อารยา พรปวีร์ รินรดา กิตติทัศน์ ธนวัฒน์ ณัฐนันท์...
ชื่อ คำเรียกที่บอกว่าเราเป็นใคร หรือ มาจากไหน ถิ่นดั้งเดิม ตระกูลก่อเกิดมาอย่างไร
ชื่อ ที่ถูกตั้งขึ้น ก่อนสติสัมปชัญญะของเราจะก่อเกิดเป็นรูปร่างเสียอีก
ชื่อ ประกอบสร้างจากหลายภาษาเกิดเป็นความหมายมากมาย และเพียงถ้อยคำไม่กี่คำก็ราวกับจะกำหนดไว้ซึ่งตัวตนของเราเรียบร้อยแล้ว
ฉันเองก็มีชื่อ
แต่ฟังดูอย่างไร ก็ไม่คุ้นชินหูเลยสักครั้ง
จำได้ว่า ใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งเลยกว่าที่ฉันจะนึกสงสัยว่าชื่อที่ใช้อยู่ประจำนั้น มีที่มาอย่างไร...
ในช่วงประถมศึกษา ครูมักจะอ่านชื่อฉันผิดเสมอ ไม่อ่านเสียงสระลดรูปบ้าง หรืออ่านสลับพยัญชนะบ้าง ยิ่งเมื่อชื่อแปลงเป็นภาษาอังกฤษอันสะกดยืดยาวออกไปเป็นเท่าตัว คำเรียกนั้นก็ฟังดูแปลกประหลาดจนน่าปวดใจ
หากในส่วนนามสกุลนั้น อ่านง่าย สะกดง่าย แต่ก็ถูกล้อโดยง่าย เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กน้อยในสมัยนั้นที่จะนำนามสกุลมาล้อเลียน และต้องยอมรับเลยว่าฉันอับอายในทุกครั้งที่ต้องเอ่ยนามเต็มยศของตัวเองออกมา ทำไมกันนะ ชื่อคนนั้นถึงไพเราะจัง นามสกุลคนนี้ดูดีมีชาติตระกูลสุดๆ ทำไมเราไม่มีชื่อเรียกอันสวยงามอย่างคนอื่นๆ
ทำไมฉันไม่เป็นเธอ ทำไมเธอไม่เป็นฉัน ทำไมฉันต้องเป็นฉัน...
มีหลายคำในภาษาที่เราสามารถคาดเดาความหมายออกได้จากรากศัพท์ต่างๆ และน่าจะเป็นเพราะ “ชื่อเธอแปลว่าอะไรหรอ” จากปากเด็กขี้สงสัยบางคน ในตอนที่ฉันไม่เคยคิดจะตั้งคำถามใดๆ ฉันจึงเริ่มตามหาความหมายของมัน แล้วไม่นานก็พบกับความจริงอันน่าผิดหวัง นอกจากชื่อจะไม่เพราะเหมือนคนอื่น ความหมายก็ยังธรรมดา แสนธรรมดา ไม่เลิศเลออะไรเลย ไม่มีความคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ที่มีลักษณะ งามตา ร่ำรวยทรัพย์สติปัญญา แข็งแกร่งแต่อย่างไร แม้จะให้ความหมายที่ไม่เหมือนใครอื่น แต่ก็ไม่ได้พิเศษโดดเด่น
ฉันรู้มาว่าญาติผู้ใหญ่ของฉันเป็นคนตั้งให้ ด้วยท่านมีความเชี่ยวชาญด้านภาษา และโดยเจตนาดีและรักใคร่ ฉันเชื่อเช่นนั้น ท่านจึงสร้างสรรค์ชื่อนี้ให้ในตอนที่ฉันเกิด แล้วจะว่าอย่างไรได้ล่ะ
ในตอนขึ้นมัธยม ครูอาจารย์ในโรงเรียนใหญ่มีความเชี่ยวชาญในการอ่านชื่อนักเรียนดียิ่งนัก และจดจำได้ดียิ่งกว่า เพียงเห็นหน้าจากชั้นเรียนไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียกตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ชื่อของฉันไม่โดนเรียกบ่อยนักหรอก ครูกวาดสายตาหาผู้โชคดีในรายชื่อกี่ครั้ง มันก็จะไม่ปรากฎโดดเด่นขึ้นมา ไม่มีหลักการอะไรแน่ชัดพอจะบอกหรอกว่าทำไม แต่เห็นจะนับเป็นข้อดีก็คราวนี้
แล้วเรื่องความหมายของชื่อก็จืดจางลง ราวกับสินค้าในอุตสาหกรรมโรงงาน เพราะมีชื่อมากมายเหลือเกิน เกินกว่าจะมานั่งให้ความสำคัญ ไม่มีการตามหาคำแปล ไม่มีใครสนใจมันจริงๆแล้ว ขนาดกระดาษข้อสอบยังบันทึกคะแนนในนามของเลขรหัสนักเรียนเลย
เมื่อเติบโต เราก็มีกิจกรรมหรือธุรกรรมมากขึ้น เราผ่านเข้าระบบต่างๆ ถูกตรวจสอบ และอ้างอิงด้วยชื่อ เรากลายเป็น หรือยังคงเป็นคน คนหนึ่ง คนเดิม ด้วยการประกอบกันของตัวอักษรชุดนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันมองเข้าในกระจกและเห็นภาพของตัวเองเต็มตา กระจกบานเดิมสะท้อนใครคนหนึ่งที่ต่างออกไป ชื่อที่เรียกขาน ดวงหน้าที่มองกลับมา และสุรเสียงที่ดังก้องอยู่ภายใน ราวกับไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กันเลย และราวกับเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ชื่อกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไกลห่าง และไร้ความหมาย เหตุใดฉันจึงมีชีวิตอยู่ในร่างกายรูปลักษณ์เช่นนี้ ภายใต้ชื่อนี้
แล้วถ้านี่.. เป็นของคนอื่นล่ะ
ฉันไม่เคยรู้สึกว่านั่นเป็นชื่อของฉันเลย มันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับฉันสักอย่าง เหมือนป้ายแปะสินค้าในอิเกียที่ไม่เคยบอกสรรพคุณ หรือวิธีใช้งาน หากฉันเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง ถึงเปลี่ยนชื่อไป ฉันก็ยังเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง ถูกไหม แต่คุณจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นอะไรถ้าได้ยินแต่ชื่อน่ะ
เรารู้จักและเรียกขานกันผ่านชื่อ ไม่ได้หมายความว่าเรารู้จัก ตัวตนภายในของอีกฝ่าย เรารู้จักชื่อและจดจำ เปลือกนอก ที่ได้รับการต่อเติมแต่งแต้มจากพันธุกรรม สภาวะแวดล้อม ค่านิยม บริบท เราไม่ทราบแน่ชัดถึงการเป็นตัวเองอีกแล้วนอกจากสิ่งที่สังคมกำหนดให้เราเป็น มันยึดโยงเราและไม่อาจแยกจาก เพื่อให้เป็นที่จดจำ มีตัวตน ดำรงและคงอยู่
ฉันคิดเล่นๆว่านี่อาจเป็นการเกิดขึ้นของนามปากกาก็ได้นะ อาจเป็นเศษหนึ่งส่วนใดของเรา ที่พยายามหาช่องทางเพื่อจะได้โลดแล่นอย่างเสรี แน่ละว่า ทุกคนอาจเปลี่ยนชื่อเรียก เมื่อเข้าสู่สังคมใหม่ เมื่อเข้าสู่วงการ ตามแต่ความสบายใจของบุคคล หากเฉกเช่นการรีแบรนด์ดิ้งตัวเอง เราเปิดโอกาสให้ภายนอกรู้จักกับเราอีกครั้ง มีภาพจำใหม่ แต่ก็มิอาจหลุดพ้นจากภาพจำนั้นได้มิใช่หรือ ทว่า นามปากกาของศิลปิน ไร้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นบุคคลนิรนามและไร้ซึ่งพันธะ เป็นตัวตนอีกด้านที่ไม่อาจเปิดเผยในนามของความปกติทั่วไป เป็นโอกาสในการแสดงออกอันเป็นอิสระ ผู้รับไม่อาจตัดสินคุณค่าของงานศิลปะใดๆโดยทันทีเพียงเพราะตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลไม่มีอยู่จริง เป็นผู้ที่เราสร้างขึ้น อย่างน้อยนามปากกาในความหมายของฉันเป็นเช่นนั้น
ในความเป็นจริงคงมีเหตุผลมากมายที่ศิลปินเลือกใช้นามปากกาให้เป็นผู้ถ่ายทอดผลงานต่างๆ และถึงแม้เราจะไม่อยากกำหนดชื่อใดๆขึ้นมาใหม่ เพราะอย่างไรมันเป็นเพียงสิ่งไร้ความหมาย แต่เราก็ไม่อาจได้รับการจดจำโดยปราศจากชื่อ ชื่อนำไปสู่การจัดเก็บในระบบความคิด ศิลปินบางท่าน มีหลายนามปากกาแตกต่างกันไปตามแขนง หมวดหมู่ผลงาน ล้วนสร้างสรรค์รายนามอย่างอิสระ พร้อมแสดงออกถึงตัวตนของเขาอย่างไร้ข้อผูกมัด ขยับขยายศักยภาพให้เกินกว่าที่ใครจะมากำหนด การมีนามปากกายังคงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง ที่แยกเราระหว่างตัวตนภายนอก กับตัวตนภายใน ไม่ให้เกิดการทำลายซึ่งกันและกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in