เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
All of meTamago
รสขมของน้ำตาคือรสชาติของความเป็นผู้ใหญ่
  • -1-
    ไวน์แดง


    อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืนแต่ฉันยังคงนั่งแช่อยู่ตรงระเบียง กระดกไวน์ราคาถูกในมือช้าๆ ของเหลวสีแดงเข้มนั่นสร้างสัมผัสร้อนวูบในลำคอตรงข้ามกับความหนาวเย็นบนผิว--สายลมในเดือนธันวาคมเย็นยะเยียบ ฉันกระชับผ้าห่มที่คลุมอยู่ ทอดสายตามองลงไปเบื้องล่าง

    กรุงเทพไม่เคยหลับใหล เมื่อมองจากที่สูงอย่างนี้ดวงไฟเหล่านั้นก็กลายเป็นจุดเรืองแสงเล็กจิ๋วไม่ต่างจากหิงห้อย ไฟหน้ารถวิ่งฉิวพลิ้วผ่านไปคันแล้วคันเล่าดูราวกับแมลงตัวเล็กที่กำลังบิน--ฉันกระดกไวน์ขวดนั้นเข้าลำคออีกครั้ง นึกสงสัยว่าเมื่อไรกันนะที่ฉันเริ่มญาติดีกับเจ้าเครื่องดื่มแสนขมนี่ ทั้งๆที่ตอนแรกมันขมจนต้องคายทิ้ง แถมกลิ่นยังเหม็นฉุนอีกต่างหาก

    ภาพของร้านเหล้าที่มืดสลัวปรากฏขึ้นจางๆในความทรงจำ เสียงเพลงบรรเลงอย่างเชื่องช้า และฉัน...ที่ดื่มกินเหล้าเคล้ากับหยดน้ำตา รสชาติขมปร่าประทับติดแน่นที่ปลายลิ้น--ฉันไม่ชอบมันเอาซะเลย แต่ก็กล้ำกลืนฝืนกินไป หวังจะให้น้ำเมาเหล่านั้นช่วยให้แผลเหวอะหวะในใจมันชาไปบ้าง ฉันเจ็บปวดเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับมัน 

    เพลงเศร้าเพลงแล้วเพลงเล่าถูกเปิดขึ้นคล้ายจะตอกย้ำรอยช้ำที่มี ฉันร้องประสานเสียงกับมัน เฝ้าถามเหล่าเพื่อนด้วยคำถามเดิมๆ--ทำไมเค้าถึงทิ้งกูไปวะมึง เพียงเพื่อจะพบเจอคำตอบง่ายๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว มันก็แค่...เธอไม่รักฉันแล้ว แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย

    เมื่อกระพริบตาหนึ่งครั้งภาพเหล่านั้นก็พลันหาย สายลมหนาวพัดวูบมา ฉันสูดกลิ่นอายสดชื่นเย็นฉ่ำเข้าในปอดเฮือกใหญ่ มันดียิ่งกว่าบุหรี่ยี่ห้อแพงๆซะอีก

    ของเหลวสีแดงเข้มถูกสาดเข้าลำคออีกครั้ง นึกถึงจูบรสไวน์ในวันปีใหม่--ฉันผู้ยังไร้เดียงสา และเธอที่อยากรู้อยากเห็น เราร่วมลิ้มชิมรสชาติเหล่านั้นด้วยกันเป็นครั้งแรก ริมฝีปากของเธอนุ่มอุ่น หอมกลิ่นมิ้นท์จากลิปมันที่ทา เมื่อมันผสมกับรสของไวน์ในปากก็เกิดเป็นรสชาติแปลกใหม่ เราดื่มด่ำรสชาตินั้นด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า--หยิ่งทะนงในใจว่าได้ก้าวเข้าสู้ความเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น

    ฉันยิ้ม--เรียกว่าแสยะยิ้มจะดีกว่า นึกขันตัวเองในตอนนั้น เด็กน้อยวัยสิบเก้าที่เชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ และรักนิรันด์นั้นมีอยู่จริง เราต่างวาดฝันอนาคตที่สวยงามโดยที่ไม่ได้เตรียมใจต่อความผิดหวังใดๆ โลกของเราถูกย้อมด้วยสีพาสเทลหวานใส โลกของเทพนิยายที่ความขมขื่นต่างๆถูกซ่อนไว้ภายใต้ฉากจบแสนหวาน

    แต่แล้วจู่ๆอากาศเย็นแห้งในตอนแรกก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นชื้นฉ่ำ ลมพัดแรงพาให้กลิ่นสดชื่นเหือดหายหลงเหลือเพียงกลิ่นไอสายฝน--ฝนกำลังจะตกในเดือนธันวาคม บ้าบอสิ้นดี

    ในไม่กี่นาทีต่อมาฝนก็เริ่มโปรยสายกระหน่ำและการเข้าไปในห้องดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ฉันห่อตัวด้วยผ้าห่มนวม ทอดตัวลงนอนบนโซฟาหนานุ่ม ปล่อยให้เสียงเพลงอ่อนหวานดังกลบเสียงฝน 

    หยดน้ำร่วงหล่นลงบนกระจกหน้าต่าง ไหลระลงเป็นทาง หลอมละลายภาพแสงไฟให้กลายเป็นจุดสีเลือนๆ อากาศเดือนธันวาคมที่หนาวอยู่แล้วยิ่งหนาวขึ้นไปอีก ราวกับว่าหยดหยาดเหล่านั้นได้ซึมลึกเข้ามาถึงกระดูกราดรดลงบนรอยแผลเป็นจางๆในหัวใจ

    คืนนั้นก็เป็นคืนที่ฝนตกเหมือนกัน...คืนที่สุดท้ายที่ฉันอยู่กับเธอ--ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเราทะเลาะเรื่องอะไรกัน ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่เป็นฉันก็สามารถทำให้เธอหงุดหงิดและอารมณ์เสียได้ เวทมนต์แห่งเทพนิยายคงเริ่มเสื่อมสลาย ความเป็นจริงสีดำทะมึนกำลังกัดกร่อนซึมลึกเข้ามาในโลกใบนั้นของเรา เสียงฝนเบื้องนอกดังกึกก้องแต่ทว่าเสียงตะโกนกลับดังกว่า พื้นดินเบื้องนอกเปียกปอนด้วยหยาดฝนและแก้มของฉันก็ชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำตา

    ไวน์เหลืออยู่เพียงค่อนขวด มาถึงตอนนี้ความขมไม่ได้ทำให้ฉันเบ้หน้าเหมือนเมื่อตอนแรก--ฉันหัวเราะเบาๆออกมา เมื่อนึกถึงเหตุผลมากมายที่เธอสรรหามาบอกฉัน ตลกดีที่เธอปฏิเสธฉันผู้อ่อนแอทั้งๆที่มันก็เป็นคนเดียวกันกับฉันผู้เข้มแข็งคนนั้น

    ฉันดื่มไวน์อึกสุดท้าย--เมื่อหลับตาลงภาพหนึ่งก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นท่ามกลางเสียงฝน 

    ใต้ม่านฝนที่โปรยสาย เธอเดินเคียงข้างฉันบนถนนสายแคบๆ หยดหยาดเย็นฉ่ำซึมซาบผ่านผ้าเนื้อบาง พร่างพรมเส้นผมและใบหน้า ก่อเกิดเป็นฝ้าขาวมัวที่แว่นตา

    ที่ห้องเล็กแคบที่บ้านหลังนั้น ผนังห้องทึบทึมจนแทบไม่ได้ยินเสียงฝน เสื้อสองตัวถูกผึ่งไว้ที่ตู้เสื้อผ้า ระหว่างเรามีแค่เสื้อยืดตัวหลวมกั้นกลาง เสียงหัวใจดังประสานกับเสียงฝนเพียงแผ่วเบาเบื้องนอก มือของเธอเย็นเฉียบในตอนที่สัมผัสตัวฉัน--ล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนที่ไม่เคยมีใครก้าวผ่าน สำรวจและทำความรู้จักในทุกส่วน รับรู้ถึงทุกความอัปลักษณ์ที่แอบซ่อนไว้

    ในความขมปร่าของไวน์นั้นฉันสัมผัสได้ถึงรสหวาน มันแผ่ซ่านผ่านปลายลิ้นก่อนจะละลายหายไป

    จุดสีเขียวจุดหนึ่งสว่างอยู่หลังชื่อที่คุ้นเคยบนหน้าจอมือถือ ฉันมองมันอยู่อย่างนั้นอยู่นาน ถ้อยคำนับล้านในใจกระพือปีกไหวสั่นพร้อมจะโบยบินออกไปหาใครอีกคนหนึ่ง 

    แต่สุดท้ายโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ถูกโยนไปบนเตียงอย่างไม่แยแส กล่องข้อความของเธอคนนั้นก็ยังไม่มีข้อความใดๆส่งไป มีเพียงสติ๊กเกอร์รูปนิ้วโป้งที่ส่งมาครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว--นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เราคุยกัน แปลกดีที่เทคโนโลยีที่ชื่ออินเตอร์เนทสามารถเชื่อมโยงคนไกลๆให้ใกล้กันได้แต่ทว่ามันกลับไร้ผลในความสัมพันธ์ของเรา เรากลายเป็นดวงดาวสองดวงที่หลุดพ้นจากวงโคจรของกันและกันไปแล้ว--แม้กระทั่งคำว่าเพื่อนก็ยังห่างไกลเกินไป 

    ฉันกล้ำกลืนความคิดถึงรสขมนั่นลงคอไป เวลาที่ผ่านมาหลายปีไม่ได้ช่วยให้ความขมนั่นลดลงเลย แต่เป็นฉันต่างห่างที่ชินกับความขมนั้นมากขึ้น...มากพอที่จะค้นพบว่าในความสัมพันธ์ที่ปรักหักพังนั้นไม่ได้มีแค่ความขื่นขมเพียงอย่างเดียว

    ฉันหลับตาลิ้มรสความทรงจำแสนหวานในห้วงความฝันและปล่อยให้เธอเป็นเพียงแค่คนรู้จักต่อไป...


    -2-
    กาแฟ


    เวลาตีห้าตรง นาฬิกาปลุกแผดเสียงร้องดังลั่นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา และชีวิตประจำวันที่เหมือนกับบทละครซ้ำซากของฉันก็เริ่มต้นขึ้น--เริ่มตั้งแต่การฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งแล้วคลานไปหยิบต้นตอของเสียงเพื่อกดปิดการทำงานก่อนจะลากสารร่างอันเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงานหนักเมื่อคืนไปห้องน้ำ รู้สึกว่าตายังไม่เปิดดีด้วยซ้ำตอนที่หยิบแปรงสีฟันมาแปรง ความเบื่อหน่ายแผ่ขยายครอบคลุมรอบตัวเหมือนเมฆฝนเบื้องนอก--ฝนเวรที่ดันมาตกตอนหน้าหนาว อากาศแบบนี้ไม่ควรต้องออกไปผจญรถติดและฝุ่นควันบนถนนเลย ฉันควรจะได้นอนหลับยาวๆบนเตียงมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ...คิดไปก็เท่านั้น ค่าคอนโด ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่นๆอีกมากมายกำลังเรียกร้องกดดันให้ฉันไปทำงาน--เงินไม่ใช่ทุกอย่างแต่มันก็เป็นได้หลายอย่างในชีวิต อยู่ดีๆคำพูดที่เคยอ่านมาจากบทความอะไรสักอย่างก็ดังแว่วขึ้นมาเฉย ฉันแสยะยิ้มให้ตัวเองในกระจกและวักน้ำล้างหน้า--อา...ถึงเวลาแสดงบทบาทอันน่าเบื่อนี่อีกแล้วสินะ

    เวลาหกโมงสิบห้านาทีถือเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่สำหรับคนกรุงเทพแล้ว เวลานี้ถือเป็นเวลาที่คนพลุกพล่านที่สุด เหล่าฝูงมนุษย์เงินเดือนยืนรอรถไฟฟ้ากันอย่างหนาแน่น--แน่ล่ะ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย วันนี้ฉันออกจากห้องช้าไปห้านาที แค่ห้านาทีก็มากพอที่จะทำให้ทุกอย่างติดขัด มันเป็นทฤษฎีปลาซาดีนอย่างที่พ่อว่า คนเมืองกรุงมักจะแห่ทำอะไรตามๆกันเหมือนปลาซาดีนที่ว่ายเป็นฝูง เวลาจะเลี้ยวไปทางไหนก็เลี้ยวไปพร้อมๆกันหมด 

    มีผู้คนมากมายเดินสวนกันอยู่บนทางเดินลอยฟ้า ทั้งผู้ชายใส่สูทผูกไทด์ ทั้งหญิงสาวในกระโปรงทรงเอพอดีตัวและใบหน้าที่บรรจงแต่งอย่างปราณีต หรือแม่บ้านในชุดยูนิฟอร์มสีหม่น คนเหล่านั้นเดินสวนผ่านฉันไป มองดูแล้วเหมือนกับฉากในการ์ตูนที่วาดลวกๆ ไม่มีรายละเอียดใดๆเด่นชัดในความทรงจำของฉัน และฉันเองก็คงเป็นแบบนั้นในสายตาพวกเขา--ฉันเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆในวงจรของโลก เป็นเพียงแค่พนักงานธรรมดาๆในบริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้น

    ก๊อก....ก๊อก....

    เสียงส้นสูงกระทบกับพื้นดังเป็นจังหวะยามเมื่อฉันเดิน

    ทำงานหนักมากี่ปีแล้ว

    คำพูดจากโฆษณาประกันชีวิตที่เห็นผ่านตามาวันนี้เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะผ่านตัวอักษร--นั่นสิ ฉันทำงานมากี่ปีแล้วนะ

    โตขึ้นหนูอยากเป็นนักเขียนค่ะ
    เสียงเด็กน้อยคนหนึ่งแว่วกังวานมาจากอดีตอันแสนไกล ฉันแทบลืมไปแล้วว่าเธอพูดด้วยน้ำเสียงแบบไหน และทำแววตายังไง--ภาพผู้ใหญ่น่าเบื่อคนหนึ่งในชุดทำงานสีทึบทึมมองกลับมาจากกระจกในลิฟต์ ดวงตาเหนื่อยหน่ายไร้ซึ่งประกายตาแห่งความฝัน ฉันไม่ได้ทำงานเป็นนักเขียน...ไม่แม้แต่จะทำงานเกี่ยวกับหนังสือด้วยซ้ำ--ผู้ใหญ่คนนั้นยกมุมปากแสยะยิ้มด้วยความสมเพชตัวเอง

    ฉันถึงที่ทำงานเวลาเจ็ดโมงเป๊ะพอดี เหลือเวลาพอสำหรับการกินกาแฟและของว่างเล็กๆน้อยๆรองท้องก่อนจะถึงมื้อเที่ยง วิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้อาหารเช้ากลายเป็นสิ่งที่เสียเวลาและอาหารสำเร็จรูปพวกนี้ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ฉันเดินผ่านโต๊ะทำงานที่กั้นด้วยฉากสีเทาซีดดูแล้วเหมือนคอกสัตว์มากกว่าจะเป็นที่ทำงาน--ทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง ก้มหน้ารัวนิ้วมือบนแป้นคีย์บอร์ดหรือไม่ก็คุยโทรศัพท์ เราอาจจะคุยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน หรือสังสรรค์กันบ้างบางครั้ง (ในงานเลี้ยงปีใหม่บริษัท) แต่ก็แค่นั้นแหละ...เราแทบไม่รู้จักกันไปมากกว่าชื่อด้วยซ้ำ ยกเว้นว่าถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาล่ะก็ ประวัติส่วนตัวของเขาหรือเธอคนนั้นก็จะถูกทุกคนรู้จักกันดียิ่งกว่าดาราเสียอีก

    กระปุกกาแฟสองสามยี่ห้อตั้งตระหง่านวางข้างกระติกน้ำร้อน พร้อมด้วยขนมเล็กๆน้อยๆในกระปุกใหญ่ ฉันเลือกหยิบคุ้กกี้มาสองสามชิ้น กินคู่กับกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล--กลิ่นหอมเข้มข้นลอยกรุ่นขึ้นเมื่อผสมรวมกับน้ำร้อน ควันสีขาวลอยฟุ้งเหนือแก้ว

    "โห ไม่ใส่น้ำตาลเลยเหรอพี่ ไม่ขมตายเหรอนั่น" 

    เสียงเล็กใสของหญิงสาวดังขัดความคิด--หล่อนชื่อแก้ว เด็กใหม่ในแผนก ดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายด้วยแววแห่งความฝัน กระตือรือล้น เปี่ยมไปด้วยพลังงาน

    "ขมน่ะไม่ตาย แต่ถ้าหลับในห้องประชุมน่ะ ตายแน่ๆ"

    ฉันว่าพลางกลั้วยิ้ม แก้วเองก็ยิ้มเปลี่ยนให้ดวงตาเรียวเล็กหยีจนกลายเป็นสระอิ 

    "ถ้าแก้วต้องกินแบบพี่นะ แก้วตายคาแก้วกาแฟแน่ๆ"

    หล่อนทำท่าแขยงราวกับเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเสียเต็มประดา หนำซ้ำยังดูดโกโก้เย็นเข้าไปอีกหนึ่งฟืดคล้ายว่าทำอย่างนั้นแล้วจะช่วยปลอบขวัญจากสิ่งที่กลัว

    "เดี๋ยวทำงานไปสักปีสองปีก็รู้ ฮะๆ" สัมผัสเข้มขมแล่นวาบผ่านลิ้น--มันขมจริงๆนั่นแหละ ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนฉันคงต้องเบ้หน้าเหยเกแน่ๆ "แล้วนั่นเป็นอะไรน่ะ หน้ามุ้ยจุ้ยเชียว"

    "เซ็งอ่ะพี่ วันนี้ต้องอยู่ดึกอีกแล้ว"

    "เอ้า ก็ได้เงินด้วยไง ไม่ดีเหรอ"

    "มันก็ดีอ่ะพี่ แต่ก็เบื่ออ่ะ อยากกลับบ้านไปดูละครมากกว่า"

    "ฮะๆ เออ ฉันก็อยากกลับไปดูเหมือนกันว่ะ กำลังสนุกเลย"

    เมื่อหันไปมองหน้าหมาหงอยของเด็กข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อหล่อนได้ยินฉันหัวเราะก็ทำหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นก็ยิ่งชวนให้ขัน นึกถึงตัวเองเมื่อยามยังเยาว์วัยและห่วงเรื่องสนุกมากกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบ--นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนฉันเคยเป็นคนที่สนุกกับชีวิตมากกว่านี้

    "ห้ามขำดิพี่ นี่แก้วเซ็งอยู่นะเว่ย"

    "จะเซ็งทำไม๊ เดี๋ยวก็ชิน"

    "ทำไมการเป็นผู้ใหญ่มันลำบากจังวะพี่ สมัยเรียนนะ เลิกตรงเวลาเป๊ะ กลับบ้านไปอย่างมากก็มีการบ้าน รายงาน ไม่ส่งก็แค่โดนหักคะแนน นี่อะไร..." ยิ่งพูดสีหน้าก็ยิ่งห่อเหี่ยวหนักกว่าเก่า ว่าจะไม่ขำออกมาแล้ว แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี 

    "นี่มันเพิ่งเริ่มต้น อีหนูเอ๊ย จะรีบบ่นไปทำไม"

    เหมือนฉันกำลังย้อนดูภาพของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันบ่นอุบกับรุ่นพี่ที่ทำงาน ฉันหวนนึกถึงคำพูดของแม่ในวันนั้น--วันที่ฉันร้องไห้ฟูมฟายกับเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ แม่ลูบหัวฉันด้วยมือที่นุ่มอุ่นกรุ่นหอมกลิ่นมะลิจากน้ำปรุงที่แม่ชอบใช้ 

    เจ็บที่่สุดน่ะมันไม่มีหรอกนะ มันมีแต่เจ็บ...กับเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
    ฉันพยักหน้าแสร้งว่าเข้าใจ ทั้งๆที่ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แม่มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น--สายตาของผู้ผ่านโลกมามากกว่าที่กำลังนึกขันความไร้เดียงสาของเด็กน้อย

    "โห มันยังมีมากกว่านี้อีกเหรอพี่"

    เหมือนกับที่ฉันกำลังมองแก้วในตอนนี้...สิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสานี่มันช่างน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นยังไม่เคยถูกมลทินแห่งโลกใดๆมากล้ำกราย มันเปล่งประกายฉายแสงความฝันและอุดมการณ์อันเจิดจรัส

    "มากกว่านี้สิ ก็เหมือนเล่นเกมอ่ะ ยิ่งผ่านไปด่านลึกๆมันก็ยิ่งยากใช่ไหมล่ะ มันไม่มีหรอกที่ด่านต่อไปจะง่ายกว่าเก่า" กาแฟรสขมถูกกลืนเข้าไปในลำคออีกครั้ง รับรู้ความขมและซึมซาบฤทธิ์กระตุ้นประสาทของมัน ปลุกความคิดซึมเซาให้กระปรี้กระเปร่า "ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่ถูกใจไปซะหมดหรอกนะ บางอย่างเราไม่ชอบ แต่เราก็ต้องทำ เพื่ออะไรที่มันดีกว่า อาจจะเพื่อเงิน เพื่ออุดมการณ์ หรือเพื่อตำแหน่งที่ใหญ่กว่า แกก็เลือกเอาว่าจะทำเพื่ออะไร"

    ดวงตาใสแจ๋วไร้เดียงสาจ้องมองมาที่ฉัน--เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องที่ไม่เข้าใจมากมาย 

    "แล้วพี่ล่ะคะ ทำไปเพื่ออะไร?"

    แก้วกาแฟที่กำลังจะเข้าปากหยุดชะงัก คำถามนั้นเป็นคำถามง่ายๆทว่าก้องสะท้อนไปทั้งหัวใจ นั่นสิ...การที่ฉันกำลังกล้ำกลืนฝืนทนทำอะไรแบบนี้อยู่มันเพื่ออะไรนะ?

    หากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไรออกไป เจ้าเด็กตรงหน้าก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเบิกตาโพลง รีบลุกปุบปับ

    "ตายๆ จะแปดโมงแล้ว แก้วลืมไปเลยว่าต้องเอางานไปให้พี่รี่ ขอตัวก่อนนะคะพี่" หล่อนพูดเร็วรัวพร้อมดูดโกโก้อีกหนึ่งอึกแล้วโยนทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะไปยังไม่วายพูดอีกว่า "ไว้คราวหลังจะมาคุยด้วยอีกนะคะ คุยกับพี่แล้วสนุกดี"

    เอ้อ เอากะมัน ไอ้เด็กนี่ ดูลุกลี้ลุกลนดีจัง ใส่ถ่านกี่ก้อนเนี่ย ทำไมไฟแรงจังวะ

    ฉันนั่งดื่มกาแฟตรงนั้นต่ออีกสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวฉันเองก็ยังมีงานที่ต้องรีบทำเหมือนกัน ฉันกลืนกาแฟรสขมปร่าอึกสุดท้ายลงคอก่อนจะวางแก้วเปล่าลงที่ถาดสำหรับแก้วใช้แล้ว ก้าวฉับๆกลับไปที่โต๊ะทำงาน เมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องของเด็กสาวเยาว์วัยคนนั้นที่ดังก้องอยู่ในหัว




    -3-
    น้ำชา

    แสงไฟจากหลอดไฟนีออนบนเสาสูงสาดกระทบเข้าตาฉันตอนที่รถเคลื่อนผ่านมัน เสียงเพลงอ่อนหวานจากวิทยุช่างขัดกับบรรยากาศเหงาเศร้าตอนนี้เสียเหลือเกิน ทั้งๆที่มีคนตั้งสี่คนนั่งอยู่ด้วยกันบนรถ แต่กลับไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แม่นั่งหลังตรงทอดสายตามองไปข้างนอก--ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นแม่คิดอะไร แต่ฉันรับรู้ได้ถึงการแตกสลายของคำว่าครอบครัว แม้จะรับรู้ถึงการร้าวรานของมันมานานแล้ว ทว่าเมื่อถึงเวลาที่มันกระจัดกระจายออกจากกันจริงๆ มันกลับปวดใจจนพูดอะไรไม่ออก แม่ถอดแหวนวงนั้นออกไปแล้ว หลงเหลือเพียงร่องรอยสีขาวจางๆบนนิ้ว บ่งบอกถึงการมีอยู่ที่ยาวนานของมัน น้องสาววัยสิบสามของฉันยังคงเอ่ยถามถึงวันกลับมาของแม่ ตื่นเต้นกับของฝากที่จะได้--ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ฉันมองแล้วก็นึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ ห้าปี...อายุที่มากกว่าห้าปีทำให้ฉันต้องแบกรับเรื่องราวทุกอย่าง ทั้งความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ระหว่างพ่อกับแม่ ฉันหวังจะเป็นคนเชื่อมต่อชิ้นส่วนสองชิ้นให้ประสานกันดังเดิม แต่น้ำหนักของความเกลียดชังนั้นมากเกินกว่าที่ฉันจะดึงให้ทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิม 

    ตัวเลขบนหน้าจอมือถือบอกเวลาเกือบหกโมงเช้าตอนที่ไปถึงสนามบิน มีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะขึ้นเครื่อง น้องสาวฉันร้องอ้อนขออยากกินอาหารญี่ปุ่นในสนามบิน เธอตื่นตากับสิ่งเหล่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่ เราตัดสินใจเข้าไปนั่งรอเวลาในร้านอาหารแห่งนั้น มีเพียงน้องสาวฉันที่สั่งอาหาร ส่วนฉันสั่งมาเพียงชาเขียวมัทฉะร้อนหนึ่งแก้วเท่านั้น

    ในวันนั้นพ่อแม่ไม่ได้เถียงกันเหมือนทุกที แต่กลับหัวเราะและยิ้ม--เหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังเด็ก น้องสาวฉันอารมณ์ดีกว่าที่เคย ฉันจิบชาเขียวร้อนแก้วนั้น...รสชาติขมกว่าที่คิด
    รู้ใช่ไหมว่าทำไมแม่ต้องไป...
    ไม่เลย...ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ถึงรู้ก็ไม่อยากรับรู้ ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมครอบครัวเราถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไมมันถึงย่อยยับลงได้ขนาดนี้
    แม่ไม่อยู่ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก ไว้เดี๋ยวมาจะกลับมาเอาหนูกับน้องไปอยู่ด้วย
    รอยยิ้มแม่ยังหวานละมุนเหมือนที่เคย แต่มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ไม่ว่าเหตุผลใดๆก็ไม่ทำให้ฉันเข้าใจถึงการพรากจากนี่เลย...ฉันซดน้ำชาเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ มันขมและลวกร้อนลิ้นแต่ฉันก็ต้องกล้ำกลืนมันเข้าไป เหมือนกับเจ้าความรู้สึกเหล่านี้นั่นแหละ


    ห้าปีต่อมาฉันก็ต้องกลับมาที่นี่อีก--แสงไฟนีออนบนถนนเส้นนั้นยังคงแยงตาเหมือนเดิม คราวนี้เราไม่ได้มาด้วยรถของตัวเองเหมือนตอนนั้น พ่อขายรถคันนั้นไปแล้ว ตอนนี้เราถึงต้องมาด้วยรถแท็กซี่ บรรยากาศของการจากลายังนิ่งเงียบเหมือนเดิม มีเพียงเสียงแอร์และข่าวจราจรจากวิทยุเท่านั้นที่ดังก้องในรถ

    "ถ้ามีนไปแล้วพี่จะคิดถึงมีนไหม"

    น้องสาวฉันพูดออกมาเป็นคำแรกหลังจากเราเงียบกันมาเป็นชั่่วโมง อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินมากมายกำลังบินออกจากที่นั่นเพื่อไปส่งผู้โดยสารถึงที่หมายที่ไกลแสนไกล

    "คิดถึงสิ"

    ฉันตอบ--เลี่ยงที่จะสบตา 

    "อเมริกาจะมีผัดเผ็ดไหมพี่ มีนไม่อยากกินแต่ของจืดๆ"

    น้องสาวฉันยังพร่ำพูดถ้อยคำพรั่งพรู ดวงตาคู่นั้นแม้ไม่ใสแจ๋วไร้เดียวสาเหมือนเดิมอีกต่อไปทว่ามันก็ยังเปล่งประกานด้วยความหวังและความฝันแบบวัยเยาว์ 

    "ให้แม่ทำให้กินสิ แม่เป็นเชฟเลยนะ"

    ฉันบุ้ยใบ้ไปทางแม่ที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ใบหน้าสวยหวานนั่นมีริ้วรอยแห่งวัยขึ้นจางๆ ความเหนื่อยอ่อนจากการทำงานทิ้งรอยแผลไว้มากมาย--ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่ตัวเล็กขนาดนี้ บอบบางขนาดนี้

    "นั่นสิเนอะ" น้องสาวฉันไหวไหล่ "เมื่อไรพี่จะได้ไป" 

    "ไม่รู้สิ ไม่รู้เรื่องของพี่จะผ่านเมื่อไร แกน่ะโชคดีนะ ตอนยื่นเรื่องอายุยังไม่ถึงสิบแปด เรื่องมันเลยเดินเร็ว"

    ฉันเอนตัวพิงเบาะนุ่ม รู้สึกเหมือนกำลังโดนทอดทิ้งให้อยู่กลางทะเลสาบ

    "แล้วพี่จะมาเยี่ยมมีนได้ไหม"

    ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นหม่นแสงลง ฉันอดไม่ได้ที่ตะเอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ

     "อย่าคิดมากไปเลยน่า ที่นู่นมีอะไรสนุกๆเยอะแยะนะ ถ้าคิดถึงพี่ก็คอลมาหาได้"

    "อือ"

    แล้วเราก็ร่ำลากันที่สนามบิน น้องสาวฉันร้องไห้ลั่นตอนที่เดินเข้าไปในเกต แต่ฉันรู้ว่าเธอจะลืมความเศร้านั่นไปทันทีเมื่อได้เจอกับความศิวิไลซ์และสิ่งใหม่ๆที่นั่น

    "ไง น้องไปละซึมไปเลยเหรอ"

    ฉันไหวไหล่แทนคำตอบ คีบเทมปุระชิ้นหนึ่งเข้าปาก--เรามากินข้าวกันที่ร้านญี่ปุ่นร้านเดิม เพียงแต่ตอนนี้เหลือกันแค่สองคน มันดูเงียบเหงากว่าเดิมมาก

    "เอาน่า คนเรา ไม่จากเป็นก็จากตายนั่นแหละ"

    พ่อพูดเหมือนปลอบใจตัวเองมากกว่า ปีนี้พ่อดูแก่ขึ้นจนผิดตา ดวงตาฉายแววเหนื่อยหนักหม่นหมอง ฉันสงสัยว่าเมื่อฉันอายุเท่านั้นฉันจะเป็นแบบนั้นไหม

    และชาเขียวถ้วยนั้นก็ยังลวกร้อนและฝาดเฝื่อนเหมือนเดิม

    ฉันไม่เคยเตรียมใจไว้เลยว่าถ้า 'จากตาย' ที่พ่อว่ามันมาถึงแล้วฉันจะทำยังไง ในวันนี้เมื่อมันมาถึง ฉันจึงทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง--รูปพ่อยังตั้งตระหง่านอยู่หน้าโลงไม้สวยงาม เรื่องราวยาวนานนับสิบปีถูกเก็บไว้ในโลงเล็กแคบแค่นั้น กลายสภาพเป็นเพียงก่อนเนื้อนิ่งเฉยที่รอวันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน

    ฉันรู้สึกแสบตา ตาแห้งระคาย อีกครั้งที่ต้องสูญเสีย แม้ว่าทำใจมานับปีกับการป่วยนั้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการพรากจากจริงๆก็รู้ว่าฉันไม่เคยพร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้เลย

    "ส่งกันพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจาก" 

    พ่อเคยบอกไว้ว่าอย่างนั้น คนเราพบพานกันเพียงเพื่อจากกันไปในที่สุด ถึงกระนั้นฉันก็ไม่เคยชินกับการจากลาครั้งไหนเลย มันช่าง...เจ็บปวดและขมขื่น

    ฉันกลืนน้ำชาขมเฝื่อนลงคอไปอีกครั้ง...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in