ริมฝีปากของเธอเป็นสีแดงสด...มันก็ดูเข้ากันดีกับเรือนร่างสุดร้อนฉ่าแบบนั้น เมื่อเธอชายตามองมาทางนี้ ดวงตากลมโตคู่นั้นก็พราวระยับ หยอกเย้า ให้ตายสิ รอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้ฉันใจสั่นระดับสิบ--ซุกซน ท้าทาย เชิญชวน เธอเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงสดฉ่ำที่น่าเข้าไปชิม
ฉันกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก กลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไหวโอนเอน ก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเธอหรอกนะ โธ่ ก็ฉันรู้ตัวว่าเธอเด็กเกินไป--คงจะสักยี่สิบ หรือไม่ก็ยี่สิบเอ็ด ไม่เกินนี้หรอก ดูเปี่ยมล้นด้วยชีวิตชีวาและสีสัน--ช่างจัดจ้านเกินไปสำหรับฉันที่เพิ่งจะอายุครบสามสิบสี่ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้
ถึงจะบอกตัวเองว่าอย่างนั้นก็เถอะ...แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้มองหล่อนไม่ได้เลย ตาวิบๆคู่นั้นมันดึงดูดฉันเป็นบ้า และโดยไม่รู้ตัวขาของฉันก็ก้าวเข้าไปใกล้เธอจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจหอมหวานเจือด้วยกลิ่นค็อกเทลนั่น ให้ตายเถอะ ดูรอยยิ้มนั่นสิ มันเหมือนกับเธอกำลังย่ามใจเสียเต็มประดาว่าเธอชนะฉันแล้ว--โอเค สาวน้อย ฉันยอมแพ้เธอแล้ว แพ้ทางราบคาบเลยล่ะที่รัก
เสียงเพลงเร้าใจบรรเลงโอบล้อมรอบ แสงสีนีออนสาดส่องทาบทับเราทั้งคู่ แดง น้ำเงิน คละเคล้าผสมรวมกันกลายเป็นสีม่วงพร่าพราย เงาเหล่าคนเหงาวูบวับวะไหว--ผู้คนซึ่งต่างโดนกระแสคลื่นอารมณ์พัดพามาในที่แห่งนี้ ใฝ่หาความอบอุ่นและอ้อมกอดจากใครสักคน ไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวยามเมื่อจมดิ่งลงไปในห้วงสีฟ้าหม่น--และฉันอาจเป็นหนึ่งในนั้น...
เธอคนนั้นขยับไหวเคลื่อนกายอย่างสดชื่นเหมือนผีเสื้อราตรีบินเริงใจยามค่ำคืน ขาเรียวยาวแบบนั้นดูดีชะมัดตอนที่อยู่ในยีนส์รัดรูป--มันเน้นให้ก้นสวยๆนั่นน่ามองขึ้น เมื่อมามองใกล้ๆจึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วตาของหล่อนเป็นสีอำพันใสสด ยามเมื่อต้องแสงวูบวาบจากไฟในผับก็เหมือนจะเป็นเปล่่งประกายขึ้นมา หน้าอกหน้าใจอวบอัดของเจ้าหล่อนเบียดอิงแนบชิด ความร้อนแผ่ซ่านทาบทับผ่านเสื้อสายเดี่ยวสีไวน์แดง ปลายผมนุ่มสะบัดระแขนโชยกลิ่นแชมพูจางๆ--เด็กน้อย ฉันรู้นะว่าเธอกำลังยั่วฉันอยู่และเธอก็ทำสำเร็จซะด้วย ฉันอดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสเบาๆที่ช่วงเอวเล็กของเธอ รั้งให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น แอบเห็นวี่แววตกใจอยู่ชั่วแวบหนึ่งในดวงตาคู่นั้น ก่อนที่มันจะเปลี่ยนกลับมาเป็นดวงตาที่ท้าทายเหมือนเคย
เราเคลื่อนไหวในจังหวะเดียวกัน เข้าหากันด้วยเหตุผลง่ายๆดั้งเดิมของมนุษย์--ความใคร่...ไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยหรือเรียนรู้นิสัยใจคอใดๆ เรื่องเหล่านั้นไม่จำเป็นหรอก...ฉันเพียงแค่อยากรับรู้รสชาติของเธอในตอนนี้ ในนาทีนี้...ดวงตาของเราประสานกัน--ในเปลวไฟวาววับนั่นฉันเห็นหลุมดำลึกอยู่ในนั้น กลิ่นอายความอ้างว้างโชยชายออกมาจากหล่อน...
ฉันคิดว่าตัวเองคงเมามากกว่าที่คิด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังมอมเมาฉันนั่นคือวิสกี้ที่เพิ่งดื่มเข้าไปหรือว่าดวงตาคู่นั้นของหล่อนกันแน่--ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้เลย การกระทำทุกอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล
...คล้ายว่าฉันเห็นรอยสักรูปงูที่ร้อยรัดกระหวัดเกี่ยวบนต้นแขนของหล่อนกำลังกระซิบเชิญชวนให้ฉันลิ้มลองแอปเปิ้ลสีแดงสุกปลั่งตรงหน้า...และเมื่อหล่อนกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เส้นด้ายของความยั้งคิดก็ขาดผึงไปทันที
ฉันทำให้ลิปสติกสีแดงสดของเธอของเธอเลือน มันผสมรวมเข้ากับลิปสติกสีนู้ดของฉันเมื่อตอนที่เราจูบกัน--มันเป็นไปอย่างเชื่องช้าและเนิบนาบในตอนแรก คล้ายว่าเรากำลังทำความรู้จักกันผ่านรอยจูบนั้น ฉันค่อยๆละเลียดเล็มริมฝีปากนุ่มเนียนนั่น ตวัดปลายลิ้มชิมความหวานจากหล่อน...
ตอนนี้ฉันไม่ได้ยินเสียงเพลงใดๆอีกแล้ว ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือเล็กๆนั่นกำลังลูบผ่านของฉันอย่างจงใจ--ความหวามไหวแล่นซ่านผ่านปลายนิ้ว และปากรูปกระจับนั่นก็กัดเบาๆที่ต้นคออย่างจงใจเช่นกัน ลากไล้ปลายลิ้นไปบนกระดูกไหปลาร้าปลุกเร้ากระตุ้นความรู้สึกบางอย่างให้ลุกโชนโชติช่วง ผีเสื้อในช่องท้องของฉันโหมกระพือเรียกร้องให้ฉันปลดปล่อยมัน
เราจูบกันอีกครั้ง...แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งแรก--อุณหภูมิร้อนผ่าว กลิ่นเหล้าเคล้ากลิ่นน้ำหอมอ่อนจาง ดวงตาคู่นั้นยังเชิญชวนให้ฉันเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น...และมากขึ้น....
.
.
.
.
พระจันทร์ในคืนนี้ช่างงามงด เสี้ยวสีเงินแขวนลอยอยู่บนท้องฟ้าสีหม่น หมอกมัวแห่งเมืองกรุงคละคลุ้งคลี่คลุมท้องถนน แสงไฟนีออนสีเจิดจ้าแย่งกันทอแสงดารดาษแข่งกับดาวสีซีดจางสองสามดวงที่ทอประกายเหงาหงอยอยู่เบื้องบน
สายลมเย็นเฉียบอวลกลิ่นฝนพัดพามาวูบหนึ่ง ฉันหนาวจนต้องกระชับผ้าห่มที่คลุมไหล่อยู่ให้แนบเข้ากับตัวมากกว่าเดิม เธอยังนอนอยู่ตรงนั้น--หญิงสาวแปลกหน้าที่ฉันไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ร่างบางขดกายกลมอยู่บนที่นอนสีขาวสะอาดเรือนผมสีเทายาวสยายกระจายเต็มหมอน--มองดูเหมือนแมวตัวน้อยๆที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ฉันยกผ้าห่มขึ้นคลุมเธอด้วยกลัวว่าอากาศยามใกล้รุ่งอาจจะเย็นเกินไปสำหรับร่างที่เปลือยเปล่า--อดไม่ได้ที่จะไล้ปลายนิ้วไปบนนวลเนื้อขาวเนียนตรงหน้าอีกครั้ง ภาพความทรงจำอันรัญจวนหวนกลับคืนมาในความคิด
หล่อนช่างหวานฉ่ำ ทั้งสีหน้า...ทั้งน้ำเสียง...ฟังคล้ายลูกแมวขี้อ้อนที่ครางอย่างพึงพอใจ ร้องขอฉันซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า...เราดื่มกินไออุ่นของกันและกันเพื่อบรรเทาความเหงาที่ท่วมท้นในค่ำคืนอันเหน็บหนาว กอดรัดกระหวัดเกี่ยวกันเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่บนโลกสีเทาใบนี้
"คุณกำลังจะทำให้ฉันมีอารมณ์อีกครั้งนะคะ"
แล้วดวงตากลมโตก็เปิดปรือขึ้นมองฉันเหมือนดาวที่ทอประกายริบหรี่บนท้องฟ้า รอยยิ้มน้อยๆแต้มปรายอยู่บนใบหน้า
"ขอโทษทีที่ทำให้ตื่น"
"ฮะๆ นอนไม่หลับเหรอคะ?"
เสียงหล่อนใสก้องกังวานสะท้อนอยู่ในห้องอันเงียบงัน แตะแต้มให้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
"อืม นิดหน่อยน่ะ" ฉันตอบ อัดควันบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ พ่นควันบุหรี่สีเทาดั่งหมอก "กำลังคิดสงสัยอยู่ว่าทำไมฉันถึงได้พาเด็กที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อกลับมานอนด้วยที่ห้องได้" มันคลุมครอบล้อมรอบห้อง...ปกปิดภาพที่เห็นให้ดูเลือนลางไม่ชัดเจน
"แต่คุณก็ดูชอบนี่คะ"
เอาอีกแล้ว...เปลวไฟในดวงตาของหล่อนวิบวับขึ้นมาอีกแล้ว...และฉันชอบเหลือเกินเวลาที่มันเป็นอย่างนั้น
"ก็นั่นสิน้า"
"หิวจัง มีอะไรให้กินบ้างมั้ยคะ" เธอเด้งตัวขึ้นจากเตียง ยึดเสื้อเชิร์ตที่วางกองอยูบนพื้นของฉันมาใส่แล้วเดินตัวปลิวไปที่ตู้เย็นราวกับเจ้าของห้อง "หวา...ตู้เย็นคุณนี่...มีแต่ผักทั้งนั้นเลย ไม่มีของดีๆอย่างพวกไส้กรอกหรือแฮมอะไรพวกนั้นบ้างเหรอคะ"
"โทษทีนะ ฉันไม่ชอบกินของขยะพวกนั้น"
ฉันตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขันกับสีหน้าผิดหวังแบบนั้นของเธอ
"แหม เสียดายจัง อร่อยออกนะคะ"
ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่เลิกความพยายามในการค้นหาของที่หล่อนต้องการ
"ไปนั่งตรงนั้นเลย เดี๋ยวฉันจะทำเอง" ลงท้ายฉันเลยต้องไล่ให้เธอไปนั่งรอตรงโต๊ะกินข้าว ก่อนที่ตู้เย็นจะรกเละเทะไปมากกว่านี้ "อยากกินอะไรล่ะ? เป็นแพนเค้กกับน้ำชาร้อนๆดีมั้ย?"
"ดีค่ะ ฉันชอบกินของหวานๆ"
หล่อนยิ้มร่าตอบฉัน เป็นยิ้มที่ดูไร้เดียงสาผิดกับตอนที่เจอกันครั้งแรก...อืม ฉันชอบยิ้มแบบนี้มากกว่าแฮะ
แต่แทนที่จะไปนั่งรอดีๆที่โต๊ะ เธอกลับเดินสำรวจทั่วห้องของฉัน--เขม้นมองที่ภาพถ่ายบนชั้น ไล้ปลายนิ้วเบาๆที่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่วางอยู่บนเปียโนไม้สีน้ำตาลเข้ม
"คุณอยู่คนเดียวมานานรึยังคะ"
"สามปีแล้วละ"
ตั้งแต่วันนั้นที่แพรวตัดสินใจเดินออกไปจากชีวิตฉัน ฉันก็ไม่ยอมเริ่มต้นสัมพันธ์ใหม่กับใครอีก
เลย...เพราะยังรักแพรวอยู่หรือ? ฉันเคยถามตัวเองว่าอย่างนั้น...ไม่ใช่หรอก...ฉันเพียงแค่เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเสี่ยงกับสิ่งที่เรียกว่าความรักอีกต่างหาก
แต่ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น...ทำไมถึงยังโหยหาไออุ่นจากใครสักคนอยู่อีกนะ?
"โห ไม่น่าเชื่อว่าคนสวยๆอย่างคุณจะโสดได้นานขนาดนั้น"
"หืม? ชมไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ"
หล่อนยิ้มทะเล้นรับคำพูดของฉัน พรมนิ้วเบาๆบนแป้นเปียโนเป็นบทเพลงง่ายๆอย่างเพลง 'Santa clause is coming to town' โน๊ตดนตรีเหล่านั้นเริงระบำในห้องที่เงียบทึมคละเคล้ากับเสียงฝนที่เทกระหน่ำเบื้องนอก
"ยังไม่ถึงคริสต์มาสซะหน่อย"
ฉันเอ่ยกระเซ้าพลางพลิกแพนเค้กในกระทะ กลิ่นเนยหอมคลุ้งพร้อมกับเสียงฉี่ฉ่าเบาๆในกระทะ กลิ่นแบบนี้มันทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาวัยเยาว์ที่ผันผ่านมา--เช้าวันเสาร์ที่แม่ว่างจากงาน อาหารเช้าที่เริ่มกินกันเมื่อตอนสิบเอ็ดโมง แพนเค้กหอมกรุ่นอวลด้วยบรรยากาศแห่งการผ่อนคลาย
"ก็ฉันเล่นเป็นอยู่เพลงเดียวนี่คะ ตอนเด็กๆแม่ให้ไปเรียนเปียโนก็ไม่เคยตั้งใจเรียน"
เธอย่นหน้าตอบ ผละจากเปียโนตัวนั้นไปที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเปิดอ่านอย่างทะนุถนอมราวกับกำลังถือสิ่งสำคัญ
"คุณอ่านเรื่องนี้ด้วยเหรอคะ"
'เรื่องนี้' ที่เธอว่านั่นก็คือหนังสือปกแข็งเก่าโทรมเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า 'บ้านเล็กในป่าใหญ่' ของ ลอรา อิงกัลส์ ไวด์เดอร์ หนึ่งในเล่มโปรดที่ฉันอ่านซ้ำอ่านซาก
"อืม ทำไมเหรอ?"
"ฉันก็อ่านเหมือนกัน" สีหน้าของเธอดูกระตือรือล้นเหลือเกินตอนที่พูดเรื่องนี้ "ฉันอ่านทุกเล่มของชุดนี้เลยนะคุณรู้มั้ย ฉันชอบเวลาที่ได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติ วิถีชีวิตของคนสมัยก่อน แล้วก็พวกของกินอร่อยๆสมัยนั้น อยากลองกินบ้างเลย"
"อืมม พูดง่ายๆว่าเห็นแก่กินสินะ?"
"เปล่านะ"
เธอตอบปฏิเสธ แต่รอยยิ้มแบบนั้นกลับดูเหมือนเธอกำลังยอมรับมากกว่า
"เรื่องนี้ฉันก็ชอบ"
คราวนี้เป็นหนังสือปรัชญาเล่มบางของ คาลิล ยิบราน และมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ภาพลักษณ์ภายนอกของเธอดูไม่เหมือนคนชอบอ่านอะไรแบบนี้เลยสักนิด
"หืม? งั้นเหรอ"
"ทำไมคะ หน้าฉันมันไม่เข้ากับการเป็นหนอนหนังสือรึไง"
"ก็ประมาณนั้นมั้ง"
ฉันยิ้ม ไหวไหล่ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ช่่วยไม่ได้ รู้สึกประหลาดใจมากขึ้นทุกทีเหมือนกับกำลังเปิดกล่องปริศนาที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบรรจุอยู่ภายใน...เธอทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นเวลาที่คุยด้วย
"ฮะๆ เพื่อนฉันหลายคนก็ชอบพูดแบบนั้น โดนตัดสินจากภายนอกเรื่อยเลย" หนังสือเล่มนั้นถูกวางไว้ที่เดิม "อ้ะ มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย ตั้งแต่ยุคไหนแล้วคะเนี่ย" หล่อนหันเหความสนใจมาที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าโบราณ
"ก็มรดกตกทอดจากพ่อนั่นแหละ"
"อ้อ ที่บ้านลุงฉันก็มีอยู่อันนึง เป็นแบบนี้เปี๊ยบเลย" ดวงตาสีอำพันคล้ายจะเปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม
"ฉันขอลองเปิดฟังหน่อยได้มั้ยคะ"
"เอาสิ"
แล้วท่วงทำนองอ่อนหวานอบอุ่นก็แผ่กระจายอย่างแผ่วเบา มันดูแตกต่างจากดนตรีอึกทึกในผับอยู่มากโข ฉันเห็นเธอหลับตาพริ้มรับไออุ่นจากเสียงดนตรีอยู่บนโซฟาตัวยาว...ดูละมุนละไมอ่อนหวาน...ลิปสติกสีแดงสดบนเรียวปากนั้นเลือนหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงสีชมพูอ่อนจาง...
"คุณชอบอะไรแบบนี้เหรอคะ"
หล่อนขยับปากพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่
"อืม ฉันชอบฟัง...ฟังแล้วคิดถึงวันเก่าๆ"
"พูดอย่างกับคนแก่แน่ะ"
"ก็แก่แล้วนี่"
"ไม่จริงน่ะ คุณยังดูไม่ค่อยแก่เท่าไรเลย"
"ก็แก่กว่าเธอหลายปีแล้วกันเด็กน้อย"
"แก่กว่าหลายปีนี่อายุเท่าไรคะ"
ถึงตรงนี้เธอก็ผุดผลึงขึ้นจากโซฟา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ฉายแววอยากรู้อยากเห็นแจ่มชัด
"ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าห้ามถามเรื่องอายุกับผู้หญิง"
ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตักแพนเค้กชิ้นสุดท้ายออกจากกระทะ พยายามกลั้นไม่ให้ขำกับสาวน้อยที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทายอายุฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย
"ยี่สิบห้า?" หล่อนโพล่งออกมา--สืบเท้าเข้ามาใกล้ฉัน "ยี่สิบเจ็ด?" เมื่อเห็นฉันยังนิ่งก็พูดออกมาอีกคำ "ยี่สิบเก้า?" คราวนี้หล่อนหยุดตรงหน้าฉัน จ้องเป๋งเหมือนเด็กขี้สงสัย
โอเค ยัยเด็กไฮเปอร์ ฉันยอมแพ้แล้วก็ได้
"ฉันเพิ่งอายุครบสามสิบสี่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง"
ดวงตากลมๆเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมจนดูเหมือนไข่ ปากอ้ากว้างทำท่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น แพนเค้กหอมกรุ่นก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้าหล่อนเสียก่อน--เป็นอันว่าความอยากรู้เกี่ยวกับตัวฉันได้ถูกกลบด้วยกลิ่นแพนเค้กเรียบร้อย "ว้าว หอมจัง น่ากินมากก" ช้อนเงินเงาวับตักจ้วงลงไปอย่างไม่ลังเล "คุณทำแบบนี้ให้ผู้หญิงทุกคนที่มาค้างรึเปล่าคะ?" น้ำผึ้งเหนียวหนืดเคลือบเรียวปากอิ่มวาววาม
"ไม่ทุกคนหรอก"
มือที่กำลังส่งแพนเค้กเข้าปากหยุดชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีอำพันสั่นไหวเพียงพริบตาและกลับมาเป็นดวงตาขี้เล่นดังเดิม
"ว้าว แบบนี้ฉันควรจะดีใจสินะเนี่ย"
ความรู้สึกอ่อนไหวเหล่านั้นถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดเบื้องหลังรอยยิ้มขี้เล่นของเธอ วินาทีนั้นฉันก็รู้ตัว...ว่าฉันติดใจหล่อนมากกว่าที่ตัวเองคิด
"เธอชื่ออะไร?"
"จะรู้ไปทำไมคะ เดี๋ยวตอนเช้าเราก็กลับไปเป็นคนแปลกหน้าเหมือนเดิมแล้ว"
"เถอะน่า ฉันอยากรู้"
น้ำชาร้อนสีทองไหลเป็นสายจากกากระเบื้องสีนวลลายกุหลาบตกลงในแก้วชาเข้าชุดกัน ควันร้อนสีขาวลอยโชยอยู่เหนือแก้ว ส่งกลิ่นหวานละมุนเข้ากับแพนเค้ก
"ฉันชื่อมาเลศค่ะ"
หล่อนตอบพลางจิบชาในแก้วช้าๆ สีหน้าพึงใจกับรสชาติ
"ชื่อเล่นล่ะ?"
"ฉันไม่มีชื่อเล่น"
"อืม ชื่อแปลกดี...มาเลศ...ที่เป็นชื่อพันธุ์แมวใช่มั้ย"
ดูเป็นชื่อโบราณเกินไปสำหรับสาวน้อยหน้าตาทันสมัยอย่างหล่อน...แต่มันเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ--ใช่ หล่อนน่ะอย่างกับแมวแน่ะ
"ใช่ค่ะ เก่งจัง สมกับที่อยู่มานาน" มาเลศพรายยิ้ม ดวงตาวิบวับ "ตลกดีนะคะ ที่เรารู้จักร่างกายกันและกันก่อนที่จะรู้จักชื่อซะอีก"
เธอตักแพนเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก ลิ้นแดงๆแลบเลียวิปครีมสีขาวตรงมุมปาก ดูดปลายนิ้วที่เปื้อนครีมช้าๆ เปลวไฟไหววับในแววตา
"แล้วคุณล่ะคะ ชื่ออะไร?"
"ฉันชื่อคราม"
"อืออฮึ คุณคราม ชื่อเหมาะกับตัวคุณดีนะคะ"
มาเลศดีดตัวเองขึ้นนั่งบนโต๊ะ ใกล้กับฉันที่ยืนอยู่ตรงนั้น ชายเสื้อเชิร์ตรั้งขึ้นเผยให้เห็นต้นขาขาวผ่อง หล่อนแกว่งขาไปมาเบาๆเหมือนเด็กน้อยเวลานั่งชิงช้า
"ทำไมถึงคิดงั้น?"
"ก็คุณเหมือนทะเลนี่คะ ดูเยือกเย็น สงบนิ่ง แต่ภายใต้ความสงบนิ่งแบบนั้น ซ่อนอะไรไว้บ้างก็ไม่รู้"
"อ้อ งั้นเหรอ"
ฉันรับคำสั้นๆไม่ยักรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น จริงๆต้องบอกว่าไม่สนใจจะดีกว่า ตัวฉันในสายตาคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องเก็บมาคิด แต่มันก็รู้สึกพิลึกดีเวลาได้ยินหล่อนพูดถึงตัวตนของฉัน
"แล้วคุณเที่ยวบ่อยมั้ย?"
"ไม่รู้สิ เมื่อก่อนบ่อย แต่ช่วงหลังๆมานี่งานเยอะเลยไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไร"
ภาระหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นทบเท่าทวีเทียบเท่ากับอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีเรื่องต้องรับผิดชอบมากขึ้น เราต่างก็วิ่งบนลู่วิ่งที่เรา--หรือใครสักคน กำหนดไว้ วิ่งห้อเหยียดสุดแรงเกิดเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายที่วางไว้ จนบางทีเผลอทำบางสิ่งหล่นหายในระหว่างทาง
รู้ตัวอีกทีฉันก็เหลือตัวคนเดียวซะแล้ว...
"ถ้างั้นแสดงว่าวันนี้งานไม่เยอะ"
"ฮะๆ จริงๆก็เยอะเหมือนเดิมนั่นแหละ" ดวงตาสีอำพันใสแจ๋วตรงหน้าฉายแววฉงน "ไม่รู้สิ...ก็แค่ไม่อยากอยู่คนเดียวในคืนแบบนี้ล่ะมั้ง"
ในสายตาของคนรอบข้าง ฉันเป็นคนเข้มแข้ง เป็นหญิงแกร่งที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขายอมรับและชื่นชมฉันในความเข้มแข็งนั้น...แต่กลับปฏิเสธด้านที่อ่อนแอของฉัน...
ฉันสูญเสียความไว้วางใจต่อคนรอบข้างไปโดยสิ้นเชิง...
"ว้า คุณเนี่ย นอกจากหุ่นแซ่บๆแบบนั้นกับเรื่องบนเตียงแล้ว เรื่องอื่นก็น่าเบื่อชะมัดเลย"
ดวงดาวคู่นั้นทอประกายแสงระยับ แล้วอ้อมกอดอันอบอุ่นก็โอบอุ้มฉันไว้ จูบร้อนๆของหล่อนทำให้ค่ำคืนที่เหน็บหนาวนี่อุ่นขึ้นมาหน่อย ฉันซุกใบหน้าเข้ากับทรวงอกนุ่ม สูดกลิ่นกายหอมกรุ่น ไล้มือสัมผัสนวลเนื้อร้อนรุ่มใต้เสื้อเชิร์ต--ดื่มด่ำในรสชาติของหล่อนเหมือนเหล้ารสร้อนแรงในยามหน้าหนาว
เราจมดิ่งลงไปในห้วงความหวานอันหน่วงหนืด...ตักตวงรสชาติของกันและกัน...จนกว่าราตรีนี้จะสิ้นสุด...
.
.
.
.
ความอุ่นของแสงแดดยามสายปลุกฉันให้ฟื้นตื่นจากห้วงนิทราอันแสนหวาน ฉันควานมือไปข้างกายหมายจะเจอความอุ่นจากร่างกายของหล่อนอีก...ทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า...
มาเลศหายไปแล้ว...หล่อนหายไปจากห้องของฉันแล้ว...
คล้ายว่าเรื่องระหว่างเราที่ผ่านมาเมื่อคืนนั้นเป็นเพียงฝัน--เป็นมายาแห่งราตรีที่แสนวิจิตรและฉาบฉวย...ไร้ซึ่งหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของความสัมพันธ์เหล่านั้น เป็นเพียงแค่ความใคร่ที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
ฉันกระพริบตาถี่ๆหลายครั้ง สลัดความง่วงงุน ดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย เก็บหล่อนไว้ในกล่องความทรงจำที่ปิดผนึกแน่นหนา ราตรีที่แสนงดงามนั้นสิ้นสุดลงไปแล้วและงานกองสูงเท่าภูเขาที่บริษัทยังรอให้ฉันกลับไปทำอยู่ ฉันต้องดำเนินชีวิตต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริงที่แสนเย็นชาใบนี้...ตราบนานเท่านาน...
เครดิตรูป : https://anakegoodall.wordpress.com/2012/02/25/red-lip-kiss/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in