อีซราย่นหน้าเมื่อได้เห็นจำนวนสายที่ไม่ได้รับตั้งแต่เมื่อคืน แล้วปาโทรศัพท์ลงกับเตียง ไม่แยแสว่าตัวเครื่องจะกระดอนไปมุมไหน
ตั้งแต่เทมส์สติแตกพุ่งพรวดออกไปจากห้อง จนรอยแดงบนโหนกแก้มอีซราชัดเจนไม่ต้องเพ่งในกระจก จนผิวของเขาไม่เหลืิิิออุณหภูมิน้ำร้อนเกาะอยู่ และปอยเส้นผมน้ำตาลจากน้ำฝักบัวแห้งสนิท เขาไม่หายหงุดหงิด สัมผัสระบมตรงแก้มให้ความรู้สึกเหมือนมีกล้ามเนื้อเต้นตุ้บๆ ไปพร้อมกับในขมับ ซึ่งตัวเขาผู้ไม่มีความรู้กายวิภาคดีพอ อดคิดไม่ได้ว่ามันคือเส้นเลือดใหญ่กำลังเดือดปุด
เหมือนอย่างเสียงหัวใจของสองกาแล็กซี่อยู่ห่างกันกลับขยับเต้นจังหวะเดียวกัน และมนุษย์สาระแนพอจะเชื่อมโยงจังหวะนี้เข้าด้วยกัน ขมับที่เคยถูกจุมพิตปวดหนึบไปด้วยกันกับกรอบหน้าที่ถูกฟาดอย่างรุนแรง ขอบเครื่องโทรศัพท์ถลอกไปแล้ว อีซราไม่จำเป็นต้องถามว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา เขาเข้าใจความปรารถนาจะซัดเทมส์กลับ ณ เดี๋ยวนั้น ทว่าเจ้าตัวหายวับไปแล้ว ชายหนุ่มเจ้าของห้องได้แต่ก้มหยิบหนังสือโดยไม่มีซึ่งความคิดจะเปิดอ่าน หรือหาทางอื่นดึงดูดความสนใจตัวเอง ทุกอย่างที่เขาจับกลายเป็นการชั่งน้ำหนักว่าอะไรดีพอจะทุบกะโหลกเทมส์ให้แหกเปิดเพื่อเอาคืน และยิ่งเขาหัวเสียอยากตามไปห้องของอีกฝ่าย เพื่อกระชากคอเสื้อแล้วปีนขึ้นต่อยกลับบ้าง อีซรายิ่งเดือดดาล
เขาปาหนังสือใส่พื้นข้างเตียงตรงที่ทั้งสองนั่งคุยกันถึงเมื่อครู่ สอดเท้าสวมรองเท้าของตัวเอง หยิบเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับเสื้อผ้า ทำให้ตัวเองอุ่นพร้อมสำหรับข้างนอกมากกว่าชุดลำลองเตรียมนอนที่ใส่ตอนตามอิงการ์ดไปถึงเพนซิลเวเนีย
"ได้ยินโคล้กพูดกับแมเรียนว่าเห็นคุณเดินเข้ามา"
ไซมอนต์ทักพร้อมเดินเข้ามาในห้องจัดแสดงตัวอย่างหนังสือเก่า กรอบประตูไม้สวยงามสีอ่อนกลืนกับชั้นจัดแสดงปกหนังสือของสำนักพิมพ์ไซมอนต์เฮ้าส์ และกองหนังสือมีตำหนิที่สุมเป็นกำแพงอีกชั้นอยู่ด้านหลัง ส่วนอื่นของสำนักพิมพ์จัดแต่งด้วยเครื่องประดับตามเทศกาลหมดแล้ว ในที่สุด อีซราอดคิดไม่ได้ว่าที่นี่อาจจะเป็นสถานที่ซึ่งคริสต์มาสมาเยือนช้าที่สุดในนิวยอร์ก คริสแตร์เคยอธิบายไว้ว่าเพราะไซมอนต์ไม่ชอบจัดตกแต่งสถานที่ตามเทศกาลล่วงหน้านานๆ ตอนฮาโลวีนก็เป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพื่อปรับอารมณ์พนักงาน ไซมอนต์คงจะให้แต่งสำนักงานเช้าวันที่ยี่สิบสี่ แล้วเอาทุกอย่างลงในเย็นวันที่ยี่สิบหก หล่อนไม่ชอบกระทั่งการใส่หมวกซานตาครอสในคืนวันสิ้นปี เห็นว่าอย่างนั้น
แต่ในห้องนี้ก็ยังเป็นห้องเดียวที่ไม่มีของประดับตกแต่ง ปราศจากกระดาษสีเขียวแดง หรือหรีดระยิบระยับบิดเป็นเกลียว ไม่มีกระทั่งกระป๋องใส่ขนม และตอนฮาโลวีน ห้องนี้ก็เป็นเช่นนี้ ไซมอนต์ยืนกรานไม่ให้แต่ง บอกว่าเป็นธรรมเนียมตั้งแต่คุณปู่ของหล่อน ว่าห้องนี้จะมีแต่ปกหนังสือของไซมอนต์เฮ้าส์เท่านั้นที่เข้ามาแต่งเติม ไม่มีกาลเวลาของธรรมเนียมอื่นเข้ามาปนเปื้อน
มันถึงเหมาะเหลือเกินสำหรับอารมณ์ขุ่นหมองของอีซรา อย่างน้อยขาเขาก็คงสัมผัสได้แบบนั้นจึงพาเขามาที่นี่ "เป็นอย่างไรบ้างคะ หมอนั่นบอกว่าทริปไปบ้านญาติของคุณมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย เขาก่อเรื่องอะไรรึเปล่า"
"เขาไม่ได้บอกอะไรคุณมากกว่านั้นเลยเหรอ"
"ก็บอกเท่าที่จำเป็นแหละค่ะ ว่าพวกคุณสบายดี งานยังไม่คืบหน้า มีเรื่องประหลาดนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว พวกคุณปลอดภัยกันดีไม่ได้ประสบอุบัติเหตุอะไร -- แต่คงไม่ใช่แล้วมั้งคะ" ไซมอนต์จ้องมองรอยช้ำบนหน้าอีซราโดยไม่ปิดบัง
"นี่ -- เพิ่งบังเกิดตอนกลับมากันแล้วน่ะ เขาไม่ได้มารับรู้ด้วยหรอก" อีซราตอบคร่าวๆ
"ฉันคงต้องถามแล้วละว่าคุณหน้าช้ำแบบนั้นมาทำอะไรที่นี่"
"สงบสติอารมณ์ ผมฟุ้งซ่านกับเรื่องงานเขียนนั่นแหละ เวลามาเห็นงานของคนอื่น มัน..."
ทำให้เขาถ่อมตัว
"ดีจริง ถ้าคุณแบ่งส่วนนี้ให้จาร์ได้บ้างก็คงไม่เลวเท่าไร" ไซมอนต์กอดอก หันมองไปทางที่อีซรารู้ว่างานชิ้นหนึ่งของอิงการ์ดตั้งปกตระหง่านอวดตัวอยู่ทางนั้น และทำให้เขาเพิ่งสังเกตว่าเธอเกล้าผมประดับด้วยเครื่องประดับติดดอกคริสต์มาส ไซมอนต์เหมือนตัวละครโก้หรูในนิยายอมตะสำหรับเด็กสักเรื่องหนึ่ง เสื้อยัดชายเข้ากางเกงเอวสูงนั่นก็รีดเป็นอย่างดี ช่างตรงข้ามกับอีซราผู้ซึ่งตอนนี้รู้สึกไม่ต่างจากหน้ากระดาษยับๆ แผ่นหนึ่ง จวนจะหลุดจากสันกาว และเขาต้องการขยำก้อนกระดาษเหนียวๆ ยัดเข้าปากใครสักคน จะดีถ้าเป็นเทมส์
ข้อนิ้วยกขึ้นนวดระหว่างคิ้ว พยายาม พยายาม พยายามหยุดโมโห
"อีซรา"
เขาลดมือลงทันทีที่เธอเรียก เงยหน้าขึ้น
"มีอะไรหรือเปล่า"
"ผม..." เขาปิดตาลง พรูลมหายใจออก แล้วลืมตาขึ้น ไซมอนต์ยังรออยู่ "อยากเปลี่ยนกลุ่ม ไม่รู้สิ"
"เพราะอะไรคะ"
"ทำไมผมถึงอยู่กลุ่มนี้แต่แรกล่ะ -- อันที่จริง ทำไมผมถึงผ่านเข้าคอร์สแต่แรกน่ะ เพราะอิงการ์ดเหรอ"
เธอเลิกคิ้ว "จาร์คทำไม" และน้ำเสียงนั้นบอกว่านี่คือโอกาสให้เขาเรียบเรียงคำถามให้ดี หรือถอนคำถามทิ้งไปก่อนจะดูถูกไซมอนต์เฮ้าส์กับเครน ไซมอนต์เข้า อีซราชะงักตามสัญญาณเตือน ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีแววตาดักคอว่าอย่าให้ความไม่มั่นใจของตนเองไปดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้อื่นมองมาทางเขา คริสแตร์มักจะใช้สายตาแบบนี้กวาดมองคนในกลุ่ม ยามพวกเขารับฟังคำติชมของเจ้าหล่อน แล้วทำท่าอิดออดไม่อยากยอมรับ เขากับเทมส์ที่มักจะปัดทุกอย่างทิ้งด้วยท่าทีไม่จริงจังมักจะถูกมองบ่อยสุด
เขา กับเทมส์
"ด้วยความเคารพนะ คุณโกลด์สก็อต การเป็นนักเขียนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ถ้าคุณเขียน คุณก็เป็นนักเขียน ไม่จำเป็นต้องมีงานดังระดับโลก หรือมีคนอ่านสักคนชีวิตเปลี่ยนเพราะงานของคุณไหม ไม่ต้องวัดกันที่งานของคุณเคยได้แปลเป็นภาษารึไม่ กี่ภาษา ไม่สำคัญว่าคุณเขียนจบสักเรื่องยาวหรือเรื่องสั้น ไม่เกี่ยวกันว่าคุณยังชีพหรือร่ำรวยด้วยงานเขียนหรือเปล่า ฉันคิดถึงตัวเองที่เดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีอยู่จริง แสงแดดและใบไม้สมบูรณ์แบบ อบอุ่นและสะอาดสะอ้าน อุดมดินแต่ไร้ฝุ่น ฉันจินตนาการว่าทางนั้นเต็มไปด้วยกระดาษสีและลายมือของเด็ก ฉันคิดถึงถ้อยคำงดงามที่อยู่ตรงนั้น มุมมองของเด็กที่ไร้เดียงสาแต่ประพันธ์งานได้ดีจับใจ แล้วฉันจะคิดถึงตัวเลือกระหว่างบอกไว้แค่นั้น ว่ามันเป็นข้อความที่ดีและผุดผ่อง หรือฉันจะแต่งข้อความที่ว่าขึ้นเองด้วย โดยไม่รู้เลยว่ามันจะออกมาจับใจในสายตาคนอื่นไหม ว่าเด็กที่ฉันคิดขึ้นมาเอง ควรจะมีศักยภาพเขียนอะไรขนาดไหนจึงสมเป็นเด็ก การเป็นนักเขียนไม่ยากเลย อีซรา การเป็นนักเขียนที่รู้ว่าตัวเองเขียนอะไรอยู่ต่างหาก ที่ยากมาก ซึ่งคุณจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าคุณไม่เริ่มจากเป็นนักเขียนสักนิดเสียก่อน ความภาคภูมิใจไม่อาจเป็นยอดผู้อ่านหรือเงิน แต่ความภาคภูมิใจก็ไม่อาจทำลายแป้นพิมพ์รึเผาต้นฉบับได้ดีอย่างมือของมนุษย์เหมือนกัน เก็บมันไว้ไม่ว่ามันจะสมบูรณ์หรือดูไม่ได้ แปะยับด้วยสก็อตเทป ความเป็นนักเขียนของคุณก็ไม่สูญหายไป"
ไซมอนต์วาดมือเข้ามาหากัน ถูไปมาเพราะห้องนี้ค่อนข้างเย็นกว่าส่วนอื่นของตึก "ในส่วนว่าแล้วทำไมคุณถึงมาอยู่กลุ่มนี้ ฉันกับแมเรียนจัดกลุ่มด้วยกัน เราแบ่งกลุ่มโดยไม่ได้สนอายุค่ะ เราจัดโดยปรึกษากันว่าคิดว่าคนไหนอยู่กลุ่มไหนแล้วจะมีอิทธิพลดีต่อกันที่สุด ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่ากลุ่มของคุณมีปัญหาคล้ายกันเยอะ แล้วพวกคุณจะได้อิทธิพลดีๆ จากคนอย่างโคล้ก"
เรมอนด์ โคล้กเป็นคนเดียวในการสมัครคอร์สนี้ที่เขียนแฟนฟิคมาส่ง ทุกวันนี้เอง ชายชราวัย คุณตาของกลุ่มอีซราก็ยังนั่งปรึกษาเรื่องแฟนฟิคเชอร์ล็อค โฮล์มส์ตอนใหม่กับคริสแตร์อย่างสนุกสนาน โคล้กสูงชะลูด ชอบเดินไปมา ไม่ค่อยถูกกับญาติพี่น้องที่ยังเหลืออยู่จึงชอบมาใช้เวลาที่สำนักพิมพ์ ซึ่งคนของไซมอนต์เฮ้าส์ก็ค่อนข้างชอบเขาถึงขั้นเปิดบัญชี TikTok ลงวิดีโอด้วยกันประจำ แกชอบแต่งตัว ผมขาวสว่างจ้าตัดกับผิวสีน้ำตาลดำเข้ม อีซรายังทราบอีกด้วยว่าบัญชี AO3 ของโคล้กชื่อว่าอะไร และแกเขียนแต่แฟนฟิคเชอร์ล็อค โฮล์มส์จริงๆ คริสแตร์ประเมินว่าน่าจะรวมเล่มได้สักสิบห้าเล่มแล้ว
"อา ผมก็เห็นหรอกว่าเขาเขียนสนุกมาก แถมเขียนไม่หยุดด้วย"
"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ ที่ฉันมองแบบนี้ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เขียนงานแบบเดียวกับงานที่ส่งมาสมัครแต่แรกน่ะ"
"เอ๋"
"คุณจำได้ไหมคุณส่งงานอะไรมาสมัคร"
อีซรากระแอม "จำได้สิ"
"แล้วคุณได้กลับไปแตะงานชิ้นนั้นอีกไหม"
เขาอ้ำอึ้ง และเท่านั้นไซมอนต์ก็ได้คำตอบแล้ว "หลายคนเอาเรื่องได้มาเข้ามาเป็นนักเขียนของที่นี่ เป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นใหม่บ้าง การเป็นนักเขียนอย่างเป็นทางการบ้าง ฉันไม่ว่าอะไรเรื่องนั้นหรอกค่ะ เป็นเกียรติด้วยซ้ำ แต่คนในกลุ่มของคุณ รวมถึงตัวคุณเอง ทุกคนนอกจากโคล้กแล้วไม่มีใครเอางานที่สมัครมาไปเขียนต่อเลยสักคนเดียว พวกคุณทุกคนเปลี่ยนแนวงานที่เขียนไปโดยสิ้นเชิงด้วยซ้ำ อีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนเขียนงานที่ส่งมาต่ออยู่พักหนึ่ง ทยอยเลิก ไปเริ่มงานใหม่หลายคนก็จริง แต่สารัตถะของสิ่งที่ฉันอยากให้ไซมอนต์เฮ้าส์เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาไม่ใช่เรื่องนี้ ไม่เหมือนพวกคุณ"
"แม้แต่เจสันด้วยเหรอ"
"เจสัน เทมส์เหรอคะ ใช่สิคะ ยังมีเค้าแฟนตาซีอยู่ก็จริง แต่ก็แค่นั้นแหละค่ะ สไตล์ส่วนอื่นไม่เหลือเค้าเดิมเลย อย่างน้อยก็ไม่มีตรงไหนเหลือเค้าความเป็นวรรณกรรมเยาวชนอยู่สักนิดเดียว"
"เหอ" เสียงอุทานหลุดจากปากในทันที "หมอนั่นเขียนแนววรรณกรรมเยาวชนมาสมัครงั้นเหรอ ไม่สิ หมอนั่นเขียนเป็นต้นฉบับกับเขาด้วยเหรอ หกเดือนมานี่หมอนั่นเอาแต่แต่งเติมรายละเอียดโลก ผมนึกว่าหมอนั่นส่งประวัติศาสตร์โลกแฟนตาซีใต้น้ำอะไรนั่นมาสมัคร"
"ไม่ให้อ่านหรอกนะคะ" เธอขัด "เพราะพวกคุณทุกคนต้องเอาไซมอนต์เฮ้าส์และตัวฉันไปสับละเทะแน่นอน ถ้าฉันเอางานที่คุณส่งมาสมัครเข้าคอร์สไปเปิดเผยกับคนอื่น ไปขอเขาเองเถอะ"
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสนทนาพาทีใดๆ กับเทมส์ตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มกำหมัด "ไม่...ดีกว่า"
ส้นรองเท้าของไซมอนต์กระทบพื้น อีซรารีบโพล่งทวง "คุณยังไม่ได้บอกอยู่ดีว่าทำไมผมถึงผ่าน"
"เพราะฉันชอบงานที่คุณส่งมาสมัครไงคะ"
"แค่นั้นเองเหรอ"
หญิงสาวเลิกคิ้ว "ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ ไม่สิ ถ้ามี จะดีพอในที่สุดเหรอคะ"
สองมือล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อนอก อีซราถอนหายใจยอมแพ้ หลุบตามองพื้นครู่หนึ่ง เขาประหลาดใจที่ยังไม่ได้ยินเสียงหล่อนเดินต่อ จึงเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง เครน ไซมอนต์ยังยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงประตู รายล้อมด้วยผลงานนักเขียนนับสิบนับร้อย จากงานล่าสุด ย้อนไปถึงงานสมัยก่อนทั้งเธอและเขาจะเกิด นักเขียนมากมายสติแตกขวัญกระเจิง เกลียดงานตัวเองมาก่อนเขา และหลังจากนี้ตลอดไปก็จะยังลงเอยอีหรอบเดิมทั้งนั้น ไซมอนต์ถึงประกายตาระยิบระยับ ปากอมยิ้มรู้ทัน "โครงการนี้เป็นโครงการที่ฉันสัญญากับคนรู้จักเอาไว้ เขาจะเป็นนักเขียนอย่างที่ใฝ่ฝัน ฉันจะรับพิจารณางานของเขาจนกว่าจะผ่านมาตรฐานของไซมอนต์เฮ้าส์"
"จาร์คน่ะเหรอ"
"ฉันไม่มีวันทำอะไรขนาดนี้เพื่อหมอนั่นหรอกนะ" ไซมอนต์ปฏิเสธฉับ ทั้งยังเขม่นใส่ชื่อนั้น ท่าทางเหม็นเบื่อเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตนเต็มกลืน กระนั้นก็ติดแหง็กอยู่ด้วยกันไม่มีทางเปลี่ยนได้ "คนที่ว่า เรารู้จักกันจากเว็บบอร์ดนักเขียน สมัยที่ปู่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นฉันไม่คิดเรื่องดูแลไซมอนต์เฮ้าส์ด้วยซ้ำ เขาเป็นนักอ่านที่ขยันอ่านแล้วก็คอยคอมเมนต์เหลือเกิน แต่เนื้อหาคอมเมนต์ของเขา อ่านสองรึสามอันก็รู้แล้วว่าเขาแค่อยากให้กำลังใจคนอื่นไปทั่ว ตอนนั้นฉันอีโก้จัด"
"หมายความว่าไงนะ ตรงนั้น"
"ฉันดีเอ็มไปบอกให้เขาหยุด เพราะฉันคิดว่าความเห็นแบบเขามันไม่มีประโยชน์ คนอื่นในเว็บบอร์ด โดยเฉพาะพวกที่ไม่มีใครอื่นอ่านงานเลย ไล่ดูความเห็นเขาสักหน่อยก็จับได้แล้วว่าเขาแค่แจกคำชมไปทั่วเพราะสงสาร"
อีซราถึงขั้นต้องยกมือกุมปาก
"เขาด่าฉันกลับ ก็แน่ละ แล้วเราก็ด่ากันอยู่ในนั้นเป็นอาทิตย์เลย จากโมโห กลายเป็นฉันเริ่มสนใจที่มาที่ไปของเขา แล้วเขาก็ตอบทุกอย่างที่ฉันถาม เหมือนเขาไม่โกรธอะไรฉันเลย เราเริ่มคุยเรื่องอื่นกันแทน จนฉันรู้ว่าเขาก็อยากเป็นนักเขียนเหมือนกัน แต่ไม่เคยกล้าเขียนอะไรสักอย่าง ฉันเลยบอกว่าถ้าเขาเขียนอะไรแล้วก็ส่งมาให้ฉัน กี่ครั้งก็ได้ ถ้ามันดีเมื่อไร ฉันจะเอาให้ปู่...แล้วถ้าปู่เห็นด้วยว่าจะตีพิมพ์ ฉันจะดูแลไซมอนต์เฮ้าส์"
"อ้าว แต่คุณบอกว่า --"
"เราขาดการติดต่อกันก่อนปู่ฉันจะเสียอีก เขาไม่เคยส่งอะไรมา แล้วพอปู่ฉันเสีย ฉันก็ต้องคิดเองว่าจะดูแลที่นี่ต่อไหม ซึ่งสุดท้ายฉันก็ทำน่ะนะ บางทีก็คงยุติธรรมแล้วที่ฉันไม่มีโอกาสเอาคนอื่นมาเกี่ยวกับการตัดสินใจใหญ่ๆ แบบนี้ แต่ฉันก็ยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่เรื่อย พอปรึกษากับแมเรียน มันเลยกลายเป็นโครงการนี้ขึ้นมา พวกเราจะช่วยเหลือดูแลนักเขียนและผลงานพวกเขาตั้งแต่ก่อนเสร็จ พวกเราจะปั้นนักเขียนคู่สำนักพิมพ์ของตัวเองโดยไม่ต้องผ่านตัวแทนนักเขียน เพราะฉันอยากรู้อยู่ดีว่า นักเขียนที่รู้ว่ามีสำนักพิมพ์อยู่ข้างหลังพวกเขาจะเปลี่ยนไปไหม"
"แล้วถ้าเขาคนนั้นอยู่ในกลุ่มนี้แล้วล่ะ"
"ก็ดีน่ะสิ ถามแปลกๆ"
เป็นเรื่องปกติที่คนสนิทกับคนทำงานสำนักพิมพ์จะไม่นิยมชมชอบระบบตัวแทนนักเขียนสักเท่าไร แต่อีซราไม่คิดว่าทุกคนจะชังถึงขั้นลุกมาตั้งโครงการสักโครงการเพื่อตัดตัวแทนนักเขียนออกไปจากกระบวนการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสำนักพิมพ์เล็กที่เปิดรับต้นฉบับโดยไม่ต้องมีตัวแทน งานชิ้นเดียวของเขาเองก็ตีพิมพ์ทางนั้น และตอนนี้ไซมอนต์มีนักเขียนเกือบยี่สิบคนที่สำนักพิมพ์ของหล่อนสัญญาว่าจะต้องช่วยให้พวกเขามีงานเขียนของแต่ละคนเองตีพิมพ์กับไซมอนต์เฮ้าส์ให้ได้ ทว่าพวกเขาไม่มีสัญญากระทั่งกำหนดระยะเวลา หรือจำนวนเงินใดๆ ที่ต้องจ่ายทางสำนักพิมพ์ไว้ค้ำประกันด้วยซ้ำ ว่าพวกเขาจะมีผลิตงานมาตรงตามเป้าหมายของเครน ไซมอนต์
"ไปเขียนงานของคุณไป"
ดังนั้นเมื่อหล่อนบอกเขาเช่นนั้น อีซราไม่มีทางตอบอะไรอื่นเลยนอกจากขานรับ
ในห้องปกหนังสือ ไซมอนต์ปล่อยอีซราไว้ตามลำพัง ชายหนุ่มตั้งใจชื่นชมยลมองปกงานทั้งหลายให้มากขึ้น สูดอากาศเย็นติดปลายจมูกในห้องเงียบๆ ความหงุดหงิดบางลง ไม่ใช่แค่เพราะนี่ก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่การได้คุยกับคนอื่นในเรื่องอื่นบ้างก็ช่วยเจือจางอาการขุ่นหมองของอีซราไปกว่าครึ่ง เขาปลอดโปร่งคล้ายเพิ่งนึกออกว่าเจสัน เทมส์มีอย่างอื่นมากกว่า 'หมอนั่นเป็นบ้าอะไรของมัน' ให้พิจารณา นอกจากนอนด้วยกันและพูดจากวนประสาทกัน เจสันคือคนที่เขามักจะหันไปมองหน้าด้วยตอนล้อมวงฟังคริสแตร์วิจารณ์งาน ยกศอกถองตัดมุกกัน ทำตัวไร้สาระไม่น่าคาดหวังด้วยกันในขณะที่คนอื่นในกลุ่มจริงจังเรื่องเป็นนักเขียนอาชีพชื่อดังกว่าพวกเขาสองคนมากนัก
อีซราตัดสินใจเดินขึ้นชั้นสองไปตามหาตัวโคล้กดู
เขาตะลึงไปนิดหน่อยเมื่อเห็นโคล้กนั่งค้ำไม้เท้าอยู่บนเบาะไร้พนักชั้นสอง ข้างหลังมีทั้งหมวกกันน็อค ส่วนตัวแกก็แต่งชุดหนัง รองเท้าบู๊ตหนา แว่นตากันแดดเสียบอกเสื้อ
"ใช่ วันนี้ฉันขี่มอเตอร์ไซค์มา" คุณตาเรมอนด์ตอบ "หน้าเธอไปโดนอะไรมาน่ะ"
"ผมเดินชนเจสัน"
คิ้วดกสีดอกเลาเลิกขึ้นสูง "โดยเต็มใจรึ"
อีซราเบ้ปาก ส่ายหัวกับตัวเอง โคล้กใช้ไม้เท้ายันตัวเองขึ้นยืน สะบัดเสื้อหนังดำแล้วเริ่มสอดแขนทีละข้าง พลางฝากให้ชายหนุ่มช่วยถือหมวกกันน็อคให้หน่อย ตอนขึ้น พวกเขาใช้บันได แต่โคล้กเดินนำไปลิฟต์ขนของอย่างไม่ลังเล เล่าว่าตนเคยล้มขาลงมากกว่าขาขึ้น "ทะเลาะกันหรือว่ายังไง อีซรา"
"มั้ง" อีซรายิ่งไม่แน่ใจเข้าไปทุกที "คุณเป็นคุณตานี่ คุณบรรลุชีวิตแล้วใช่ไหม โคล้ก คุณเข้าใจคนอย่างเจสันได้หรือเปล่า"
"ถ้าเธออยากระบายมากกว่าได้คำตอบกระชับๆ เธอต้องเล่าให้มากกว่านี้"
และอีซราก็เล่าถึงอาการพิลึกพิลั่นของเทมส์ในห้องของเขาก่อนหน้านี้ ระหว่างทางเดินไปส่งโคล้กขึ้นรถ นั่นคือมอเตอร์ไซค์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้อาจจะดูยาวกว่ามอเตอร์ไซค์ทั่วไปที่เคยเห็นจนชินตา โคล้กหดไม้เท้าเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ถดขึ้นนั่งบนเบาะยานพาหนะสองล้ออย่างไม่รีบร้อน ใส่ถุงมือขณะฟังอีซรา แกไม่ทำพวกเสียง 'อืม' หรือ 'อ่าฮะ' ให้คนพูดคอยเชื่อว่ายังฟังอยู่ อีซราเตรียมใจว่าอย่าว่าอะไรเลย ถ้าโคล้กจะบึ่งเครื่องออกไปเมื่อเตรียมตัวเสร็จ หวังแค่แกจะไม่ลืมหมวกกันน็อค
แต่โคล้กไม่ได้ไปไหน แค่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นเก้าอี้แทนเบาะในสำนักงานอุ่นๆ "เจสันเหรอ ฉันคิดว่าเขาก็คงมีความไม่มั่นใจในแบบฉบับของตัวเองเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่านั่นดีพอสำหรับเรื่องนี้หรอกนะ" มือที่สวมถุงมือแล้วกระดกนิ้วขึ้นชี้รอยบนหน้าคนอายุน้อยกว่า อีซราพลอยยกมือขึ้นถูผิวตัวเองราวกับนั่นจะช่วยลบรอยช้ำไปได้
"แล้วอะไรถึงจะดีพอเหรอ สามสิบมิสคอลก็ดูหนักหนาอยู่นะ"
"หนักหนาสำหรับใครล่ะ" ชายแก่ถามสวน "ตลอดมาฉันก็คิดหรอกว่าพวกเธอคั่วกันอยู่ คนอื่นก็เดาทางนั้นกันทั้งนั้น ถ้าจะให้พูดตามตรง การที่พวกเธอทะเลาะกันเรื่องงานเขียนแทนก็ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เขาอิจฉาเธอในฐานะคนเขียนมากกว่าในฐานะคนรัก นั่นทำให้เธอรู้สึกยังไงรึ"
"หงุดหงิด" อีซรากอดอก ส่วนหนึ่งเพราะอากาศเย็น "ผมอยากบีบคอหมอนั่นเป็นบ้า หมอนั่นเห็นผมเป็นอะไร คิดว่าผมจะไม่มีวันเขียนงานเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนตัวเองรึไง--"
"อาจจะไม่คิด แต่หวังไว้อย่างนั้นอยู่บ้าง ว่าเธอจะเป็นแบบนั้นโดยที่เขาไม่ต้องพูดรึทำอะไรแบบนี้"
เขาถามตัวเองว่าควรเห็นด้วยหรือปกป้องลักษณะนิสัยของเทมส์ตรงนี้บ้าง
โคล้กเอาหมวกกันน็อคไป "ฉันส่งสมัครเข้าคอร์สของที่นี่ขำๆ เหมือนกันในตอนแรก เพราะใครจะไปคิดล่ะว่าพวกเขาจะรับคนที่ส่งแฟนฟิค แฟนฟิค! งานเขียนที่ไม่มีใครอยากถือเป็นจริงเป็นจังที่สุดแล้ว! มาจริงจังกับตัวละครของคนอื่นจนเขียนเรื่องใหม่ทั้งเรื่องอยู่ทำไม แทนที่จะไปเขียนงานของตัวเอง?! นักเขียนคนนั้นเคยเขียนแฟนฟิคมาก่อน! เขาเคยมีช่วงเวลาไม่จริงจังกับงานเขียนขนาดนั้นจนเอาเวลาไปผลาญให้งานคนอื่นด้วยแน่ะ ช่างเป็นกันเองจริงๆ จริงไหม? แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น ในเมื่อตัวละครของตัวเองไม่ทำให้ฉันอยากเขียน แต่ฉันมีเรื่อง มีคดี มีเหตุการณ์พวกนี้เต็มไปหมดในหัว แล้วมันเป็นของที่ฉันอยากจะมอบให้ตัวละครนี้ สำคัญด้วยเหรอว่ามันเป็นตัวละครของคนอื่น ฉันไม่ได้อยากขโมยตัวละครพวกนั้นมา ฉันไม่ได้อิจฉาดอยล์ ไม่ได้อยากเป็นดอยล์เสียเอง ฉันต้องการให้ทุกคนแน่ใจที่สุด ว่านี่คือตัวละครของเขา ของคนอื่น! และจงรู้ไว้ด้วยว่าฉันอ่านตัวละครนี้ซ้ำไปมาไม่จบไม่สิ้น ไม่เคยเบื่อหน่าย! ฉันคิดถึงพวกเขาใช้เวลาวันๆ เจอเหตุการณ์พิศดารที่ฉันไม่อยากเจอเอง แต่มองว่าน่าสนุกแทนฉัน! พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน เป็นครอบครัวของฉัน แต่เธอคิดว่าทุกคนคิดแบบนั้นไหม ไม่หรอก มีคนที่ระวังตัวยิ่งกว่านี้ไหม มีสิ คนบางคนก็มีความไม่มั่นใจตัวเอง แล้วไม่ได้ต้องการจะมั่นใจขึ้นมา แค่อยากให้คนอื่นไม่มั่นใจอยู่ด้วยกัน เธอต้องเลือกเองจะเป็นแบบนั้นอยู่เป็นเพื่อนเขา หรือเธอจะเปลี่ยน จะทางไหน เธอกับเขาก็ใกล้ชิดกันเกินจะตัดสินใจโดยไม่บอกกัน"
อีซราจับรอยช้ำอีกครั้งหนึ่ง แตะด้วยหลังนิ้วตัวเอง "เขาพยายามลงโทษผมเหรอ"
"ไม่ เขาอาละวาด เขาชวนเธอทะเลาะ จะเพื่อนรึคนรักก็ล้วนเคยเลิกคบกันด้วยเรื่องเบากว่านี้ ดังนั้นเธอต้องถามตัวเองว่าต้องการอะไรจากวันนี้ไป"
เสียงรถวิ่งแล่นข้างนอกแว่วมาพร้อมเสียงของตัวเมือง อีซรามองออกไปยังป่าคอนกรีตนิวยอร์ก ป้ายโฆษณา แสงไฟที่เริ่มเด่นต้านแสงตะวันที่หรี่สลัวลงทีละนิด ไอเย็นชัดเจน ความหนาวเหน็บก็ยิ่งชัด จมูกพวกเขาขึ้นสีระเรื่อ ผิวรอบๆ ซีดลง โดยเฉพาะตรงปากแห้งผาก
"ผมอยากแก้งาน -- ที่ผมกำลังเขียนกับจาร์ค"
โคล้กโยกหัว บุ้ยไปทางด้านหลัง "งั้นไปนั่งรถเล่นกับตาแก่หน่อยไหม"
"อากาศเย็นมากเลยนะ คุณตา"
"เธอคิดว่าทำไมไอเดียถึงมาตอนเข้าห้องน้ำล่ะ เพราะนั่นเป็นส่วนที่เย็นที่สุดในบ้านไง มันทำให้พวกเรานึกถึงทะเล"
แล้วแกก็บอกว่า ความคิดสร้างสรรค์ครึ่งหนึ่งมาจากทะเล อีกครึ่งมาจากพายุ จากนั้นก็รีบจองว่าจะเอาประโยคนี้ไปใส่ในแฟนฟิคของตัวเอง ห้ามอีซราเอาไปใช้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in