เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyprimpich
นิยามของครอบครัว
  • I've been all around the world, done all there is to do
    But you'll always be the home I wanna come home to
    You're a wild night with a hell of a view
    There ain't no place, ain't no place like you

     
    -No place by Backstreet Boys-




                                                                   



  •                                                               [บทนำ]

    ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย  เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อ‘หนูนา’ ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปน‘เป่ยเป้ย’ 

    ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า


    “ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”​


    หนูนาตอบโดยทันทีว่า


    “ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”


    ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า


    “โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”



    กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่าโอ๊ยยพวกจืดชืด

    หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....

  • บทที่หนึ่ง :  เรื่องของกวาง 
    ผู้ประพันธ์ : มาริสา ฉัทนามงคลสกุล 


    “Family is a gift that lasts forever ” 

    “ครอบครัวเป็นของขวัญที่คงอยู่ตลอดกาล”


    ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทาง พร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียน วิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่ากวาง นิสิตเอกภาษาไทย  เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อหนูนา ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปนเป่ยเป้ย 

    ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า


    “ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”


    หนูนาตอบโดยทันทีว่า


    “ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”


    ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า


    “โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”

    กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า“โอ็ยยพวกจืดชืด”


    หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....


    เมื่อกวางกลับถึงคอนโดที่อาศัยอยู่คนเดียว เธอเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ได้รู้สึกอยากอ่านหนังสือหรือแม้แต่ดูหนังเธอจึงเลือกสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยๆและมาหยุดที่โพสของหนูนาในเฟสบุ๊คที่ลงรูปกินข้าวกับครอบครัวพร้อมรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับยัยหนูนา โพสนี้ทำให้กวางหยุดชะงักไปชั่วครู่ เธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรืออย่างใด แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่เห็นกิจกรรมที่ผู้คนทำร่วมกับครอบครัว เพราะ ถ้าให้พูดตามตรงตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา กวางแทบไม่ได้อยู่กับที่บ้านเลย อาจจะแค่2 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ หรือบางครั้งก็ไม่ได้เจอเลยเป็นอาทิตย์ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเธอชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อน ออกไปสังสรรค์เที่ยวเล่นมากกว่า นานๆทีจะโทรไปหาแม่คุยเล่นสองสามนาทีก็วาง แม้แต่ตอนที่เธอไปเรียนเมืองนอกเป็นเดือนๆห่างไกลกันเรียกได้ว่าอีกซีกโลกหนึ่งเลยก็ได้ แต่โทรคุยยังน้อยพอๆกับเธออยู่ไทยหรืออาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ กวางย้อนคิดเมื่อตอนอยู่เมืองนอก รูมเมทคนนึงถามเธอด้วยความสงสัยว่า


    ไม่เห็นเธอโทรหาที่บ้านเลยไม่คิดถึงพ่อแม่เหรอ 


    กวางตอบกลับชิวๆพร้อมหัวเราะว่า


    ก็เฉยๆนะ 


    รูมเมทของเธอมองกลับด้วยความสงสัยเป็นสีหน้าที่กวางชินแล้ว สีหน้าที่แสดงถึงความคิดที่ว่าบ้านของกวางอาจจะมีปัญหาหรือเธออาจจะมีเรื่องขุ่นเคืองกับที่บ้านก็เป็นได้

    ต่ความจริงแล้วกวางแค่รู้สึกสนุกกับเพื่อนฝูงมากกว่า เธอมีมุมมองโลกในแบบที่ว่าควรใช้ชีวิตให้สุดกับทุกเรื่องไม่ควรพลาดโอกาสต่างๆเพราะมันอาจมาแค่ครั้งเดียว แต่ครอบครัวกลับไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ว่ากวางมักจะตอบรับคำชวนไปเที่ยวจากเพื่อนๆตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน...คืนวันศุกร์ที่เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นวันฮอตฮิตที่คนส่วนใหญ่จะนัดกันออกไปเที่ยว ก็เหมือนที่เพื่อนของเธอเพิ่งไลน์มาชวนกวางออกไปปาร์ตี้ที่ข้าวสาร แต่ครั้งนี้กวางรู้สึกลังเลเนื่องจากเธอบอกแม่ไว้แล้วว่าจะกลับบ้านวันนี้ แต่เมื่อเพื่อนของเธอคะยั้นคะยอแถมลิสรายชื่อคนไปวันนี้ในรายชื่อมีแต่เพื่อนสนุกๆตลกๆที่เธอไม่เคยเที่ยวด้วย กวางจึงตัดสินใจว่าเออไปก็ไป! เพราะก็ไม่เคยเที่ยวกับเพื่อนบางคนเลย

    ลองไปดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร

    ตกดึกระหว่างที่กวางและเพื่อนของเธอกำลังเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง เพื่อนคนนึงที่กลับมาจากคุยโทรศัพท์พร้อมหน้าเคร่งเครียด ด้วยความอยากรู้กวางจึงถามออกไป


    “บิวเป็นไรวะเครียดเชียว”


    บิวตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดีนักว่า


    “พ่อเพื่อนกูเสียว่ะเพื่อนโทรมาร้องไห้ใหญ่เลย”


    คำตอบสั้นๆของบิวเหมือนระฆังตีบางอย่างในใจกวาง อยู่ๆเธอก็คิดถึงหน้าพ่อแม่ของเธอขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุและ

    เพื่อนๆต่างแปลกใจที่กวางหยิบกระเป๋าแล้วสะพายพร้อมจะออกจากร้าน

    เพื่อนคนนึงเอ่ยถามว่า


    “เอ้ากลับบ้านหละหรอ”


    “เออใช่จะกลับบ้านแล้ว” กวางตอบ

    ความหมายของคำว่า‘บ้าน’ ของเพื่อนคงจะหมายถึงคอนโดตรงราชเทวีแต่สำหรับกวางเธอกำลังคิดถึง‘บ้าน’ ที่เป็นบ้านของเธอจริง

    เมื่อถึงบ้านก็เป็นเวลาตี2 กว่าๆได้แล้วกวางไขประตูเข้าบ้านและเดินขึ้นห้องนอนที่แม่เธอนอนอยู่เปิดประตูให้เบาที่สุดแต่ถึงแม้จะเบาแค่ไหนแม่ของกวางก็ยังได้ยิน แม่มีท่าทีตกใจลุกขึ้นนั่งพร้อมถาม


    “พ่อเหรอ”


    กวางตอบไปว่า


    “เปล่าแม่หนูเอง” 


    และกระโดดขึ้นเตียงและกอดแม่แน่น แม่ไม่ได้พูดสิ่งใดตอบถึงแม้จะยังตกใจอยู่ก็ตาม แต่แม่ก็กอดตอบแน่นจนกวางรู้สึกได้ถึงความคิดถึงที่แม่มีให้เธอ

    ช่วงเวลานี้มันทำให้กวางได้รู้ว่าตลอดเวลาที่เธอคิดว่าไม่อยากพลาดประสบการณ์กับคนต่างๆจนทำให้ในหลายครั้งเธอละเลยโอกาสที่จะได้อยู่กับครอบครัวโอกาส ที่เธอไม่เคยมองว่ามันเป็นโอกาสด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อวันหนึ่งมันผ่านไปและเธอไม่ได้ใช้โอกาสเหล่านี้มันอาจจะสายเกินไป และ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นอาจจะเป็นแค่การโทรไปร้องไห้ฟูมฟายก็เป็นได้

  • บทที่สอง: เรื่องของหนูนา 
    ผู้ประพันธ์ : พิมพ์นารา ศุภกรกุลนันทร์ 

                                       “Family is not an important thing.It’s everything”
                                                  ครอบครัวไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันคือทุกอย่าง

    ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย  เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อ‘หนูนา’ ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปน‘เป่ยเป้ย’ 

    ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า


    “ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”​


    หนูนาตอบโดยทันทีว่า


    “ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”


    ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า


    “โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”



    กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า“โอ๊ยยพวกจืดชืด”

    หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....


    ​หลังจากแยกย้ายกับเพื่อน ฉันก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที อันที่จริงฉันก็เหมือนคนอื่นๆแหละ มีไปเที่ยวไปกินต่อกับเพื่อนบ้างหลังเลิกเรียน แต่ไม่บ่อยนัก เพราะ ฉันรู้ว่าที่บ้านมีกับข้าวแสนอร่อยฝีมือแม่รออยู่ อีกอย่างบ้านฉันก็อยู่ไกลด้วย ถ้าไม่มีงานหรือกิจกรรมต่อก็จะรีบกลับบ้านทันที ฉันอยู่กับพ่อแม่และน้องชาย ฉันแทบไม่เคยห่างพวกท่านเลยไม่เคยอยู่หอหรือต้องไปเรียนที่ไหนไกลๆเรียกได้ว่าใกล้ชิดกันมาก ครอบครัวของฉันมักจะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ 

    วันนี้ก็เช่นกัน


    “หนูนาวันนี้เรียนเป็นไงบ้างเหนื่อยไหม” 


    แม่เอ่ยถามขณะที่กำลังกินข้าวกันอยู่


    “ก็สนุกดีค่ะแต่งานเยอะมากใกล้สอบแล้วด้วย” 


    ฉันตอบกลับ


    “ตั้งใจอ่านหนังสือทำงานและอย่าลืมพักผ่อนด้วยนะลูก”


    พ่อพูดขึ้นฉันยิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นการตอบกลับ เรามักจะทานข้าวพร้อมกับพูดคุยถามไถ่เรื่องราวกันเป็นประจำ

    เพื่อนมักมองว่าดูจืดชืดใช้เวลาอยู่แต่กับครอบครัว แต่ฉันไม่รู้สึกแบบนั้น กลับชอบด้วยซ้ำหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนการเดินทางและเรื่องราวข้างนอก


    บ้าน เป็นเหมือนที่พักพิง เป็นที่ที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ฉันชอบช่วงที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว หลายครั้งที่ฉันก็อดใจไม่ได้ต้องถ่ายเก็บภาพช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ การที่ครอบครัวฉันมีการพูดคุยกันเสมอ ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นและยังได้รับรู้เรื่องราวที่แต่ละคนพบเจอในแต่ละวัน หรือช่วงที่มีปัญหาเราก็พร้อมจะผ่านมันไปด้วยกัน เราจะคอยให้กำลังใจกันและกันทำให้รู้สึกได้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวหรืออยู่ตัวคนเดียว หลังจากทานข้าวกันเสร็จเราก็จะนั่งดูโทรทัศน์กันก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน

    ฉันมักจะไถโทรศัพท์ก่อนเข้านอน ก็เจอกวางเช็คอินที่ข้าวสารกับเพื่อนๆดูท่าทางน่าสนุก อันที่จริงการที่ฉันอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากบางครั้งก็รู้สึกเหมือนไม่มีอิสระ เมื่อก่อนฉันเคยไม่เข้าใจ ครั้งหนึ่งฉันเคยขอแม่ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆตอนนั้นแม่ดุหนักมาก แต่สุดท้ายก็ยอมให้ไป หลังจบงานแม่ก็คอยโทรตามตลอด ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจทำไมแม่ไม่ยอมให้ไป เพื่อนก็เยอะแยะ แต่พอได้ลองไปก็รู้ว่ามันค่อนข้างอันตรายทั้งดึกมืดแล้วคนก็เยอะมากที่แม่บ่นหรือโทรตามทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงนั้นแหละ การกระทำบางอย่างของพ่อแม่ที่เราไม่เข้าใจที่จริงมันก็มีเหตุผลของมันอยู่หลังจากวันนั้นเวลาพ่อกับแม่ดุหรือบ่นอะไรฉันก็เข้าใจมากขึ้น บ่อยครั้งที่เพื่อนมักจะชอบมาบ่นให้ฟังว่าทะเลาะกับพ่อกับแม่เพราะไม่เข้าใจนู้นนี้บ้าง 


    ฉันก็มักจะบอกให้ลองมองในอีกมุมบ้าง ลองทำความเข้าใจพวกท่านบ้าง เช่นเดียวกับเพื่อนที่บอกไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวแต่ก็เห็นมีเวลาให้กับเพื่อน เข้าใจได้แหละช่วงวัยนี้เราก็มักจะติดเพื่อนมีสังคมของตัวเองฉันเองก็เป็นแต่ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็มักจะหาเวลาให้กับครอบครัวเสมออย่างน้อยวันละไม่กี่ชั่วโมง ก็ยังดีฉันชอบที่จะได้ใช้เวลารวมถึงใส่ใจกับคนใกล้ตัว ยิ่งเป็นคนติดครอบครัวด้วยแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเลยคงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

  • บทที่สาม: เรื่องของเป่ยเป้ย 
    ผู้ประพันธ์ : พิมพ์พิชญา ชัยกิตติภรณ์ 

                                            “Family means nobody get lefts behind or forgotten”
                                            “ครอบครัว หมายถึง ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือ  ถูกลืม”


    ถึง 

    ป๊าและหม่าม้าที่รัก


    กว่าจดหมายฉบับนี้จะมาถึงมือป๊าและหม่าม้า หนูก็คงถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนูไม่เคยคิดเลยว่าระยะเวลาสองเดือนจะเป็นเวลาที่ยาวนานขนาดนี้...หนูนั่งนับวันรอที่จะได้เจอป๊ากับหม่าม้าทุกวันเลย.....


    ขณะนี้เวลาที่ประเทศสเปนเป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบห้านาที แต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลย ที่นี่มืดช้ามากจนหนูลืมเวลากลับบ้านทุกทีฮ่าๆ ตอนนี้ป๊ากับหม่าม้าคงนอนหลับฝันหวานกันไปแล้วซีนะ นอกเรื่องไปซะยืดยาว มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

    ที่หนูเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพราะหนูต้องการจะเขียนคำขอโทษต่อป๊าที่หนูพูดจาไม่ดีกับป๊าก่อนขึ้นเครื่อง หม่าม้าโทรมาบอกหนูว่าป๊าเสียใจมากที่ลูกเข้าใจผิดคิดว่าป๊าไม่รักลูก...ก็นั่นแหละหนูรู้สึกผิดจริงๆที่หนูคิดมาตลอดว่าป๊าไม่รักหนู.. ก็ป๊าชอบขึ้นเสียงและพูดเสียงดังใส่อยู่ตลอดหนูเลยอารมณ์เสียและพูดจาแย่ๆใส่ป๊าในวันนั้น...แต่หม่าม้าก็โทรมาบอกว่าที่ป๊าเสียงดังป๊าไม่ได้ตั้งใจบางทีป๊าก็ขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว ป๊ายังมาปรับทุกข์กับหม่าม้าอยู่เสมอว่าทำอย่างไรดีให้ลูกไม่คิดน้อยใจคิดว่าป๊าไม่รักเขา หนูทราบจากหม่าม้าว่าป๊าเครียดมาก หนูทราบว่าป๊าเป็นห่วงหนูมากๆตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ต่างประเทศ ป๊าโทรมาหาหนูตลอดคอยส่งข้อความให้กำลังใจหนูในวันที่หนูเจอเรื่องแย่ๆ ป๊าเป็นพลังงานบวกของหนูให้หนูสู้อยู่ทุกวัน และหนูเพิ่งมาทราบความจริงว่าป๊าก็น้อยใจเหมือนกันที่หนูสนิทกับหม่าม้ามากกว่ามีอะไรก็คุยปรึกษาหม่าม้าตลอด.. นี่เราสองคนกำลังเข้าใจผิดกันไปกันมาหรือเนี่ยฮ่าๆ ที่หนูไม่คุยกับป๊าเพราะหนูกลัวว่าป๊าจะว่าจะดุหรือเปล่าต่างหาก ความจริงแล้วหนูรักป๊าไม่น้อยกว่าที่รักหม่าม้าเลย...ไว้กลับไทยเราต้องคุยกันเยอะๆแล้วนะคะป๊า และสุดท้ายนี้ ป๊ากับหม่าม้ารู้อะไรไหม ตอนที่หนูมาอยู่ที่นี่หนูได้เจอพฤติกรรมที่แย่ๆของเพื่อนหลายๆคนได้เจอคนหลายรูปแบบ เช่นคนที่ช่วยเราเพราะหวังผลตอบแทน เป็นต้น มันทำให้หนูทราบว่าคนที่จริงใจและรักหนูอย่างแท้จริงคือป๊าและหม่าม้าเท่านั้น...ป๊าและหม่าม้าคือบ้านที่หนูอยากกลับไปหาอยู่เสมอ


    ปล. ขอบคุณกำลังใจจากป๊าและหม่าม้ามากๆค่ะในวันที่หนูเจอเรื่องเจอเพื่อนแย่ๆในประเทศนี้กำลังใจจากป๊าหม่าม้าเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาหนูได้เสมอเลย


    ด้วยรักและคิดถึง, เป่ยเป้ย

    14 กรกฎาคม2019 เวลา20.45 น. ณกรุงมาดริดประเทศสเปน


    จดหมายฉบับนี้มาถึงประเทศไทยตอนที่ฉันกลับถึงประเทศไทยมาได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว....


    ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉันและเพื่อนสองคนคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของเราทั้งสามคน เพื่อนฉันชื่อว่ากวาง นิสิตเอกภาษาไทย เช่นเดียวกับเพื่อนอีกคนชื่อหนูนา และ ฉันเป่ยเป้ย นิสิตเอกสเปน

    ระหว่างเดินไปบีทีเอส กวางเอ่ยถามฉันและหนูนาว่า


    “ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ” 

    หนูนาตอบกลับทันทีว่า


    “ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”


    ฉันกำลังจะตอบเพื่อนแต่แล้วข้อความในไลน์ครอบครัวก็เด้งขึ้นมา


    [LINE]


    ป๊า: ได้รับจดหมายแล้วนะครับ


    หม่าม้า: ลูกทำเอาซึ้งเลยนะเนี่ย


    ป๊า: ต่อไปป๊าต้องสนิทกับลูกให้มากๆซะแล้วล่ะฮ่าๆ


    หม่าม้า: วันนี้ป๊าไม่ออกไปไหนเลยนะเป้ยสงสัยอยากจะให้ลูกเปิดNetflixให้ดู


    ฉันอ่านข้อความพร้อมรอยยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า


    เป่ยเป้ย: ได้ค่ะดูหนังกันเป้ยยอมไม่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนเพื่อป๊ากับม้าเลยนะเนี่ย


     ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพร้อมตอบยัยกวางไปว่า


    “โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”


    กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า


    “โอ้ยยยพวกจืดชืด” 


    หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....


  • INPUT

    ผลที่ได้รับจากการทำงานในครั้งนี้ คือ ได้พิจารณาความคิดของตนเองและของเพื่อนๆในกลุ่ม ได้เห็นมุมมองใหม่ๆในการทำเสนองานเขียน และนำมาปรับใช้ในงานของแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์และ การเชื่อมโยงเนื้อเรื่องของแต่ละคน ให้ผสานกันเป็นเรื่องเดียวกันได้ และยังได้ฝึกการเลือกใช้ภาษา สำนวน ให้สัมพันธ์กับเนื่อเรื่อง ตัวละครเอกของเรื่อง 

    เพลงที่ใช้เป็นต้นแบบในการสร้างผลงานชิ้นนี้ คือ เพลง No matter what โดย Calum Scott
    ซึ่งเนื้อหาเพลง แสดงถึงความรักของครอบครัว ซึ่งครอบครัวจะไม่มีวันหันหลังให้เรา และรักในสิ่งที่เราเป็น รักในตัวเราอย่างแท้จริง ในขณะที่คนนอกอาจจะไม่ยอมรับเรา ส่วนจดหมาย จากรุ่นพี่ แสดงให้เห็นส่าคนเราจะคิดถึงครอบครัวในยามที่เหนื่อย และ ท้อ  เพราะครอบครัวเป็นที่พึ่ง และเป็นบ้านที่แท้จริง 



    สมาชิกในกลุ่ม 

    น.ส พิมพ์พิชญา ชัยกิตติภรณ์ 6040178322
    น.ส พิมพ์นารา ศุภกรกุลนันทร์ 6040177722
    น.ส มาริสา ฉัทนามงคลสกุล  6040214222
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in