ถ้าพูดถึง 'เศร้าซึม' ทุกคนคงคิดถึง Sadness ในอนิเมชั่นของ Inside Out ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ทุกคนคิดถูกแล้ว(หัวเราะ) เราติดอยู่กับโรคซึมเศร้า อยู่กับมันมาประมาณสามปี จนกระทั่งตัดสินใจเดินเข้าไปหาหมอด้วยตนเอง เพราะเราไม่สามารถทนกับตัวเองได้อีกแล้ว และเราก็กลัวว่าเราจะไปไกลกว่าที่จุดที่เราเป็นอยู่
'ทำไม' หรือ 'เพราะอะไร'
ถ้าถามถึงสาเหตุของโรค มันมีตั้งแต่เหตุผลเล็กๆ(แต่ฝังใจสำหรับคนๆหนึ่ง)ไปจนเหตุผลใหญ่ๆ แต่สำหรับเรามันคงมีหลายปัจจัย คือ เอฟเฟคจากโรคประจำตัว กับ ความกดดัน ความคาดหวังของสังคมและครอบครัว แล้วสิ่งเหล่านี้ก็สะสมทับซ้อนกันเรื่อยๆ จนทำให้สารสื่อประสาทของสมองทำงานผิดปกติจนเกิดเป็นโรคซึมเศร้า
ความคาดหวัง ความกดดันของสังคมและครอบครัว นำพาเราไปสู่ในสิ่งที่'คนอื่น'อยากให้เราเป็น จนในที่สุดมันกลายเป็นสิ่งที่เราคิดว่า 'เราอยากจะเป็น' และความเครียดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ถามว่าเรากำลังโทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อมอยู่หรอ เปล่าหรอกค่ะ ไม่เลยสักนิด เพราะสุดท้ายคนที่เลือกไปเผชิญหน้ากับมันคือตัวเราเอง แล้วเราก็ไม่ได้เสียดายหรือเสียใจกับผลที่ได้รับกลับคืนมา
เหมือนคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา
หากถามว่าในโลกเศร้าซึมนั้นเป็นอย่างไร คงตอบง่ายๆเลยว่า สายตาของเราเต็มไปด้วยฟีลเตอร์สีเทา ก็มองทุกอย่างแง่ดีปกติ แต่พออยู่คนเดียว อยู่กับตัวเองทำไมมันสีเทาแบบนี้นะ ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราคิดหรอกค่ะ เพราะสารเคมีในสมองผิดปกติก็เลยทำให้เราคิดไปในแนวทางนั้น
เราคิดว่าเรารู้จักตนเองดีในระดับหนึ่ง รู้ลักษณะนิสัยของตัวเองว่าเป็นอย่างไร แต่ตลอดสามปีนั้น เราถามว่าตัวเองตลอดว่า...ตอนนี้เราเป็นใคร เพราะมันไม่ได้เป็นตัวเองที่เราเคยรู้จัก
'กล้า'เผชิญหน้า
ในเมื่อเรามีอินเตอร์เน็ต มีสื่อออนไลน์ มันก็เป็นการง่ายต่อการค้นอาการของโรค พฤติกรรมหลายอย่างของเรา อยากหนีความจริง ไม่อยากตื่นนอน ไม่อยากลุกจากเตียง หวาดระแวงไปทุกอย่าง อ่านหนังสือและเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่มีสมาธิ เหม่อลอย มันทำให้เราค้นพบว่า เราเข้าข่ายการเป็นโรคซึมเศร้า แล้วสุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในโรง'บาลและเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเอง
แค่ด่านแรกคุณพยาบาลถามอาการ ก็ร้องไห้ใส่แล้วค่ะ เพราะเรามีบางอย่างที่มันเจ็บปวดอยู่ในใจ แต่เราก็ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้ แล้วไปเจอกับนักสังคมสงเคราะห์จะสังเกตพฤติกรรม ถามข้อมูล ถึงได้พบหมอ แต่สุดท้ายเราไม่ได้รักษาที่นี่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีเหตุจำเป็นเสียก่อน แต่การได้กินยาชุดแรกนั้น มันทำให้เราดีขึ้นกว่าปกติจริงๆ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนในเส้นทางเดินของเรา
เส้นทางที่เปลี่ยนแปลง
ช่วงเวลาหลังจากรู้ว่าตัวเราเองเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเราตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่เรากลับมาทบทวนตนเองอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ แล้วเราก็ไม่สามารถทนอยู่กับมันได้อีก แต่จะให้ออกไปกลางทางตอนนี้โดยไม่มีอะไรเลยก็คงจะไม่ได้ เราหาทุกอย่างทุกทางเพื่อเสนอเส้นทางใหม่ให้แม่ โดยที่เป็นเส้นทางต้องเป็นเส้นทางของตนเอง ไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ใครอยากให้เป็นอีกแล้ว เราโชคดีไม่น้อยที่แม่เข้าใจ แม่ไม่ว่า ไม่ดุเราเลยสักคำ มีแต่ความห่วงใย เป็นเราเสียอีกที่แย่ ที่ร้องไห้เพราะเสียใจที่ทำให้เขาผิดหวัง(หัวเราะ) แล้วเราก็ได้หาหมอรักษาอย่างจริงจังเสียที ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคำว่าโรคซึมเศร้ากับการหาหมอจิตเวชในมายาคติของสังคมไทย มันเป็นในเชิงลบมากกว่าดี และการที่เรากล้าบอกแม่ไปนั่น เพราะมันเกิดจากการทะเลาะบ้านแตก จากที่แม่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมไม่นอนของเรา วันนั้นเราพยายามหนีความจริง(โชคดีที่ไม่หลุดและดึงตัวเองกลับมาได้) เพราะกลัวแม่จะรับไม่ได้ กลัวแม่โทษตัวเอง แต่สุดท้ายเราก็พูดออกไป แม่ไม่เข้าใจเราในครั้งแรกหรอกค่ะ เราพยายามอธิบายว่าตัวโรคเป็นอย่างไรทั้งน้ำตาแบบนั้นแหละ จนคุณแม่พาไปหาหมอ หาอย่างจริงจัง และอาการเราก็ดีขึ้นตามระดับ แต่ที่เราดีขึ้นเร็วก็ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วย เพราะครอบครัวเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดในการรักษาโรคซึมเศร้า
ตัวเราในวันนี้
เราได้ตัวเราคนเดิม คนที่เรารู้จักกลับคืนมา เราเดินมาอยู่ในเส้นทางใหม่ เส้นทางที่เรามีความสุข สนุกกับมัน เป็นเส้นทางที่เราอยากจะตื่นนอนมาเผชิญหน้ากับชีวิต ถึงแม้จะเหนื่อยกับอะไรหลายๆอย่าง แต่เราก็แค่บ่นตามภาษา แต่เราสนุกกับสิ่งที่เราทำอยู่จริงๆ
สำหรับโรคซึมเศร้าแล้ว เราก็ไม่ได้หายขาดหรอกค่ะ เราต้องสังเกตตัวเราเองตลอดเวลา พยายามหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ(ซึ่งในเคสของเรา มันหลีกเลี่ยงไม่ได้//หัวเราะ) ดังนั้นถ้ารู้สึกไม่ดีก็โทรนัด ไปหาคุณหมอค่ะ
พูดตามตรงซึมเศร้าสำหรับเรามันก็มีข้อดี ทำให้เรามองโลกกว้างขึ้น มองเห็นโลกทั้งสองด้าน ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ และที่สำคัญทำให้เรารู้จักตัวตนของเราและอารมณ์ของตนเอง
สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นแค่ประสบการณ์โดยตรงของเราที่อยากจะแชร์ อยากจะเล่าเท่านั้น ขึ้นชื่อว่า'โรค'แล้วก็คงไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ แต่ถ้าเราเป็นแล้วก็ต้องยอมรับมัน แล้วหาทางที่จะใช้ชีวิตอยู่กับโรคนั้นให้ได้ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า เราคิดว่าจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการยอมรับการรักษานี่แหละ ดังนั้น...สู้ๆนะคะ:)
ปล.บล็อกนี่คงเป็นบล็อกที่มีสาระที่สุดของเรา ดีใจมากที่เจอที่อยากเขียนต่อจากexteenเสียที หลังจากนี้คงจะมีเรื่องบ่นอะไรหลายๆอย่างในชีวิตมากกว่าทำอะไรมีสาระ//หัวเราะรัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in