“แต่เขาบอกว่าหมอดูที่นี่แม่นจริงๆนะมึง ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก เชื่อกูดิ”
จูฮอนก้มหน้ามองข้อความที่แสดงผ่านหน้าจอร้าวๆของโทรศัพท์เครื่องใหม่
เขาพึ่งซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ชื่นชมความเอี่ยมอ่องของมันนานนัก 5วันถัดมา เจ้าโทรศัพท์ตัวดีก็ดันหล่นจากกระเป๋าเสื้อเขาตอนที่กำลังก้มตัวลงผูกเชือกรองเท้า
จะว่าไปไอหน้าจอโทรศัพท์นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เขาต้องขึ้นรถลงเรือมาถึงที่นี่
จูฮอนก้าวขาลงจากเรือโดยสารข้ามฟาก ก่อนที่จะหยิบมือถือมาเปิดดูเส้นทางของร้านหมอดูที่บรรดาเฮียๆคะยั้นคะยอให้เขาลองมาดูสักหน่อย เผื่อจะได้รู้ว่าชีวิตช่วงนี้ของเขาทำไมมันถึงซวยได้ขนาดนี้
ปกติตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะต่อต้าน
ช่วงนี้ชีวิตของเขาเจอแต่เรื่องซวยๆ ซวยแล้วซวยอีก ซวยซ้ำซวยซ้อน ตัวอย่างความซวยก็เช่นไอโทรศัพท์เจ้ากรรมนี่แล้ะ เขาลืมโทรศัพท์เครื่องเก่าไว้ในห้องน้ำที่มหาวิทยาลัย กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองลืมมันไว้ก็ปาไปชั่วโมงกว่าๆ ถึงในใจจะภาวนาว่าเมื่อเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ จะเห็นไอโทรศัพท์เจ้ากรรมนั่นวางอยู่ที่เดิม แต่แน่นอนล่ะ ในช่วงชีวิตที่ดวงซวยสุดขีดของเขาตอนนี้ ไม่มีทางที่เขาจะได้พบเจอกับมันอีกครั้งแน่นอน
ไหนจะเรื่องซวยยิบย่อยอย่างการที่นาฬิกาปลุกดันมาพังในวันที่มีควิซตอนเก้าโมง ลืมงานที่นั่งทำจนถึงตีสองไว้ที่หอ เผลอลืมแบงค์ห้าร้อยไว้ในกางเกงที่เอาลงเครื่องซักผ้า และอีกสารพัดล้านแปดเรื่อง
เอาจริงๆเขาก็ขำๆกับเรื่องแบบนี้นะ แต่ก็แอบคิดอยู่ลึกๆนั่นแหละว่าคนเรามันจะซวยติดๆกันได้ขนาดนี้จริงๆหรอ
จูฮอนก้าวขาเข้าไปในร้านที่เป็นห้องกระจกขนาดเล็ก มีผ้าม่านสีดำล้อมอยู่โดยรอบ บรรยากาศภายในดูเงียบสงบ แสงสลัวๆจากหลอดไฟไม่กี่ดวง มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้ไม่กี่ตัวที่ถูกวางไว้ในร้าน และผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เยี่ยมเยียน
“ช่วงนี้เจอแต่เรื่องน่าหงุดหงิดใจใช่ไหมล่ะพ่อหนุ่ม” หญิงวัยกลางคนกล่าวทำลายความเงียบ
“เอ่อ… ครับ” จูฮอนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะค่อยๆเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม
“ไหน ขอฉันดูหน่อยซิ ยื่นมือเธอมานี่หน่อย” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อให้จูฮอนวางมือของเขาลงบนมือเธอ ก่อนจะเริ่มทำการสำรวจเส้นลายมือของชายหนุ่มดวงซวย
“อืม.. จริงแล้วๆมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายหรอกใช่ไหม” หญิงวัยกลางพูดขณะที่ยังคงเพ่งสายตาไปที่มือของเขา
จูฮอนพยักหน้ารับเบาๆ ใช่ เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแย่อะไรขนาดนั้น แค่เขาอาจจะบังเอิญโดนเบื้องบนกลั่นแกล้งถี่ไปหน่อยเท่านั้นเอง
“ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่ช่วงนี้น่ะเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตเธอ”
“รอยต่อ? รอยต่ออะไรหรอครับ?” จูฮอนย่นคิ้วก่อนจะถามออกไป
“ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะได้พบสิ่งดีๆใหม่ๆในชีวิตนะ รอยต่อระหว่างสิ่งเก่าๆกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเข้ามาหา”
จูฮอนไม่ค่อยเข้าใจในคำตอบที่ได้นัก สิ่งใหม่ๆหรอ ไอสิ่งใหม่ๆที่ว่านี่มันอะไรกันล่ะ โทรศัพท์เครื่องใหม่อีกเครื่องหรือยังไง
“ผู้หญิงคนนี้น่ะ ตัวเล็ก จิตใจดี เป็นคนฉลาด และน่าจะเข้ากับเธอได้ดีทีเดียว”
เดี๋ยวนะ… เขาไม่ได้ฟังอะไรผิดไปหรอกใช่ไหม ผู้หญิง?
“ขอโทษนะครับ แต่เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ ผู้หญิงอะไรนะครับ?”
“อืม... จะมาพร้อมกับความโชคดีของเธอน่ะ แต่บอกไม่ได้หรอกนะว่าเมื่อไหร่ แต่ภายในปีนี้แน่นอน”
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดูดวงของเขาก็เสร็จสิ้นลง จูฮอนเดินออกมาจากร้านด้วยความคิดที่ตีกันวุ่นในหัว เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องเนื้อคู่หรืออะไรทำนองนั้น แต่พอได้ยินแล้วก็อดตื่นเต้นในใจแปลกๆไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไง จะมาพร้อมกับโชคดีของเขาจริงๆหรอ ถึงเขาจะบอกว่าไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นักก็เหอะ แต่ถ้ามันเป็นไปตามนั้นจริงๆก็คงจะดี อีกอย่างบรรดาเฮียๆเขาก็บอกว่าที่นี่น่ะแม่นมากๆ ขอคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไรนัก
จูฮอนเดินกลับไปยังท่าเรือข้ามฟาก เขาคิดว่าจะแวะไหว้พระที่วัดแถวๆนี้สักหน่อย ถือว่าทำบุญล้างซวยให้ตัวเองด้วย เขาไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้จริงๆนะแต่ยังไงทำบุญก็ต้องดีกว่าทำบาปอยู่แล้ว ถูกไหม
ผู้คนที่โดยสารเรือในช่วงเวลานี้ไม่ได้มีมากจนวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้น้อยจนดูบางตา จูฮอนกำลังต่อแถวรอซื้อตั๋วโดยสาร เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะพบว่ามีบางอย่างหายไป…
กระเป๋าสตางค์…
ซวยเก่งจริงๆ…
เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้ทิ้งมันไว้ที่ร้านดูดวงแน่ๆ ถ้ามันจะหายก็คงจะหายระหว่างทางนี่แหละ ทำไมมันถึงได้ซวยขนาดนี้วะ โทรศัพท์ก็ไม่สมประกอบ ตอนนี้กระเป๋าสตางค์ก็ยังจะหายอีก ในนั้นนอกจากเงินสองสามพันก็ยังมีบัตรประชาชน บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม บัตรรถไฟฟ้า สารพัดอย่าง คนดวงซวยนี่มันก็ซวยซ้ำซวยซ้อนอยู่อย่างนั้นจริงๆ แม่งงง….
“ขอโทษนะครับ กำลังหาอะไรอยู่รึป่าว?”
จูฮอนหันหน้าไปทางต้นเสียง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มที่ดูจะอายุน้อยกว่าเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวขาวๆตัดกับผมสีดำเข้ม
น่ารัก…
น่ารักมากจริงๆ น่ารักจนจูฮอนแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้เขาหงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่ โคตรน่ารักเลยจริงๆ
“เอ่อ..ครับ ผมทำกระเป๋าสตางค์หายน่ะ”
“ใช่ใบนี้ไหมครับ ผมเห็นมันตกอยู่ตรงนั้นอะ” ชายหนุ่มผมดำชี้มือไปทางข้างๆของแถวซื้อตั๋วโดยสาร
จูฮอนไม่แน่ใจนักว่ามันตกตอนไหน แต่กระเป๋าสตางค์สีดำในมือของคุณคนน่ารักคนนี้น่ะ เป็นของเขาแน่ๆ
“ใช่ครับ ขอบคุณนะครั..” จูฮอนที่กำลังจะยื่นมือไปรับกระเป๋าสตางค์ ชะงักเล็กน้อยหลังจากที่คุณคนน่ารักของเขาชักมือที่ถือมันกลับไป
“เดี๋ยวก่อน แล้วผมจะเชื่อได้ไงว่าเป็นของคุณจริงๆอะ มีอะไรมายืนยันไหมเนี่ย”
“ในนั้นมีบัตรประชาชนผมอยู่น่ะ ผมชื่อ อี จูฮอน คุณลองเช็คดูสิ ว่าใช่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าเปิดกระเป๋าสตางค์ใบสีดำ ค้นหาบัตรที่ว่า ก่อนจะอ่านออกเสียงชื่อบนบัตรใบนั้นอย่างช้าๆ
“อี จู ฮอน”
“ครับ ผมอีจูฮอน”
“ขอกระเป๋าผมคืนด้วยครับ” เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้คนน่ารักตรงหน้า
“คุณจูฮอน...” คนตัวเล็กเรียกชื่อเขาทั้งๆที่ยังก้มหน้าก้มตาสำรวจกระเป๋าสตางค์
“ในนี้มีเงินสดอยู่เท่าไหร่อะครับ?”
“สองพันกว่ามั้งครับ ผมไม่ได้นับอะ นี่คุณยังไม่เชื่อผมอีกหรอเนี่ย”
จูฮอนพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย อะไรมันจะไว้ใจคนยากขนาดนี้กัน แต่เห็นว่าน่ารักหรอกนะ จะไม่ถือโทษโกรธอะไรคุณหรอก
“ผิดครับ”
“...”
“มันไม่มีเงินเหลืออยู่ในนี้เลยต่างหาก”
“ห้ะ…”
คุณคนน่ารักเปิดกระเป๋าสตางค์สีดำในมือให้จูฮอนดู นอกจากบัตรสารพัดอย่างของเขาที่อยู่ครบแล้ว ก็ไม่มีอะไรในนั้นอีกเลย แม้แต่สแตมป์เซเว่นก็ยังไม่เหลือ….
อุตส่าห์ดีใจที่ได้กระเป๋าสตางค์คืน แต่คือเงินข้างในไม่เหลือเลยเนี่ยนะ….
“แย่จังเนอะคนสมัยนี้ แล้วบัตรอยู่ครบไหมครับเนี่ย”
“ครบครับ ก็ยังใจบุญที่ยังเหลือบัตรให้ผมอยู่นะ” จูฮอนพูดติดตลก เขาไม่ได้อะไรกับเงินที่หายไปนักหรอก มาม๊าเคยบอกเอาไว้ว่าเงินน่ะ หาใหม่ได้ (แต่ถ้ากลับบ้านไปเล่าให้ม๊าฟังว่าตังหายเกือบสามพัน ม๊าก็บ่นอยู่ดี)
“แล้วจะไปไหนอะครับเนี่ย กลับบ้านหรอครับ”
“ตอนแรกกะว่าจะไปไหว้พระครับ แต่ตอนนี้คงต้องกลับบ้านแล้วแหละ”
“งั้นเอาอย่างนี้ไหมครับ ผมก็ว่าจะไปไหว้พระอยู่พอดี คุณจูฮอนไปกับผมก็ได้นะ”
จูฮอนตกใจเล็กน้อยกับคำชักชวนของคนตรงหน้า มันออกจะกะทันหันไปหน่อยสำหรับเขา
“เอาจริงดิ เราเจอกันยังไม่ทันถึง10นาทีเลยนะครับ ชื่อคุณผมก็ยังไม่รู้เลยนะ”
“ผม ชางกยุน ครับ”
พูดเสร็จคนตัวเล็กกว่าก็ยื่นมือมาหาเพื่อเป็นการผูกมิตร
จูฮอนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือเข้าไปจับมือเล็กนั้นเพื่อตอบรับความแสนดีที่คนข้างหน้าหยิบยื่นมาให้ ชางกยุนนี่น่ารักจริงๆเลยนะ ไม่ใช่แค่หน้าตาจิ้มลิ้มนั่น แต่หมายถึงทุกอย่างเลย
“แต่ตอนนี้ผมเหลือเงิน0บาทเลยนะ จะเลี้ยงผมหรอคุณชางกยุน?”
“ไม่ได้จะเลี้ยงซักหน่อย แค่ออกเงินสดให้ก่อน คุณมีบัตรเอทีเอ็มนี่ผมเห็นอยู่ พร้อมเพย์ก็ได้ครับ สมัยนี้ยุค cashless อยู่แล้ว” ชางกยุนพูดหน้านิ่ง
“โถ่ นึกว่าจะเลี้ยงซะอีก แต่เอาเป็นว่าตกลงแล้วกันนะครับ ขี้เกียจไปกดเงินอยู่พอดี”
ตอนนี้เขากับชางกยุนกำลังนั่งเรือโดยสารไปวัดที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ถึงจะรู้จักกับชางกยุนได้ไม่นานแต่การมานั่งข้างๆกันแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดเลยสักนิด จูฮอนไม่ใช่คนพูดเก่ง ชางกยุนก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ระหว่างทางก็ยังมีเรื่องให้พูดคุยกันเป็นพักๆ
จูฮอนประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าชางกยุนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา แต่คนละคณะ และเด็กกว่าเขา2ปี พอรู้อย่างนั้นคนอายุน้อยกว่าเลยเปลี่ยนสรรพนามการเรียกจากคุณจูฮอน เป็นพี่จูฮอน
“แล้วนี่พี่มาทำอะไรแถวนี้อะ บ้านไม่ได้ใกล้แถวนี้เลยนะ”
“มาดูดวง ช่วงนี้ดวงซวยแปลกๆอะ” พอเขาพูดจบประโยค ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนตัวเล็กข้างๆ
“ขำอะไรเนี่ย”
“ถามจริง มาดูดวงจริงอะ พี่เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ” ชางกยุนยังคงหัวเราะไม่หยุดกับคำตอบที่ได้รับ
“จริง ก็ช่วงนี้ดวงซวยอะ เห็นปะ เงินหายไปตั้งเกือบสามพันเนี่ย”
“แล้วหมอดูเขาว่าไงอะ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกไรงี้ปะ”
“เขาบอกว่ามันเป็นช่วงรอยต่อ”
“รอยต่อ รอยต่ออะไรอะ?” คนตัวเล็กทำหน้าตาสงสัย
“เขาบอกว่ามันเป็นช่วงรอยต่อของสิ่งเก่าๆกับสิ่งใหม่ๆ บอกว่าหลังจากนี้จะเจอกับผู้หญิงที่จะมาพร้อมโชคดี แต่ช่วงนี้คือต้องทนซวยไปก่อน”
“แล้วพี่ก็เชื่ออะนะ” ชางกยุนทำหน้าตาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่คนเป็นพี่พึ่งเอ่ยตอบไป
“ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อนพี่บอกว่าเขาแม่นมากเลยนะ”
“ผมว่าไม่ใช่ครึ่งละล่ะ อันนี้พี่เชื่อเต็มร้อยละ” ชางกยุนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง จนจูฮอนต้องหัวเราะตามไปด้วย
จูฮอนก็นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่มาที่นี่นะ
ต่อให้หมอดูคนที่เขาอุตส่าห์ยอมข้ามฟากมาเจอจะทำนายผิดหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การที่เขาได้มาเจอเจ้าเด็กที่นั่งข้างๆเขาตอนนี้ ก็ถือว่าคุ้มกับการเดินทางครั้งนี้แล้วแล้ะ
“แล้วเรามาทำอะไรที่นี่อะ ไม่ใช่ดูดวงหรอกใช่ไหม” จูฮอนถามคนตัวเล็กกว่า
“ผมมาถ่ายรูปเล่นอะ ตึกแถวนี้สวยดี” พูดเสร็จชางกยุนก็หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าสะพายให้คนอายุมากกว่าดู
ถ้าจูฮอนดูไม่ผิดเขาคิดว่ามันเป็นกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้งนะ จูฮอนเคยใช้มันอยู่บ้าง เพราะเขาก็ชอบถ่ายรูปจากกล้องฟิล์มอยู่เหมือนกัน
“งั้นถ่ายรูปพี่หน่อยดิ เอาหล่อๆนะ” จูฮอนหันมาเก๊กท่าใส่คนข้างๆ
“ผมคิดค่าถ่ายนะ” ชางกยุนพูดพร้อมส่งรอยยิ้มกวนประสาทให้คนตรงหน้า
“เอาดิ เอาเบอร์มาเดี๋ยวพี่พร้อมเพย์ให้”
“หลอกขอเบอร์ปะเนี่ย” คนตัวเล็กกว่าพูดติดตลก
“งั้นขอตรงๆเลยก็ได้ อยากได้เบอร์อะ”
จูฮอนไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ แต่เขาเห็นชางกยุนอมยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางจริงๆ
“ถ่ายพี่ได้ยังอะ เก๊กรอนานแล้วนะ”
“โอเคๆ อยู่นิ่งๆนะ 1 2 3”
ก่อนจะแยกกันกลับบ้าน ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะหาอะไรกินกันก่อน ชางกยุนแนะนำร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นเท่าไหร่ คนตัวเล็กสาธยายถึงรสชาติอาหารร้านที่เจ้าตัวเสนอให้คนพี่ฟัง ย้ำแล้วย้ำอีกว่าถ้าจูฮอนได้กินจะต้องติดใจจนข้ามฟากกลับมากินร้านนี้บ่อยๆแน่นอน
บรรยากาศภายในร้านก็ดูเหมือนร้านอื่นๆทั่วไป แต่ดูจากจำนวนคนในร้านก็คงจะอร่อยอย่างที่ว่า
ชางกยุนบอกว่าเพราะวันนี้เป็นวันหยุดคนเลยยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่
กว่าโต๊ะจะว่างให้พวกเขาสองคนเข้าไปนั่งในร้านก็ต้องนั่งรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ดีที่เขาทั้งสองคนไม่ได้หิวมากมายเท่าไหร่นัก ชางกยุนจัดการสั่งอาหารให้คนพี่เสร็จสรรพเรียบร้อย ก่อนที่จะยื่นเมนูคืนให้กับคนที่มาจดออเดอร์
“สั่งคล่องเชียว มาร้านนี้บ่อยไหมเนี่ย” จูฮอนถาม
“ก็บ่อยอยู่นะ เกือบทุกเดือนเลยอะ”
“มากับใครอะ แฟนหรอ?”
“อื้อ แฟน”
จูฮอนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเจ้าของคำตอบ
“แฟนพ่ออะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“ตกใจหมด” จูฮอนแสร้งทำหน้าเครียด
“ตกใจอะไรล่ะ นี่พี่ไม่คิดว่าผมจะมีแฟนบ้างหรอ ผมว่าผมก็น่ารักอยู่นะ” พูดเสร็จชางกยุนก็ยิ้มหวานพร้อมกับทำท่าทางน่ารักให้คนตรงหน้า
ไม่ต้องทำแบบนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าน่ารัก…
หัวใจจูฮอนเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วนะตอนนี้
“พี่จูฮอน เป็นไรอะ อย่าเอามือปิดหน้าสิ” ชางกยุนหัวเราะ พร้อมกับเอื้อมมือมาพยายามจะดึงมือจูฮอนออก
ให้ตายเหอะเขาจะบ้าตายกับความน่ารักของคนตรงหน้าแล้วจริงๆนะ
“อย่าปิดหน้าสิ ผมอยากมองหน้าพี่นะ”
จะไม่หยุดน่ารักจริงๆใช่ไหม ชางกยุน หัวใจพี่ทำงานหนักกว่านี้ไม่ไหวแล้วนะ
“โอเคๆ” จูฮอนพยายามทำตัวให้เป็นปกติก่อนจะเอามือออกจากหน้า ชางกยุนคงไม่สังเกตหรอกใช่ไหม ว่าตอนนี้หูของเขาน่ะแทบจะเป็นสีเดียวกับมะเขือเทศอยู่แล้ว
รออยู่สักพักอาหารทุกอย่างก็ถูกวางไว้บนโต๊ะ อาหารร้านนี้รสชาติดีอย่างที่ชางกยุนโม้ไว้นั่นแล้ะ จูฮอน
มองคนตัวเล็กกว่าตักอาหารเข้าปากอย่างจริงจังก็อดอมยิ้มไม่ได้ ชางกยุนน่ะ ไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับเขาเลยสักนิดเดียวตอนที่ทานอาหาร กลัวเขาจะไม่เชื่อหรือไงว่าอาหารร้านนี้น่ะอร่อยจริงๆ
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านนั้นเกือบชั่วโมงก่อนที่จะย้ายไปนั่งที่ร้านของหวานฝั่งตรงข้าม ชางกยุนดูมีความสุขไม่น้อยที่ได้กินนั่นกินนี่ จนโดนจูฮอนแซวไปเสียยกใหญ่
บ้านของชางกยุนอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ แต่บ้านของจูฮอนอยู่ไกลจากตรงนี้มากอยู่ พูดตรงๆก็คือคนละฝั่งกับที่ๆเขายืนอยู่ตอนนี้เลยแหละ เขาต้องนั่งเรือต่อเพื่อไปลงท่าเรือที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าแล้วนั่งต่อไปอีกเกือบสุดสาย
“พี่กลับบ้านเองถูกปะเนี่ย” คนตัวเล็กพูดขึ้นมาระหว่างทางเดินกลับไปยังท่าเรือ
“ถูกสิ มาได้ก็ต้องกลับได้”
“แน่ใจนะ?” ชางกยุนหันไปทำหน้าตากวนโอ๊ยใส่คนโตกว่า
“อืม ทำไมอะ จะไปส่งพี่ถึงบ้านก็ได้นะ แล้วพรุ่งนี้ไปม.พร้อมกันเลยก็ได้”
“ตลกละ”
“เอ่า ก็เห็นพูดเหมือนจะไปส่ง ให้ความหวังพี่เล่นหรอวะ”
“รีบกลับบ้านได้ละพี่อะ” ชางกยุนพูดก่อนจะตีหลังคนพี่เบาๆ
“ชางกยุน” จูฮอนเรียกชื่อคนข้างๆ ก่อนที่จะหยุดเดิน
“ว่า?” ชางกยุนขานรับพร้อมกับหันหน้าไปสบตากับคนโตกว่า
วันนี้ทั้งวันหลังจากที่เจอชางกยุน จูฮอนยังไม่เจอเรื่องซวยๆเลยสักวินาทีเดียว เขาไม่รู้ว่าตื่นมาวันพรุ่งนี้จะมีเรื่องซวยๆอะไรเกิดขึ้นกับเขาอีกรึป่าว แต่ตอนนี้ ตอนที่เขาเจอชางกยุน ได้รู้จักกับชางกยุน ได้ใช้เวลาอยู่กับชางกยุน แม้จะไม่ใช่เวลานานมากนัก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ถ้าเขาต้องตื่นมาเจอกับเเรื่องซวยๆอีก ชางกยุนจะเป็นความโชคดีที่ลบล้างความโชคร้ายของเขาให้หมดไปได้
ฟังดูเว่อไปหน่อยแต่นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้ เขามีความสุขมากจริงๆนะตอนที่ได้อยู่กับชางกยุน
“พี่ว่าหมอดูคนนี้เขาก็แอบแม่นอยู่นะ”
“หรอ ยังไงอะ”
“เขาบอกว่าพี่จะเจอผู้หญิงที่มาพร้อมกับโชคดีใช่ปะ”
“อื้อ”
“แต่พี่ว่าเขาบอกผิดไปหน่อย”
“...”
“พี่ว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนหรอก”
จูฮอนขยับตัวเข้าไปใกล้กับคนตรงหน้า ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของคนตัวเล็ก
“พี่ว่าน่าจะเป็นหนูนี่แหละ”
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in