์มาสอีฟติดต่อกันเป็นเวลากว่าสามปีแบบนี้เรียกว่าอะไร เพราะเขาไม่ได้พูดในส่วนนั้นเลยแม้แต่นิด แล้วสองปีที่ผ่านมาเขาหายไปไหน ทำไมพึ่งโผล่หน้ามาตอนนี้ คำถามร้อยแปดพันเก้าพุดขึ้นมาในหัว แต่แปลกที่ผมไม่คิดจะถามมันออกไปสักนิด เพราะกลัวจะละลาบละล้วงเขามากเกินไป กลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายขี้เกรงใจเสียเอง ว่าแต่... ถ้านี่เป็นการจีบจริงๆ ล่ะก็ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกจีบโดยชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่มาพร้อมพวงแก้มอันอวบอิ่มและดวงตาที่ยิ้มตลอดเวลาเลยนะ
"เรื่องอะไรเหรอ"
"It's A Wonderful Life หนังคลาสสิคปี 1946 ของแฟรงก์ คาปราน่ะ" เขาว่าพลางก้มลง
หาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง เศษกระดาษแผ่นยาวๆ ถูกหยิบขึ้นมาวางลงบนโต๊ะ ผมขมวดคิ้วแน่นแล้วหยิบขึ้นมาดู "เผอิญไปเจอรอบหนังพิเศษช่วงเทศกาลที่เมก้าบอกซ์ แถวชองดัมดงจะเอามาฉายพอดี ก็เลยจองไว้น่ะ รอบวันพรุ่งนี้" เขาว่าพลางหยิบกาแฟขึ้นมาจิบแก้เขิน ดูก็รู้ว่ากาแฟนั่นเหลือเพียงแค่ฟองนมเกาะรอบแก้วเท่านั้นล่ะ (แหงล่ะ มันหกไปเกือบหมดแล้วตั้งแต่เมื่อครู่) ท่าทางอายม้วนนั่นดูแตกต่างกับสิ่งที่ผมคิดไว้โดยสิ้นเชิง เขาวางแก้วลงเบาๆ บนโต๊ะ ฟองนมสีขาวเกาะรอบริมฝีปากเล็กๆ ที่ยังคงสีแดงชมพูอยู่เหมือนเดิม ก่อนลิ้นเรียวเล็กจะตวัดออกมาเก็บฟองนมเหล่านั้นออกจากริมฝีปากในทันที
"นายจะปฏิเสธกันก็ได้นะ เพราะฉันรู้ว่านี่มันออกจะคุกคามกันไปหน่อย ฉันพูดจริงๆ ถ้านายไม่อยากไป ก็ปฏิเสธมาได้เลย ฉันไปดูกับเพื่อนก็ได้" เขาพูดเบาลงไปอีกแถมยังวกไปวนมา ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากัน ใบหน้าหลุบลงต่ำจนเกือบจะติดโต๊ะ ผมสังเกตได้ว่าระหว่างพูด เขาพยายามทำตัวให้กลืนหายไปกับอากาศธาตุที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่ท่าทางสุดแสนประหลาดนี่ควรก่อกวนจิตใจผมตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นหอมธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากน้ำหอมสังเคราะห์แต่เป็นกลิ่นตัวหวานๆ และบรรยากาศอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเอง นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
"ดีซะอีก ผมอยากลองดูหนังเกี่ยวกับคริสต์มาสบ้างเหมือนกัน" ผมตอบตกลง แม้ในใจ
จะมีคำถามมากมาย เช่นว่า ทำไมต้องเป็นผม นี่เขากำลังจีบผมอยู่หรือ ที่ผ่านมาหายไปไหนมา ฯลฯ แต่ผมกลับไม่ได้คิดถึงมัน ผมตอบตกลงเพราะว่าผมอยากไปจริงๆ ผมอยากตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าทำไมเขาคนนี้ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด และผมแค่อยากรู้จักเขาให้มากขึ้น เท่านั้นเอง
"ขอบคุณนะ งั้นเจอกันวันพรุ่งนี้ 6 โมงเย็นที่เมก้าบอกซ์นะ" ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฎให้เห็นอีกครั้งบนใบหน้าของเขา เขายิ้มกว้างเสียจนดวงตาปิดสนิทอีกแล้ว และเดินจากไปพร้อมกับชินวอนที่ยิ้มกรุ้มกริ่มทำตัวเหมือนคิวปิดที่ยิงศรสื่อรักปักคาหลังผมกับจินโฮได้สำเร็จอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์บาร์
───────────────
ผมเกลียดโรงเรียน เพราะโรงเรียนเป็นแหล่งรวมเด็กเลวชั้นดี ผมกลายเป็นเด็กนอกคอกที่โดนทุกคนรุมรังแกเพียงเพราะผมไม่ชอบคุยกับใครและชอบนั่งอ่านหนังสืออยู่มุมห้องตัวคนเดียว น่าแปลกที่ปกติเด็กเนิร์ดส่วนใหญ่ - อย่างผม ก็ว่าได้ - มักจะแอบหนีไปหมกตัวอยู่ห้องสมุด แต่ผมชอบไปอยู่ห้องดนตรีมากกว่า ไม่ได้ไปเล่นดนตรีคลายเครียดเองหรอก แต่ไปฟังเสียงคนเล่นเปียโนห้อง 201 ต่างหาก ผมเคยเดินผ่านโดยบังเอิญระหว่างคาบเรียนดนตรีแล้วได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงเพลงของบีโธเฟนดังมาจากห้องนั้น นับแต่นั้นมาผมก็มักจะมาหลบมุมอยู่ในห้อง 202 เพื่อรอฟังเสียงเปียโนจากห้อง 201 อยู่ตลอดกระทั่งวันหนึ่งเด็กหนุ่มห้อง 202 ก็เดินเข้ามาหาผมที่กำลังเอาหูแนบกำแพงเพื่อจะได้ฟังเสียงเปียโนจากห้องของเขา
"เห็นแอบฟังอยู่นานแล้ว มานั่งห้องเดียวกันเลยไหม จะได้ฟังถนัดๆ" เขาพูดเชื้อเชิญ ไม่รู้ด้วยเจตนาตั้งใจจะประชดกันหรือตั้งใจจะชวนไปนั่งฟังด้วยจริงๆ ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกเขินอาย ที่ตัวเองเป็นเด็กผู้ชายผิวดำคล้ำตัวโตกว่าเขาเกือบสองคืบแต่กลับถูกเด็กผู้ชายตัวเล็กผิวขาวอมชมพูหุ่นอวบดูมีน้ำมีนวลฉุดกระชากลากถูให้ไปนั่งในห้องเดียวกัน
วันนั้นเขาเล่นเปียโนแล้วร้องเพลงไปด้วยหลายสิบเพลง เขาบอกผมว่าเตรียมตัวไปร้องเพลงประกวดที่ไหนสักที่ ผมถามเขาไปว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่ห้องดนตรีตลอดเวลา เขาตอบผมกลับว่าเพราะเขารักเสียงดนตรีและการร้องเพลง ผมไม่แปลกใจที่เขาตอบแบบนั้น แถมยังรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำไป
"แล้วนายล่ะ เป็นอะไรทำไมต้องมาหลบอยู่ห้องดนตรี"
"ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจเวลาอยู่กับเพื่อนหลายๆ คนในห้อง แต่กลับรู้สึกอุ่นใจเวลาได้ยิน
เสียงเปียโนแล้วก็เสียงใสๆ ของนายเวลาร้องเพลง ก็เลยชอบมาแอบฟังน่ะ" ผมตอบอย่างที่คิด แล้วแอบเห็นเขายิ้มที่มุมปาก สงสัยว่าเขาพึ่งเคยได้รับคำชมจริงๆจังเอาเข้าวันนี้
ผมเชื่อแล้วว่าความสุขมักอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ เขาเล่นดนตรีให้ผมฟังได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ห้องดนตรีก็ปิด เขากับผมเดินแยกทางกันกลับบ้าน ผมนึกเสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อเขาไว้ เพราะหลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้กลับไปที่โรงเรียนอีกเลย พ่อกับแม่มาทำเรื่องขอครูใหญ่ให้ผมออกจากโรงเรียนในวันถัดมา เนื่องจากพักหลังผมกลับบ้านไปพร้อมแผลฟกช้ำจากเด็กผู้ชายตัวโตหลังห้อง และสมุดที่มีแต่รอยขีดเขียนก่นด่าและสาปแช่งด้วยปากกาสีแดงของเหล่าเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแรง แต่คอยจะหาเรื่องรังแกผมให้ได้ ผมจึงไม่ได้เจอเขาอีกเลย และแม้ผมจะเกลียดโรงเรียนมากแค่ไหน แต่ผมก็รักห้องดนตรีในโรงเรียนที่มีเขาคนนั้นเล่นเพลง Moonlight Sonata ช่วยขับกล่อมให้ผมรู้สึกดีและลืมความหนาวเหน็บในวันคริสต์มาสได้เสียสนิท
───────────────
ผมหันไปสำรวจบรรยากาศมืดสนิทในโรงหนังที่มีคนเพียงไม่กี่คน นอกจากผมกับจินโฮก็มีคู่หญิงชายชราหนึ่งคู่ และคู่รักวัยกลางคนอีกคู่ รวมแล้วภายในโรงหนังมีคนแค่ 6 คนเท่านั้น อาจเป็นเพราะนี่เป็นรอบพิเศษและเป็นหนังคลาสสิกที่น้อยคนจะรู้จัก (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ผมถามเขาก่อนเข้าโรงหนังว่าทำไมต้องเป็นเรื่องนี้ เขายิ้มแล้วบอกว่า เพราะเป็นหนังที่ต้องดูในวันคริสต์มาส ก็แค่นั้น
เราสองคนนั่งใกล้กันมากกว่าเดิม - แต่ยังไม่ถึงขั้นได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน - ทำให้ผมได้กลิ่นหอมธรรมชาติคล้ายดอกไม้อ่อนๆ จากตัวเขาชัดขึ้นกว่าเมื่อวาน แม้สองแขนของเราที่วางอยู่บนที่พักแขนจะใกล้และเกือบจะสัมผัสกันมากเพียงใด แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้น นั่นทำให้ผมรู้สึกเสียดายในใจเล็กๆ
เรานั่งดูเงียบๆ เกือบ 2 ชั่วโมง เขาไม่มีท่าทีกระโดกกระดากอะไร แต่กลับดูสุขุมและทำให้ผมเชื่อได้ว่า ถึงแม้หน้าตาที่น่ารักและส่วนสูงที่เกือบจะต่ำกว่ามาตรฐานผู้ชายนั่นจะทำให้เขาดูเด็กกว่าผมได้ถึง 5 ปี แต่จริงๆ แล้วเขาแก่กว่าผม 2 ปี และดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมมาก ผมแอบงีบหลับบ้าง เอนซ้ายเอนขวาบ้าง ผมหันไปมองเขาที่นั่งอยู่ทางขวามือ เสียดายที่ไฟในโรงหนังนั้นมืดจนมองไม่ค่อยเห็นแม้แต่ไฝน่ารักที่อยู่ตรงจอนผมข้างหูขวาของเขา ผมแอบเห็นเขายกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนตั้งใจดูต่อจนจบเรื่อง
"ดูรอบที่สองแล้วแต่พี่ก็ยังร้องไห้อยู่เลย" ผมทักระหว่างทางเดินออกจากโรงหนัง
"อืม ฉันเป็นคนเซ้นซิฟทีพน่ะ ว่าแต่ เห็นด้วยเหรอ" เขาทำหน้าประหลาดใจ ส่วนผมได้แต่ขำแล้วตอบกลับไปว่าช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนัง ตาของผมแทบจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับจอเลย เพราะมัวมองแต่ใบหน้าของเขา และคำตอบนั้นดันซื่อตรงเกินไปจนทำให้เขาหน้าแดงเป็นลูกตำลึงก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปเร็วๆ - นิสัยเขากลับกลายเป็นเหมือนเด็กอีกครั้ง - ผมรีบวิ่งตามไปแล้วคิดในใจ ตกลงตอนนี้ใครจีบใครกันแน่เนี่ย ?
ถนนแถวชองดัมดงในคืนวันคริสต์มาสกลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนมากมายที่ต่างออกมาสัมผัสบรรยากาศและแสงสีที่นานทีมีครั้ง แม้หิมะจะไม่ตกแต่อุณหภูมิตอนนี้ก็ปาเข้าไป -6 องศาแล้ว ผมไม่ค่อยได้ออกมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไรนัก เพราะปกติก็มักจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านและเข้านอนในคืนวันคริสต์มาสพร้อมหนังสือหนึ่งเล่มเสมอ ต้นไม้ข้างทางที่มีแต่กิ่งก้านประดับด้วยไฟดวงกลมสีเหลืองคล้ายพระจันทร์สีเหลืองอำพันที่มองไกลๆ เหมือนหิ้งห้อยยักษ์ปลอมลอยค้างอยู่กลางอากาศ ด้านบนมีแผงไฟห้อยระย้าเรียงตัวกันเป็นแผงใหญ่ยาวไปสุดขอบถนน มองเพลินๆ แล้วรู้สึกดีแต่เสียดายที่แสงสีขาวสว่างเสียจนทำเอาผมแสบตา มองไปอีกฝั่งเห็นผู้คนรุมถ่ายรูปคู่กวางเรนเดียร์ที่ประดิษฐ์จากโครงเหล็กและห่อหุ้มด้วยสายไฟสีน้ำเงินพันรอบตัวให้คล้ายกับว่ากวางตัวนี้เรืองแสงได้และต้นคริสต์มาสยักษ์ขนาดหกฟุตที่ตั้งตะหง่านอยู่อย่างไม่เกรงกลัวว่าจะไปขวางทางใครเข้า
"ไม่ค่อยได้ออกมาล่ะสิ" เขาคงทักเพราะเห็นว่าผมดูเพลิดเพลินและทำหน้าตาซึมซับ
บรรยากาศอย่างเต็มที่ ผมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร เขายิ้มตามแล้วซุกสองมือเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวสีเขียวเข้มที่ไซส์ใหญ่กว่าตัวเขาสองเท่าได้ แสงจากดวงไฟริมถนนที่ตกกระทบใบหน้าของเขาให้อารมณ์คนละแบบกับแสงแดดสีส้มอมเหลืองที่อาบหน้าเขาในห้องสมุดเมื่อบ่ายวานนี้ เขาเหมือนลูกหมาตัวน้อยที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มกองโต แต่มาวันนี้เขาเหมือนกับลูกแมวจอมซนที่ดูเหน็ดเหนื่อย ดวงตาที่ดูฉ่ำน้ำกับถุงใต้ตาย้อยๆ ใต้ดวงตาทำให้ผมคิดแบบนั้น
ผมได้ยินเสียงคนปรบมือโห่ร้องดังมาจากฝั่งตรงข้าม ฝูงชนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ทำให้ผมมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอหันไปมองคนข้างๆ อีกที เขาก็ข้ามถนนวิ่งตรงไปนู่นเสียแล้ว ผมรีบวิ่งตามไป เขาแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน เขาตัวเล็กเสียจนผมหาไม่เจอ ผมเดินชนคนซ้ายทีขวาทีและได้แต่กล่าวขอโทษปัดๆ ไม่มีเวลาแม้แต่จะมองหน้าแล้วขอโทษอย่างจริงใจด้วยซ้ำไป เขาหายไปไหนนะ ผมคิดในใจ
ทันใดนั้นเสียงเพลงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมากลางสายลม ผู้คนรอบตัวปรบมือและเป่าปากดังวี๊ดวิ้ว ผมมองไปยังต้นเสียง ข้างหน้าคือเขา จินโฮ กับเปียโนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตัวเดียวท่ามกลางผู้คนมากมายที่ล้อมรอบเป็นวงกลม Moonlight Sonata เพลงนั้นของบีโธเฟนนี่เอง ภาพแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวของผมคือห้องดนตรี 201 เด็กผู้ชายผิวขาวหุ่นอวบและพวงแก้มกลมกำลังเล่นเปียโนโดยมีผมนั่งอยู่ข้างๆ สิ้นเสียงดนตรีผู้คนต่างพากันปรบมือ - รวมผมด้วย - และส่งเสียงชื่นชม เขาเดินฝ่าฝูงชนออกมาหาผม เปียโนตัวนั้นก็ถูกจับจองด้วยเด็กน้อยวัยสิบขวบเป็นรายต่อไป
"ผมนึกว่านั่นคือความฝันเสียอีก"
"อะไรเหรอ"
"ภาพที่พี่เล่นเปียโนเมื่อกี้ ผมนึกว่ามันคือความฝัน" ผมหยุดเดิน เขาจึงหยุดตามด้วย ผมมองไปตามแสงไฟสีขาวที่ส่องสว่างจากดวงไฟข้างทาง "พี่คือเด็กผู้ชายในห้อง 201 ที่ผมตามหาอยู่นี่เอง" เขาไม่ตอบอะไรอีกตามเคย ได้แต่ยิ้มก้มหน้าเหมือนจะแอบไม่ให้ผมเห็น ผมเอียงคอก้มมองตามจังหวะที่เขาช้อนตาขึ้นมามองหน้าผมพอดี เขาแสร้งมองไปข้างหน้าแก้เขิน
"ขอโทษนะ..." ผมพูดอย่างจริงใจ
"หืม ?"
"ขอโทษที่ปล่อยให้พี่ต้องเป็นฝ่ายตามหาผมตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ให้ผมชดใช้ด้วยเวลาอีกสิบปีข้างหน้าแล้วกันนะ" เขายิ้มขำแล้วส่ายหน้าไปมา นั่นทำให้ผมรู้สึกว่ากำแพงที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรกค่อยๆ พังทลายลง รู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปในโลกของเขาทีละน้อย
"ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่เห็นนายที่มหาลัยเมื่อสามปีก่อนแล้วรู้สึกคุ้นๆ เท่านั้นเอง" เขาจิบลาเต้ร้อนในแก้วกระดาษที่เราสองคนพึ่งเข้าไปซื้อในร้านมาเมื่อครู่ ผมถือวิสาสะหยิบแก้วไปจากมือ เขาทำแก้มป่องเหมือนคนกำลังงอนแฟนหนุ่ม ผมบอกเชิงปลอบประโลมว่า ไม่แย่งหรอกน่า แค่จะถือให้
ผมฉวยโอกาสเอื้อมมือไปดึงมือเล็กข้างขวาที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อหนาวของเขาออกมานอกกระเป๋า ทำเอาเขาหันมามองตาโต ไม่ใช่ว่าโกรธหรือตกใจ แต่เป็นแววตาที่ดูเหมือนรอเวลานี้มานานแล้ว (ถ้าผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากไป) เขาทำปากย่นแล้วขยับปากแต่ไม่เปล่งเสียงออกมาจับใจความได้ว่า 'หนาว
อะ' ผมขำออกเสียงแล้วทำท่าขยับปากตามว่า 'ไม่หนาวแล้ว' ผมจับมือเขาเข้ามาซุกอยู่ใต้เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มที่อุ่นกว่าของผมแทน
ยังมีอีกหลายคำถาม หลายเรื่องราวที่ผมอยากคุยกับเขา แต่ตอนนี้ความเงียบระหว่างเราสองคน กลับทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าแค่มีเขาอยู่ข้างกาย อุณหภูมิจะติดลบอีกสักกี่สิบองศาก็ไม่อาจทำให้ผมรู้สึกหนาวไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ขอบคุณซานต้าที่ทำให้ผมได้พบกับจินโฮในคืนวันคริสต์มาสที่จะไม่มีคำว่าเหงาอีกต่อไป
เป็นฟีลคริสต์มาสจริงๆเลยอ่ะ ส่วนตัวชอบเทศกาลนี้อยู่แล้วเลยอินใหญ่เลย ภาษาค่อนข้างดีนะคะ บรรยายภายได้ชัดเจนมาก บอกแล้วฟีลคริสต์มาสสุดๆ >< ชอบค่ะ แต่งอีกนะคะเดี๋ยวรออ่าน 5555