ใครๆในโรงเรียนก็รู้ว่าหอมฟุ้งตัวติดกับคุ้งน้ำเสียยิ่งกว่าอะไรดี หอมฟุ้งที่ผิวขาวจัดและออกจะดูผอมเมื่อเทียบกับคุ้งน้ำที่โครงร่างใหญ่และผิวสีแทน คุ้งน้ำไม่มีอะไรที่เหมือนหอมฟุ้งและหอมฟุ้งก็ไม่มีซักตรงที่เหมือนคุ้งน้ำ เช่น คุ้งน้ำชอบเล่นกีฬากลางแจ้งเป็นชีวิตจิตใจในขณะที่หอมฟุ้งเลือกที่จะอุดอู้อยู่ในห้องสมุดช่วงพักกลางวัน คุ้งน้ำโปรดปรานการเข้าสังคม เขาได้รับเลือกให้เป็นเด็กชายยิ้มสวยตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงสาม ตอนประถมต้นถึงมัธยมปลายเป็นตัวแทนห้องถือพานไหว้ครูทุกปี เมื่อปีที่แล้วก็เพิ่งเป็นหลีดสีและเล่นละครเวทีของโรงเรียน ไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักชื่อคุ้งที่กีฬาดีกิจกรรมเด่น แต่หากลองพูดชื่อหอมฟุ้งทุกคนก็จะหยุดคิดซักพักแล้วอุทานว่า อ๋อ คนนั้นไง ที่ชอบเดินกับคุ้งน้ำอะ
ชีวิตสิบสี่ปีเต็มที่ผมตัวติดกับคุ้งน้ำตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงมอห้าทำผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเหาฉลามตัวใหญ่ที่เกาะฉลามยักษ์คุ้งน้ำ การเป็นเพื่อนสนิทของคุ้งน้ำอาจทำให้ผมรำคาญใจนิดหน่อยก็ช่วงมอสองที่รอบตัวเขามีเพื่อนๆรายล้อมแต่รอบตัวผมมีเขาคนเดียว ผมเคยนึกน้อยใจว่าผมเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทหลายคนของคุ้งแต่คุ้งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผม แต่ความน้อยใจนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อผมนึกขึ้นได้ว่าผมเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คุ้งน้ำเปิดใจเล่าทุกๆเรื่องความลับของคุ้งน้ำที่ผมรู้คนเดียวนั้นยาวเสียยิ่งกว่าหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ทั้งเล่ม ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่เขาแอบดูหนังผู้ใหญ่และช่วยตัวเองครั้งแรกตอนปอหก เรื่องลองกินเหล้าตอนมอสองเทอมสอง เรื่องโดดเรียนพิเศษรอบสดไปเดินสยามกับแฟนเก่าจนจบคอร์สโดยที่แม่ไม่รู้ หรือเรื่องแอบสูบบุหรี่กับรุ่นพี่ในชมรมตั้งแต่มอสี่เทอมแรกจนถึงปัจจุบัน เราไม่เคยบอกกันว่าเราสนิทกันขนาดไหนหรือสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกที่ในหัวผมก็มีแต่เรื่องของคุ้งน้ำ
“วันนี้มีคุมหลีดนะน่าจะมืด”
คนตัวโตทำหน้าเศร้าพร้อมกับเอาหัวหนักๆมาเกิยบ่นไหล่
“เสร็จแล้วต้องหิวมากแน่เลย ช่วงนี้อากะลด15%ด้วย หิวเนื้ออะ”
“จริงๆวันนี้ฟุ้งมีเรียนพิเศษถึงหกครึ่ง ถ้ากลับบ้านตอนนั้นบีคงโคตรแน่น”
ผมขยับไหล่นิดหน่อยให้อีกคนพิงได้สบายขึ้น
“ฟุ้งพูดงี้คือจะรอคุ้งคุมหลีดแล้วไปกินอากะด้วยกันใช่มั้ยครับ”
มันช้อนตาขึ้นมามองพร้อมทำหน้าอ้อน มืออีกข้างกอดเอวไว้พร้อมโยกตัวไปมา
“เพื่อนหลีดไม่มีให้ชวนแล้วหรอถึงมาชวนอะ”
ผมถาม ไม่ได้ตั้งใจให้รูปประโยคมันดูน้อยใจ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
“ชวนเพราะรู้ว่าฟุ้งกลับหอไปก็ต้มมาม่าแล้วอ่านหนังสือไง ซักวันนึงจะขาดสารอาหาร”
“อือ กินก็กิน เดี๋ยวเรียนเสร็จแล้วนั่งอ่านหนังสือรอแถวนั้น คุ้งคุมเสร็จแล้วก็โทรมาละกัน”
ผมตีหน้ามึน ทำเฉยๆ จะไม่ยอมให้มันเห็นยิ้มเหงือกเป็นอันขาด
เราทานปิ้งย่างเสร็จตอนสองทุ่มกว่า คุ้งน้ำที่สภาพอิดโรยเพราะเหนื่อยจากกิจกรรมที่โรงเรียนนั่งคอพับคออ่อนบนรถไฟฟ้าสุดท้ายก็มาจบที่ซบไหล่ผมจนผล็อยหลับ อีกแค่สองสถานีก็จะถึงคอนโดเราแล้ว ผมเขย่าหัว กระซิบเบาๆบอกว่าตื่น ใกล้จะถึงแล้ว คุ้งน้ำทำตาปรือ ขยี้ตาแรงๆจนผมต้องตีมือ
“มือสกปรก อย่าเอาไปยุ่งกับตา”
คุ้งส่งเสียงอืออาตอบรับ รถไฟฟ้ามาถึงสถานีที่เราต้องลงพอดี คุ้งน้ำเดินประกบผมเข้าซอยคอนโดเหมือนกับหมาตำรวจไม่มีผิด ผมหันไปทำหน้ารำคาญใส่ที่เขาไม่เลิกคิดว่าผมเป็นไอ้หอมฟุ้งตัวผอมที่โดนเพื่อนแกล้งตอนปอสามสักที แต่ในใจลึกๆกลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่มีคนหน้าง่วงนี่เดินเข้าซอยคอนโดด้วย
ตอนมืดๆ
“เนี่ย ตอนกลางคืนในซอยน่ากลัวจะตาย ห้ามเดินเข้าคนเดียวเลยนะ”
“แล้วฟุ้งต้องทำไงเนี่ย นอนที่เซเว่นอังรีหรอ”
“ก็โทรตามคุ้งดิ โทรศัพท์อะมีไว้โทร”
หลังจากคุ้งน้ำพูดจบประโยค ผมช้อนตาขึ้นไปมองหน้าเขายามที่ท้องฟ้ามืดลง แสงจากไฟถนนส่องให้ผมเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในทุกช่วงชีวิต ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าดูดีที่ผมได้แต่ชื่นชมในใจมาตั้งแต่มัธยมต้นอยู่ห่างเพียงแค่หนึ่งไม้บรรทัด ผมเอนหัวลงไปพิงกับแผ่นอก ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับกลิ่นเหงื่อ
กลิ่นคุ้งน้ำที่ผมรัก
มืออีกข้างของคุ้งที่ไม่ได้ถือกระเป๋านักเรียนเอื้อมมาโอบตัวผมเอาไว้หลวมๆ สัมผัสจากเขาที่แสนจะจริงใจว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นเพื่อนทำผมเจ็บจนเอียนกับความรู้สึกนี้มาแล้วสี่ปีเต็ม
ถ้าถามว่าในชีวิตนี้ใครตามใจผมมากที่สุดผมไม่ลังเลเลยที่จะตอบชื่อคุ้งน้ำ ตอนอนุบาลเพื่อนๆทุกคนต้องตกใจกับชุดสะสมโปเกม่อนที่ผมมีครบแล้วทั้ง99แบบ ผมยิ้มหน้าบานทุกครั้งเมื่อเพื่อนทำสีหน้าชื่นชมปนสงสัยว่าผมกินขนมที่แถมมาทั้งหมดนั่นได้ยังไงโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังความภูมิใจคือคุ้งที่นั่งฉีกซองขนมกินจนเอียน หรือตอนขึ้นมอปลายที่เราสอบติดที่เดียวกัน คุ้งน้ำก็เป็นคนไปอ้อนวอนแม่ผมขอให้ผมมาอยู่คอนโดเดียวกันเพียงแค่ผมบ่นให้ฟังว่าถ้าต้องไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนใหม่ผมคงเหนื่อยตายก่อนจบมอหก วันนึงผมเคยอยากลองกินเหล้าแบบคุ้งดูบ้าง เขาทำหน้าเหนื่อยใจแต่สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่างั้นกินที่ห้องนะเดี๋ยวลงไปซื้อให้เอง เราอายุเท่ากันเกิดเดือนเดียวกันแต่คุ้งหน้าเหมือนพี่ปีสองส่วนผมคือน้องมอต้น คุ้งน้ำขึ้นห้องมาพร้อมสิ่งที่ผมอยากลองหนักหนาเวลาเห็นเขาไปกินกับเพื่อน คืนนั้นออกจะมึนหัวไปหน่อยแต่ยังรู้สึกตัวดี ผมที่มีแอลกอฮอลล์พลุ่งพล่านอยู่ในเลืือดก็ยังเป็นตัวผมคนเดิมแค่เหมือนระดับความอายจะลดลงไปจนเผลอถามคุ้งออกไปว่าที่คบผมมาตั้งนานนี่มีความสงสารอยู่ในนั้นรึเปล่า ผมเหมือนจะร้องไห้นิดหน่อย เริ่มจำตรงส่วนนั้นไม่ได้แล้ว คุ้งน้ำเขยิบเข้ามาใกล้ ดึงตัวผมที่อ่อนปวกเปียกมากอดหลวมๆ ปากบอกว่าผมคืิอเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเขา ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะเกลียดคำว่าเพื่อนที่ดีที่สุด
แค่คุ้งมีแฟนน่ะเรื่องเล็ก ช่วงเวลาที่เรารู้จักกัน(ซึ่งเกือบจะเป็นทั้งชีวิตของเรา)คุ้งมีแฟนไปแล้วสามคนเห็นจะได้ ส่วนคนคุยเหมือนคุ้งจะมีอยู่ตลอดเวลา ก็นักเข้าสังคมอย่างคุ้งน่ะจะมีคนอยากเข้ามาทำความรู้จักเยอะก็คงเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่เห็นคุ้งมีความสุขกับความรักมากๆ ผมบอกตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะทน แต่ฟางเส้นสุดท้ายมันไม่ยอมขาดสักที
“ฟุ้งว่าถ้าคุ้งไปนอนหอแบมตอนนี้มันจะเร็วไปปะ”
“เรื่องมึงเหอะ”
ผมเกลียดที่ทุกๆสัญญาณที่ผมพยายามจะบอกให้เขาหยุดพูดเรื่องพวกนี้เพราะมันทำผมเจ็บปวด คุ้งมักจะตีความว่ามันเป็นเพราะว่าผมรำคาญ
“พูดดีๆก็ได้ปะไม่ต้องมากูมึง แล้วที่เอามาพูดให้ฟังก็เพราะเห็นว่าฟุ้งเป็นเพื่อนสนิทไง”
ผมกำหมัดแน่น พยายามรั้งฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ไม่ให้ขาดผึ่งตอนนี้ ผมทนฟังเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้วทำไมจะทนฟังอีกสักนิดไม่ได้ ทำไมคุ้งไม่เคยรู้เลยว่าคนที่อยู่ใกล้ขนาดนี้เฝ้ามองคุ้งด้วยความรักมาตลอด ผมตัวสั่นริก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เหนื่อย โกรธ ผิดหวังที่เขาไม่เคยรับรู้สิ่งที่ผมพยายามจะบอกเค้ามาตลอด
“มึงพูดมาได้ คำก็เพื่อนสนิทสองคำก็เพื่อนสนิท ถ้ามึงชอบใครมากๆแล้วอีกคนเอาแต่พูดเรื่องคนอื่นให้ฟังอยู่นั่นแหละมึงจะโอเคปะ กูทนฟังมาสี่ปีแล้ว ขอโทษละกันที่คงทนถึงปีที่ห้าไม่ไหว”
มันแสบคอไปหมด ลูกสะอื้นที่ก้อนใหญ่เคลื่อนตัวจากหน้าอกมาจุกอยู่ที่คอ เหมือนผมใช้แรงทั้งหมดในการกลั้นเอาไว้ไม่ให้มันกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตาก่อนที่จะพูดจบประโยค ผมตัวสั่นจนคุมไม่อยู่
คุ้งน้ำยืนอึ้งไม่พูดอะไร แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม ก่อนที่คุ้งจะได้เอ่ยอะไรออกมา ผมก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือก้าวยาวๆออกมาจากห้อง
เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถไฟฟ้าสายที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน ตอนนั้นมันตื้อไปหมด ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากคอนโด พอถึงสถานีก็รีบเเตะบัตรแล้วเดินขึ้นขบวนรถที่สถานีปลายทางคือสถานีไหนผมก็ยังไม่แน่ใจนัก จิตใจล่องลอยคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล คำถามนึงผุดขึ้นมาให้ผมหาคำตอบ ที่ผมอดทนอยู่กับคุ้งมาตลอดเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนหรือแค่จินตนาการชีวิตที่ไม่มีนายคุ้งน้ำไม่ออก ถ้าลองตัดข้อที่ว่าผมไม่คบเพื่อนคนอื่นออกล่ะ ผมจะเดินออกมาจากชีวิตคุ้งน้ำง่ายกว่านี้หรือเปล่า ผมตัดสายคุ้งน้ำเป็นรอบที่สิบสองแล้วจึงตัดสินใจปิดมือถือ มันทรมานอย่างนี้นี่เองการตัดสินใจก้าวออกมาจากที่ที่เราคุ้นเคย ผมไม่แน่ใจว่าการที่บอกให้คุ้งน้ำรู้ความรู้สึกมันเจ็บปวดมากหรือน้อยกว่าการที่เขาไม่รู้อะไรเลย
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว การบอกให้คุ้งน้ำรู้คงเป็นอย่างสุดท้ายในชีวิตที่เลือกจะทำ ผมคงเกลียดตัวเองมากๆแน่ที่ต้องกลายเป็นตัวงี่เง่า ความรู้สึกนั้นคงชวนขยะแขยงและสร้างความอึดอัดกระอักกระอ่วนให้คุ้งน้ำไม่น้อย ผมเริ่มเกลียดตัวเองและรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกเมื่อตัวผมในตอนนี้กลายเป็นตัวงี่เง่าตัวนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
•
หนึ่งปีที่ผ่านไปผมไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับคุ้งน้ำมากกว่าที่เพื่อนคนอื่นรู้กัน หลังจากผมขนของออกมาจากคอนโดเขา ที่เดียวที่ผมเจอคุ้งน้ำก็คือโรงอาหารตอนพักกลางวันที่เราเดินสวนกันบ้าง คุ้งน้ำจ้องมาที่ผมเสมอบางทีก็เหมือนจะพูดอะไรแต่มันก็จบลงด้วยผมที่ปลีกตัวหายเข้าไปในกลุ่มนักเรียน เขาอยู่ห้องควีนผมอยู่ห้องคิง ตอนที่ประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยผมยังหารูปถ่ายหมู่ห้องคุ้งน้ำเพื่อดูว่าเขาติดมหาวิทยาลัยที่ไหนอยู่เลย ไมค่อยแน่ใจว่าผมยินดีหรือเสียใจกันแน่ที่เราไม่ติดที่เดียวกัน ผมติดมหาวิทยาลัยใกล้กับโรงเรียนส่วนคุ้งติดอีกที่ที่อยู่ไกลถึงปริมณฑล
เย็นวันปัจฉิมนิเทศหอมฟุ้งไม่มีสมาธิเลย บอกขอบคุณสำหรับของขวัญกับพี่น้องสายรหัสและสายอันดับเร็วๆ ตากวาดมองหาคนตัวสูง ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆคนทะยอยกันออกจากโรงเรียนแต่หอมฟุ้งก็ยังไม่เจอคนที่มองหา คืนก่อนหน้าผมนอนพลิกตัวคิดไม่หยุดว่าวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันผมควรบอกขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาหรือหายไปจากชีวิตคุ้งน้ำเงียบๆ
สยามตอนสามทุ่มคนเริ่มซาลงแล้ว ผมที่เดินวนอยู่ในหอศิลป์เกือบสองชั่วโมงตัดสินใจกลับบ้านไปนอน วันนี้เหนื่อยและน่าผิดหวังเหลือเกิน โทรศัพท์สั่นครืดคราด เบอร์ที่ผมไม่แม้แต่จะกล้าลบออกจากเครื่องโทรมาเป็นครั้งแรกในรอบปี มือที่กดรับสายสั่นเล็กน้อย เอามือถือขึ้นมาแนบหูแต่ไม่พูดอะไร
‘ฟุ้ง’
“…”
‘วันนี้ไม่ได้ไปงานปัจฉิมหรอ หาไม่เจอเลย’
เสียงคุ้งน้ำอบอุ่นเหลือเกิน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าร้องไห้อยู่ก็ตอนที่ภาพข้างหน้ามันพร่าจนผมต้องเอาหลังมือมาป้ายตาลวกๆ
‘ขอเดินเข้าไปหาได้มั้ย’
คุ้งน้ำเหมือนจะตัวสูงขึ้นอีกสักสองเซน ผิวซีดลง คงเป็นเพราะมอหกเอาแต่อ่านหนังสือจนไม่มีเวลาไปเล่นบอลแล้วแน่ๆ ผมเริ่มยาวจนต้องคอยเสยผมไม่ให้มันทิ่มตา แต่ยังใช้น้ำหอมlush กลิ่น dear johnเหมือนเดิม ของขวัญวันปัจฉิมมากมายของเขากองอยู่กับพื้น แขนยาวๆนั่นดึงผมไปเข้าไปซุกไว้กับอก ลมหายใจอุ่นๆใกล้หูกับเสียงกระซิบว่าไม่ร้องแล้วนะทำผมสะอื้นจนตัวโยน มือที่ว่างอยู่ขยำเสื้อนักเรียนคุ้งไว้จนเเน่น ไม่แม้แต่จะกล้ากอดตอบ เรายืนอยู่อย่างนั้นนานจนผมหยุดร้อง คุ้งน้ำค่อยๆคลายกอดออก ก้มหน้าลงมาสบตา ทำให้ผมเห็นว่าเขาก็ร้องไห้เหมือนกัน
“ยินดีด้วยนะ”
ผมพูดเสียงแผ่ว ตาหลุบมองพื้น
“ที่จบมอปลายหรอ?”
“ที่ติดหมอด้วย”
“งั้นผมก็ขอแสดงความดีใจกับคุณหอมฟุ้งด้วยนะครับ”
คุ้งน้ำพูดพร้อมอมยิ้ม
“เอาจริงๆยังไม่รู้เลยว่าจะทนไหวจนถึงปีที่หกรึเปล่า”
ผมเบ้หน้าเล็กน้อย คิ้วขมวดเป็นปม
“วันไหนคุณหอมฟุ้งหมดกำลังใจก็นั่งรถมาหาผมที่ศาลายาสิ”
ประโยคง่ายๆบวกกับรอยยิ้มของคุ้งน้ำทำเอาผมท้องวูบ เหมือนใจมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว
“พูดเหมือนสามย่านกับศาลายามันใกล้กันนักแหละ”
ผมเก็กหน้านิ่ง ทำเป็นมองรอบข้างเหมือนกับว่าสกายวอล์คที่เรายืนอยู่มันน่าสนใจมากกว่าคนตรงหน้า
“ฟุ้งบอกชอบเราอีกรอบดิแล้วเดี๋ยวจะทำให้ดูว่าสามย่านกับศาลายามันใกล้กันขนาดไหน”
คุ้งน้ำเขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว หูผมร้อนไปหมดเหมือนกับโดนไฟอัง
“กลับมาอยู่กับคุ้งนะ”
“…”
“ไม่ต้องในฐานะเพื่อนสนิทเหมือนเดิมก็ได้”
ผมโน้มคอเขาลงมา แอบเห็นริมฝีปากคุ้งน้ำกระตุกยิ้ม เราจูบกันบนสกายวอล์ค สยามตอนสามทุ่มครึ่งช่างเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานเหลือเกิน
“ไม่ไปไหนเเล้วนะ ไม่อยากอยู่แบบไม่มีฟุ้งแล้ว”
“อื้อ ไม่อยากเหมือนกัน”
ผมพิงหัวกับไหล่ข้างซ้ายของเขาอย่างหมดแรง ทุกอย่างมันปนเปกันไปหมดในวันเดียวทั้งแสนเศร้าและสุดดีใจ
“ปะ กลับห้องเรากัน อย่าลืมบอกเเม่ฟุ้งด้วย”
ผมยิ้มกว้างจนกลายเป็นยิ้มเหงือกแบบที่คุ้งน้ำชอบล้อ เราช่วยกันหยิบของขวัญปัจฉิมจากพื้น คุ้งหอบของทั้งหมดด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างเอื้อมมาจับมือผมไว้หลวมๆ
เราขึ้นรถไฟฟ้ากลับห้องพร้อมกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in