หลังจากกลับบ้านในคืนวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ เรากับแม่ก็กลับมาที่โรงพยาบาล เพื่อให้ลุงได้กลับไปทำธุระ เก็บของ เคลียร์อะไรต่างๆ ที่บ้าน เราพกแล็ปท็อปไปนั่งทำงานข้างเตียงยาย นอนหลับบนโซฟาคนเฝ้าแบบที่ทำทุกครั้งที่ยายมาโรงพยาบาล ไม่ได้คุยกับยายเยอะ เพราะยายน่าจะอยากนอน แม้ว่าเราจะอยากคุยเยอะๆ ในช่วงเวลาที่เรายังคุยกันได้
แต่ถ้าคุยเยอะๆ มันก็จะผิดปกติ เราคิดกลับไปกลับมาตลอด คิดว่าเราต้องทำให้ปกติที่สุด ยายจะได้ไม่สงสัย มันเลยกลายเป็นว่าเราทำปกติมากๆ เฝ้ายายเงียบๆ เหมือนทุกครั้ง นั่งทำงานฟรีแลนซ์บนโต๊ะอาหารผู้ป่วย เหมือนกับที่ผ่านมาที่เรานั่งอ่านหนังสือสอบ ทำเปเปอร์ อยู่แบบนี้เวลามาเฝ้ายาย คุยเล่นบ้างนิดหน่อย และปล่อยให้ยายนอนเป็นส่วนใหญ่
เราคิดในใจว่ามันถูกหรือเปล่าที่เราทำแบบนี้ สับสนว่ามันปกติเกินไปไหม ปกติเสียจนนึกว่าทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมจริงๆ ...หรือว่าก็ต้องปกติแบบนี้แหละถึงจะถูก สุดท้ายเราก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าทำตัวเหมือนปกติ เพียงแต่ใจดีกับยายมากขึ้นเท่านั้น
ลุงกับแม่ชอบดุยาย ดุทุกครั้งเวลายายขอกินอะไรที่กินไม่ได้ ดุเวลายายเอามือขยี้ตา พูดเวลาดื่มน้ำ หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองเจ็บ ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำให้แย่ลง เราสงสารยายตลอด จะเป็นฝ่ายเข้าข้างยายทุกครั้งเวลาโดนดุ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากแอบพูดเล่นๆ กับยาย อย่างเช่น “ดุจังเลยเนอะ” หรือบางทีก็ช่วยเถียงแทนยายบ้างแบบเสียงอ่อนๆ เพราะยังไงลุงก็เป็นคนดูแลยายนี่นา ยายก็ต้องเชื่อฟังลุงมากที่สุดนั่นแหละ แต่คราวนี้ไม่มีเสียงดุอะไรเลย ลุงชวนยายกินนั่น ดื่มนี่ ตามใจยายทุกอย่าง
ลุงกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงเย็น พร้อมกับข้าวเต็มปิ่นโต 2 เถา เพราะปกติบ้านเราขึ้นชื่อเรื่องอาหารฝีมือลุงอยู่แล้ว ทุกเสาร์-อาทิตย์ เวลากลับมาบ้าน แม่จะถ่ายรูปอาหารฝีมือลุงลงเฟซบุ๊ก แล้วก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง แล้วยิ่งวันนี้ไม่ใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันเกิดลุง เราเลยคุยกันว่าฉลองด้วยกับข้าวฝีมือลุงไหม แต่ฉลองในโรงพยาบาลนะ ทำมากินกัน 3 คน (เรา ลุง แม่) กินกับยายที่นอนอยู่บนเตียงนี่แหละ
เราแกะปิ่นโตทานข้าวกัน ล้วนเป็นอาหารที่เราคุ้นเคย น้ำพริกอ่อง ปลาทอด แกงส้มหน่อไม้ดอง ผัดมะเขือยาว แบบเห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นอาหารบ้านเรา เป็นการฉลองวันเกิดลุงด้วยกับข้าวลุงที่เราสามคนนั่งเบียดกันบนโซฟาคนเฝ้าไข้ ใช้โต๊ะอาหารผู้ป่วยเป็นโต๊ะกินข้าวเราเอง มียายนอนมองอยู่จากบนเตียงคนป่วย เรามีความสุขที่ได้ใช้เวลาแบบนี้ด้วยกัน แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง ที่มันเป็นเวลาแบบนี้ ในเวลาแบบนี้
วันอาทิตย์เรามาโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังจากกลับไปนอนบ้านในวันเสาร์ เป็นอีกวันที่เราทำตัวเหมือนปกติ จริงๆ แล้วยายสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่มีธุระติดค้างที่โรงพยาบาลแล้ว เพียงแต่รอเครื่องผลิตออกซิเจนไปส่งที่บ้านเราเท่านั้น หลังจากน้าเพิ่งสั่งซื้อไป ถ้าเครื่องพร้อม เตรียมพื้นที่ที่บ้านพร้อมเมื่อไหร่ เราก็พายายกลับบ้านได้เลย
แม่วางแผนเรื่องการพายายไปเที่ยว คิดว่าเราคงต้องไปกันด้วยรถตู้ ซึ่งมีเพื่อนสนิทของลุงทำอาชีพรถตู้รับจ้างอยู่พอดี คิดว่าคงไม่ยากมาก แม่บอกว่าไว้พายายไปวัดโกรกกราก วัดประจำของบ้านเรา ให้ยายเห็นวัดผ่านๆ ได้ยกมือไหว้ก็ยังดีเนอะ แล้วอยากไปไหนอีกจะพาไปให้ทุกที่เลย นั่นแหละ ไปผ่านๆ ก็ยังดี
ส่วนพวกเราก็วางแผนชีวิตตัวเองเหมือนกัน จากที่ปกติอยู่ในเมือง แล้วกลับบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะกลับเร็วขึ้น เช่นกลับตั้งแต่วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ อยู่กับยายให้มากขึ้น แล้วค่อยออกไปทำงานวันจันทร์ ไม่ต้องกลับวันอาทิตย์อย่างที่เคยเป็นมา เราเออออตอบรับแม่ทุกอย่าง เอาแบบไหนก็แบบนั้น แม้ว่าอันที่จริงเราอยากจะทำงานที่บ้าน อยู่บ้านกับยายไปทุกวันเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาเราเกลียดการทำงานที่บ้านที่สุด เพราะบรรยากาศบ้านไม่เอื้อให้เราทำงานได้เลย บ้านของเราเป็นบ้านจริงๆ บ้านเพื่อการพักผ่อน บ้านเพื่อการอยู่บ้าน
วันนี้เราให้ยายดูดโกโก้ปั่นที่ซื้อมากินเอง ทีแรกไม่กล้าป้อนเองเพราะกลัวว่ายายจะสำลัก แต่ลุงบอกว่าป้อนได้ ยายกินเข้าไปแล้วบอกว่าเย็น เราหัวเราะ ก็มันเป็นของปั่นนี่นา ลุงให้ยายกินปาท่องโก๋ที่เราซื้อมากินกับแม่ บิชิ้นเล็กๆ ทั้งๆ ที่ปกติแทบจะไม่มีทางให้ยายกินของแบบนี้ได้แน่ๆ ของที่จะเอาเข้าปากยายได้ต้องนิ่มๆ ไม่ต้องเคี้ยว มากที่สุดอาจจะต้องเป็นประมาณ ขนมถ้วย
เราสะท้อนใจแล้วสะท้อนใจอีก ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นอะไรเลยอีกต่อไปแล้ว ยายน้ำตาลขึ้นก็ไม่เป็นไร พี่พยาบาลมาตรวจน้ำตาล บอกว่าสามร้อยกว่า พวกเราตกใจ แต่พี่พยาบาลเองก็ยิ้ม แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉีดยาให้ก็ได้ ไม่เป็นไรเลย
ไม่มีอะไรเป็นไรทั้งนั้น แค่ขอให้ยายได้มีความสุขในช่วงสุดท้ายจริงๆ แบบนี้ก็พอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in