เหนือขบวนแก้วโมฮิโตสิบห้าแก้วสำหรับกลุ่มฉลองสละโสด เทมส์โบกกระดาษแผ่นเล็กไปมา “อะไร” อีซราขยับปากถามแล้วนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เขารีบกลับมาก่อนเด็กนักศึกษาตัวแสบสักกลุ่มจะเนียนปีนข้ามบาร์ไปอัดเบียร์เติมลงแก้วกันเอง เทมส์นั่งตรงเก้าอี้ริมสุด นิ้วคีบกระดาษแผ่นเดิมรอเขาอยู่ นาฬิกาด้านหลังบอกเวลาห้าทุ่ม ทุกอย่างโหวกเหวก นั่นอธิบายว่าทำไมเทมส์ไม่พยายามตะโกนแข่งกับเสียงในร้าน เพียงปล่อยให้อีซรารับกระดาษไปเปิดอ่านเอง
บาร์เทนเดอร์ตบกระดาษปิดแทบทันที “ถามจริง”
เจสัน เทมส์รีบยกมือปราม “โอ ยอดรัก” คนหลังบาร์พ่นขำเยาะ ไม่เชื่อ “แต่หล่อนเปรียบดั่งเจ้าชีวิต อย่าฆ่ากันด้วยการให้ข้าหยามนาง ด้วยการไม่รับฟังบัญชาเลย”
“หวังว่างานของนายใช้ภาษาปัจจุบันนะ”
“เลี้ยงฉันสักแก้วก่อน แล้วจะสัญญา”
เขาเทน้ำอัดลมไม่ใส่น้ำแข็งให้
“ด้วยความปรารถนาดีนะ กีเดียน”
“อีซรา”
“กีเดียนเข้ากับนายกว่าตั้งเยอะ ดูแขนนายตอนแบกสองถาดนั่นข้ามห้องไปสิ” รอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยประดับหน้าหล่อเหลา เจ้าตัวก็ตระหนักดีว่าตนตอบสนองความคาดหวังด้านความงามนี้ “ด้วยความปรารถนาดีนะ คุณโกลด์สก็อต แต่เอาทัศนคตินี้ไปใช้กับพวกไซมอนต์ให้จบๆ เถอะ อย่ามาพาลกับแฟนคลับของคุณสิครับ เจ้าหล่อนก็ให้เบอร์มาแล้วนี่ไง”
“นายเนี่ยนะ แฟนคลับฉัน”
“ฉันไง ฉัน”
อีซราส่ายหน้า เขาต้องไปชงเหล้าให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ เมื่อแวะกลับมาดู เทมส์ยังจิบน้ำอัดลมไม่หมด ฟองในแก้วนิ่งงัน ในแสงของร้านแล้วดูคล้ายกาแฟ
“กลับไปได้แล้ว เจสัน”
“ไม่เป็นไรน่า”
“พรุ่งนี้ไม่มีงานรึไง”
“อยากคุยกับคุณอีซรา กีเดียน โกลด์สก็อต”
อีซราผายมือไปยังลูกค้าทั่วร้าน
“กลับมาหาฉันอีกทีตอนไม่มีคนก็ได้”
นั่นปาเข้าไปตีสามครึ่ง เทมส์สั่งเหล้าและกับแกล้มจากบริกรตอนเขาต้องไปชงเหล้าอีกฟากบาร์ พลางเล่นโทรศัพท์มือถือรอ มีคนมาจีบสองถึงสามรายเท่าที่อีซราทันสังเกตเห็น ซึ่งเทมส์เย้าแหย่ตอบจนกระทั่งคนแปลกหน้าชวนไปที่อื่น เขาแสดงความตั้งใจที่ให้ความรู้สึกคล้ายการเอกเขนกนอนมากกว่ามุ่งมั่น ว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้น รออีซราเก็บทิปส์ลงกระเป๋าผ้ากันเปื้อน แล้วเดินกลับไปหา
“เอาจริง? พรุ่งนี้นายต้องตื่นกี่โมง”
“ใจเย็น พอดีไปรู้มาว่าพรุ่งนี้บริษัทมีซ้อมหนีไฟ ฉันเลยตั้งใจจะแกล้งทำเป็นเมาค้างจนตื่นไปไม่ทัน แล้วค่อยโผล่ไปแจมตอนบ่ายอยู่แล้ว ผู้จัดการไม่ว่าหรอกเวลาเป็นวันซ้อมหนีไฟ”
“วันนี้แมเรียนถลกหนังจนไม่อยากกลับไปนอนซับน้ำตารึไง” หัวรองเท้านุ่มสุดเท่าที่อีซรามีเงินซื้อเกี่ยวเก้าอี้สามขามานั่ง
น้ำหนักย้ายไปตรงก้นบนเก้าอี้แทน แล้วเขาก็นึกออกเสียทีว่าความรู้สึกเวลาเท้าไม่แข็งเป็นเช่นไร
“พวกเราอาจจะเหมือนขวดน้ำกว่าที่คิดก็ได้นะ พอตะแคงแล้วน้ำก็ไหลออกมา น้ำตาคือเวลาพวกเราปิดฝาไม่ดี”
“สรุปว่า ความเศร้าไม่ได้ทำให้ร้องไห้ แต่ทำให้ดวงตาพวกเราจะหลุด”
“น้ำเลยรั่ว”
“นั่นจดอยู่เรอะ”
“มันอาจจะใช้กับนิยายของฉันได้ก็ได้”
“ตัวละครนายอยู่ในน้ำนะ”
“ไม่ตลอดทั้งเรื่องสักหน่อย ใครมันจะทนบรรยายฉากใต้น้ำได้ตลอด เงือกยังขึ้นมาบนน้ำเพื่อให้มีเรื่องราวเลย” เทมส์ฟุบหน้าลงกับท่อนแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างยกขึ้นแบ บอกยากว่าเมาหรือง่วง “จูบฉันที”
“เอ๊อะเออ อยู่ระหว่างงาน ขนาดเหล้าฉันยังไม่ดื่มเลย”
“นั่นเป็นการบอกว่า ถ้าเลือกระหว่างดื่มเหล้ากับจูบฉัน”
“ใช่ เจสัน ฉันจะเลือกดื่มเหล้า”
“นายแม่งห่วยเป็นบ้า” ทั้งที่บ่นแบบนั้น ปากเทมส์ตอนเจ้าตัวโงกลับขึ้นมาดันหัวเราะ “ไปเลย พวก ไปเขียนหนังสือกับคนดังพวกนั้นเลย ฉันจะลาออกจากคอร์ส คนที่เคยเห็นจู๋ฉันมาแล้วไม่รักฉัน”
“เคยถามตัวเองบ้างไหมว่ามันเป็นเหตุของกันและกันหรือเปล่า”
“ฉันบอกแล้วให้เอานิสัยส่วนนี้ของนายไปใช้กับพวกบรรณาธิการ ถ้านายอยากให้พวกเขาเลิกตื๊อ”
อีซราไหวไหล่ เขาปลีกตัวไปล้างแก้ว
เสียงดนตรีในร้านตอนนี้ไม่ยากเกินจะคุยกันขณะมีระยะห่างประมาณหนึ่ง พวกบริกรคนอื่นไม่สนใจหรอก ทุกคนเริ่มสำรวจสภาพลูกค้าที่ยังอยู่ในร้าน เก็บโต๊ะ
“ฉันไม่ได้อยากให้พวกเขาเลิกตื๊อ” อีซราฉีดน้ำใส่แก้วเบียร์ทรงสูง “ฉันแค่อยากให้เขาตื๊อเรื่องที่สมเหตุสมผลหน่อย ไม่สิ ถ้าเป็นงั้น พวกเขาไม่ต้องตื๊อด้วยซ้ำ”
“พวกนั้นไม่เข้าใจหรอก คนหนึ่งก็นักเขียนชื่อดังตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ปัจจุบันเจ้าของสำนักพิมพ์ใหญ่ อีกคนก็นักเขียนดังไม่แพ้กัน แถมงานที่ทำให้ดังคืองานเขียนเล่นอีก สองคนนั้นเลยเป็นเพื่อนกันได้ไง พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกพวกลุ่มๆ ดอนๆ แบบพวกเราหรอก”
“หรือพวกเราไม่เข้าใจพวกเขา ฉันไม่รู้ว่าอิงการ์ดหวังอะไร”
“ก็ไม่ใช่ว่าเขาอยากเอานายเร้อ”
อีซราปิดก๊อกน้ำ เขากางแขนจับขอบอ่าง ยันตัวเองไว้ขณะสูดลมหายใจแล้วหันไปด้านข้าง “ใช่สิ เพราะนั่งอ่านงานที่ห่วยกว่าของตัวเองนี่โคตรเร้าอารมณ์เลย”
หมอนั่นฉีกยิ้มขำ “ไม่เอาน่า มานี่มา อีซรา”
บาร์เทนเดอร์ทำหน้าอิดหนาระอาใจ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหามือที่กวักเรียกตน เทมส์ดึงให้เขาถีบตัวปีนข้ามบาร์มานั่งถัดจากแก้วที่ตนยังไม่ได้เก็บ ร่างบนเก้าอี้สูงเกยแขนขึ้นบนตักเขาพร้อมแหงนหน้ายิ้มแป้นแสนแสบขึ้นหา “ไม่มีอะไรการันตีสักหน่อยว่าเขาจะอ่าน”
อีซราคว้าผ้าเช็ดโต๊ะยัดหน้าแห่งความยียวนนั่น เทมส์เกือบตกเก้าอี้กลับหัวเราะชอบใจ พวกคนในกลุ่มรวมถึงคริสต์แตร์ชินกับลักษณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดี แมเรียน คริสต์แตร์เปรยเป็นระยะว่าที่จริงอาจควรส่งพวกเขาไปอยู่อีกกลุ่ม ก่อนจะเปลี่ยนใจ เหน็บแนมแทนว่าอีซรากับเทมส์ซนกว่าเด็กสิบสามหลายเท่า อีซราไม่เข้าใจว่าตนทำอะไร นอกจากกับเทมส์แล้ว เขาออกจะสุภาพและเคารพงานรวมถึงความพยายามของคนอื่นในกลุ่ม เทมส์ก็เช่นกัน พวกเขามักพูดไม่ดีแต่กับงานตัวเองและงานอีกฝ่าย ไม่มีความเกรงใจระหว่างสองนักเรียนชาย
เทมส์ยิ่งไม่เกรงใจอะไรเลยตอนจูบเขา ทั้งแรงบีบมือตรงกราม น้ำหนักที่โถมลงมาจนอีซราไม่มีทางเลือกนอกจากยอมนอนลงไปกับเตียงสภาพราวกับไม่มีใครพับผ้าห่มหรือดึงผ้าปูให้ตึงมาสักสามร้อยปี ทั้งที่ผ้าผืนนี้ไม่มีทางเป็นผืนเดียวกับสัปดาห์ก่อน ห้องเขาไม่ได้ระเบียบเรี่ยมเร้แบบภาพโฆษณาของแต่งบ้านก็จริง แต่ห้องของเทมส์เหมือนห้องใต้หลังคารอตัวเอกมาค้นพบ
“บางทีฉันก็สงสัยว่านายทำห้องรกเพื่อชดเชยให้ความไม่มั่นใจในความเป็นชายของตัวเอง” อีซราเปรย พลิกหน้ามองขอบผ้าปูเตียงร่นจนหลุดจากมุม เลยไปยังข้าวของระเกะระกะจากพื้นถึงผนัง “นายรู้ตัวใช่ไหมว่านั่นเป็นแค่สเตริ --” ข้างในต้นขาเขาถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากกับฟัน “– โอไทป์”
“ไม่ต้องห่วง ความรกที่นายรักจะบ่นเหลือเกินนี่เป็นศิลปะความเป็นตัวฉันล้วนๆ”
เทมส์ชอบใช้ปากสัมผัสร่างกายส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้า แล้วใช้มือพาเขาไปถึง ส่วนอีซราจะนึกครึ้มรู้สึกว่าตนชอบจูบเทมส์เป็นครั้งคราว บางครั้งเช่นเวลาใกล้รุ่งสางนี้ เขาจงใจแสดงออกมาเป็นพิเศษด้วยการใช้ฟันกัดเปิดห่อถุงยาง แล้วใส่ถุงยางให้อีกฝ่าย ก่อนจะทำให้หมอนั่นเลิกคิดว่าตัวเองเป็นคนตลกนักหนาสักครู่หนึ่งด้วยปาก
“ถ้าฉันเปลี่ยนไปเขียนแนวอีโรติกล่ะ” เทมส์ถามตอนอีซราเดินออกมาจากห้องน้ำ
“นายรู้รึไงอีโรติกคืออะไร”
“ทุกคนรู้ว่าอีโรติกคืออะไรน่า”
“งั้นนายรู้เหรออะไรคืออิโรติก”
จังหวะนี้ เทมส์นิ่งคิด คิดเสร็จก็ยักไหล่
“ฉันเขียนให้นายอ่านคนเดียวก็ได้ เพราะนายก็คงไม่รู้เหมือนกัน”
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น คลำหาถุงเท้ามาใส่คืนพลางมองเจ้าของห้องยังอยู่ในสภาพเปลือยบนเตียง
อีซราส่ายหน้ากับตัวเอง
“อะไร”
“แค่” เขาเรียบเรียง “สงสัยขึ้นมาว่าพวกเราควรทำแบบนี้ต่อกันจริงไหม”
“ช่วยกันและกันเพราะฉันเหงาเกินจะช่วยตัวเองทุกครั้งที่มีอารมณ์ และนายก็อมของตัวเองไม่ถึงน่ะเหรอ”
เขาหยิบสมุดซึ่งคงไม่พ้นสมุดจดพล็อตปาใส่
“ฟังแล้ว ฟังแล้ว หมายถึงอะไรล่ะ”
“ที่เราปากมอมใส่กันเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยพูดความในใจให้คนอื่นฟังแบบนี้น่ะสิ” อีซราลุกขึ้น รำลึกได้ว่ารองเท้าน่าจะอยู่ข้างนอกห้องนอน แต่เขาไม่ได้สนใจมากพอขณะโดนเทมส์จูบจุดอ่อนไหวตรงคอขนาดจะบรรจงถอดไว้แถวประตูแน่ “มันดีต่อพวกเราทั้งคู่แน่เหรอ เพราะบางครั้ง ฉันว่าฉันก็หงุดหงิดกับนายของจริง”
“มันก็ปลดปล่อยดีใช่ไหมล่ะ”
“ถ้าให้เทียบกับออแกซึ่มกับนายก็คงงั้น” เขายั้งปากไม่ทัน
เทมส์ขำกลิ้ง “มีคนอีกตั้งเยอะให้นายเกร็ง ระวังคำพูด เก็บฉันไว้เป็นสิ่งตรงข้ามก็ไม่เห็นเสียหาย ฉันก็ทำแบบเดียวกันไง สมดุลดีออกจะตาย” หมอนั่นพักจากหัวเราะ "หลายครั้งฉันก็โมโหนายอยู่บ้างเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงหรอก"
“ตามใจ” เท้าสวมถุงเท้าครบดีเตะประตูปิดทับภาพเทมส์โบกมือ
อีซารามองภาพชายอายุมากกว่าตนนั่งพิงราวจับขั้นบันไดหน้าอพาร์ตเมนต์ ตาปิดพริ้ม มีแมวขนฟูขดบนอกแล้วคิดว่านี่ก็คงเป็นฉากเปิดเรื่องที่ไม่เลวเช่นกัน แต่เขายังติดแหง็กกับศพใต้น้ำนามเจมส์อยู่ดี
ขายาวเหยียดไปตามขั้นบันไดกระตุกยกขึ้น เป็นเชิงสะกิดรั้งตอนผู้อาศัยที่เพิ่งกลับถึงเอาตอนเจ็ดโมงครึ่งเตรียมยกเท้าก้าวข้าม อีซราถอยกลับไปยืนบนพื้นถนนหน้าบันไดขั้นแรก ระวังไม่ให้เผลอเตะแก้วเครื่องดื่มเข้า
“อรุณสวัสดิ์ แรนเดมตัน”
หลบหน้าอิงการ์ดไม่ง่ายเหมือนหนีจากเจ้าของสำนักพิมพ์ กับชายคนนี้ นอกจากพักอยู่ตึกเดียวกัน เสียงยังต่ำติดเสน่ห์น่าฟังถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้เรียกนามปากกาเขา (ทำไมเขาต้องชอบผู้ชายขนาดนี้ด้วยนะ บัดซบเอ๊ย) คอยย้ำเตือนว่าทั้งสองมีธุระลอยค้างเติ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอีซราขี้ขลาด
สิ่งมีชีวิตนามรวมๆ ว่าแมวกระโดดขึ้นไปข้างบนบันได แล้วเบียดตัวเข้าไปข้างในตึกผ่านช่องแคบเปิดแง้มระหว่างบานประตู อิงการ์ดเขยิบตัวนั่งให้ดี ปัดขนแมวออกจากเสื้อไหมพรม เช้านี้เป็นสีแดงเลือดหมู
กระดาษโน้ตหน้าตาแบบเดียวกับที่เทมส์ยื่นให้เขาในร้าน จ่ออีซราอีกครั้ง “ถามจริง”
“ก็นายไม่คุยกับเขาเสียที”
“นายกับเขาเป็นนักเขียน อยากลองพล็อตดูไหมทำไมฉันไม่ยอมคุยเรื่องนี้”
“ศักดิ์ศรี”
“ดีเสียไม่มี พวกนายสองคนคุยเรื่องฉันกันมาหมดแล้วสิท่า”
อิงการ์ดขยับขายาว ย้ายเท้าลงมาแตะพื้นถนน อีซราถือเป็นคำชวนให้นั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือบนขั้นเดียวกัน อย่างไรอพาร์ตเมนต์ก็มีทางลาดอยู่ข้างบันได
“ฉันแค่เดาเท่านั้นเอง”
“เดาว่า”
“นายไม่อยากเขียนงานกับนักเขียนมีชื่อ เพราะถ้างานไม่ดัง นายจะโทษว่าตัวเองเป็นตัวถ่วง แต่ถ้างานดัง นายก็จะสงสัยว่าคนอ่านแค่ชอบเพราะชื่อฉัน”
“ก็รู้นี่หว่า”
วันหนึ่งเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เจ้าของสำนักพิมพ์ก็เปิดประตูห้องเข้ามากลางบทสนทนาในกลุ่มคริสต์แตร์ ถามหาอีซรา โกลด์สก็อต เขาลอบมองหน้ากับเทมส์ หวั่นใจว่าหล่อนเพิ่งจะมาไม่พอใจอะไรในงานทำความสะอาดบ้านพักริมชายหาดเอาป่านนั้น ทว่าหญิงผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของไซมอนต์เฮ้าส์กลับเพียงบอกว่าเธอกับเพื่อนของเธอชอบงานทดลองเขียนของเขา และเพื่อนของเธอ จาร์ค อิงการ์ด ผู้ซึ่งอีซรามั่นใจว่ามีส่วนไม่มากก็น้อยช่วยให้เขาผ่านเข้าหลักสูตรพิเศษจากกองบรรณาธิการนี้ อยากเขียนงานร่วมกับเขา
“แล้วทำไมยังตื๊อให้เราเขียนด้วยกันอีก”
ตอนนั้นเขาตอบว่าขอคุยกับอิงการ์ดก่อน เนื่องจากคำพูดเช่นนั้นย่อมทำใครก็ตามที่เป็นพวกไร้ชื่อ มีผลงานตีพิมพ์ครั้งเดียว และไม่ได้เหม็นขี้หน้าอิงการ์ดตัวลอย ทว่ากว่าเขาจะทำงานหมดกะ เดินกลับบ้าน มีโอกาสมองหน้าอิงการ์ดกับสันหนังสือประทับชื่อจาร์ค อิงการ์ดในห้องตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อีซราก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกต่อไป
อิงการ์ดกะพริบตาปริบๆ มองอีซรา จากนั้นก็เขยิบออกห่างราวบันไดเข้ามาหา
สัมผัสสากแถวคางแตะแก้มอีซรา ตามด้วยริมฝีปาก ใบหน้าคมคายอยู่ใกล้เสียจนเขาสัมผัสได้ถึงยิ้มมากกว่าเห็น “เพราะฉันไม่ได้สนใจศักดิ์ศรีของใครทั้งนั้น ฉันแค่อยากเขียนงานดีๆ” ชายอายุมากกว่าลุกขึ้น มิวายยังจะโน้มลงมาจูบหน้าผากอีซราประหนึ่งว่าเอ็นดูนักหนา “ฉันอยากเขียนงานดีๆ กับคนที่ฉันเชื่อว่าเราจะสร้างงานดีๆ ด้วยกัน”
อีซราฟังเสียงประตูทางเข้าอพาร์ตเมนต์ปิด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความหาเบอร์โทรศัพท์บนกระดาษในกระเป๋ากางเกง
คุณไซมอนต์โทรหาเขาตอนสิบโมงเช้าวันนั้น กระชากอีซราตื่นจากฝันสุดเห่ยสักฝันหนึ่ง สภาพงัวเงียทำเขาตื่นตระหนกหากางเกงมาสวมทับบ็อกเซอร์จ้าละหวั่น จนรูดซิปแล้วถึงเพิ่งตื่นพอจะตระหนักว่าปลายสายไม่เห็นตน กระนั้นการคุยกับคนที่เตะเขาออกจากคอร์สได้ทุกเมื่อ และไม่ว่าอีซราจะปากดีกับเพื่อนในร้าน หรือทำตัวเฉยเมยไม่กระตือรือร้นจะเขียนงานให้เสร็จสักเพียงใด คอร์สนี้คือไม่กี่สิ่งที่หล่อเลี้ยงใจและไฟฝันด้านงานเขียนเขาให้โชติช่วงชนิดแรงฝันเพียวๆ สมัยก่อนตนจะผ่านเข้ากลุ่มนี้เทียบไม่ติด
“หมายความว่ายังไง 'ใครเริ่มเรื่องนี้'?”
“โว้ว แค่ประโยคแรก คุณก็ต้องให้ผมอธิบายเพิ่มแล้ว นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยนะ”
“คุณโกลด์สก็อต เราจะพูดรู้เรื่องกันมากขึ้นมากๆ ถ้าคุณเลิกอ้อมแอ้ม” เสียงเครน ไซมอนต์บาดคมดั่งเหล็กปลายแหลมบาง “ฉันเป็นนักเขียน ฉันรู้ว่าพวกเราอัตตาแรงแต่หน้าบางขนาดไหน ดังนั้น หยุดทำเป็นเหมือนเรื่องพวกนี้เป็นงานอดิเรกที่คุณไม่มีความคาดหวังเป็นพิเศษ แล้วคุยกับฉันมาเสียที คุณกลัวอะไร เพราะฉันคือเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ต้องการดูแลนักเขียนแบบคุณ แต่ฉันต้องรู้ว่าคุณกลัวอะไร”
“…ผมกลัวชื่อเสียงของคุณ กับของเขา”
“ฉันรับประกันเลยนะ ถ้างานที่คุณกับจาร์คออกมาไม่ถึงมาตรฐานสำนักพิมพ์ของฉัน ฉันจะปฏิเสธเอง เพราะฉันจะให้พวกคุณแก้ ทั้งหมดจะระบุไว้ในสัญญา”
“งั้นตอบผมที ใครเริ่มเรื่องนี้ ใครอยากให้ผมเขียนงานกับเขา”
“เขาอยากเขียนงานกับคุณ เพราะฉันเอางานที่คุณเขียนในเซสชั่นกับแมเรียนให้เขาอ่าน นั่นไม่ชัดอีกเหรอ พอฉันรู้ไอเดียของเขา ฉันเลยจ่ายล่วงหน้าซื้อโปรเจคต์นี้ไว้ --”
“ชิ้นไหน”
อีซราได้ยินเสียงถอนหายใจ ตามด้วยเสียงสูดลมหายใจ แล้วผ่อนลมหายใจอีกครู่หนึ่ง “สีดวงตาของเขาคงทำให้ใครต่อใครนึกสงสัยว่าทำไมโลกนี้ถึงมีสีฟ้าอยู่บ่อยครั้ง เรียกสีฟ้าออกมาซ้ำๆ จนความหมายที่คุ้นเคยหายไป แล้วค้นพบความหมายใหม่ในตอนที่พยายามกลับไปคุ้นกับสีฟ้าเดิม”
“เวร”
“แมเรียนให้พวกคุณเขียนเปิดตัวละครที่ไม่ใช่ตัวเอกใช่ไหม”
“ประมาณนั้น”
“ฉันชอบงานชิ้นนี้ ฉันเอาให้จาร์คดู เขาอ่าน เขาอยากเขียนงานกับคุณ”
“พระเจ้า”
คุณเจ้าของสำนักพิมพ์เงียบไปครู่หนึ่ง อีซราภาวนาว่าหล่อนจะไม่เกิดตรัสรู้ขึ้นมาว่าเขากำลังเอาหน้าร้อนฉ่าซบกับหมอน
“คุณโกลด์สก็อต ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ แต่เป็นไปได้ไหมว่าคุณเอาฝันเปียกของคุณมาเขียนส่ง” เห็นได้ชัดว่าคำภาวนานั้นไม่ได้รับการตอบรับ
“ผมแค่ใช้อิงการ์ดอ้างอิง!-- อะไรของคุณเนี่ย ทำไมความเป็นไปได้แรกที่คุณคิดคืออิงการ์ดจะเป็นฝันเปีย -- คุณไซมอนต์! ผม -- ให้ตายสิ คุณไม่ใช่แมเรียนนะ!”
“หมายถึง…?”
“เราไม่สนิทกันพอจะพูดเรื่องนี้ ช่วย -- ข้าม”
“ขออภัยค่ะ พอดีฉันรู้สึกว่าเสียงคุณฟังดูอายมากจนฉันคิดไม่ออกว่าปัญหาคืออะไร เพราะตัวงานเป็นงานที่ดี และคุณดูไม่มั่นใจในตัวเองแต่คงไม่ถึงขั้นทำเสียงแบบนี้ตอนโดนวิจารณ์งานในแง่บวก” เธอเลี่ยงจะใช้คำว่าชม หรือเขาคิดไปเองกันนะ “อ๋อ คุณนึกถึงเขา”
“แมเรียนให้เวลาแค่สิบห้านาที ตอนนั้นผมไม่มีตัวละครที่จะเอาไปใช้จริง”
“แล้วคุณอยากให้ฉัน…”
“อย่าบอกเรื่องนี้กับหมอนั่นเชียว”
“ตกลงค่ะ ส่วนเรื่องการพูดจาของฉัน คุณสามารถรายงานกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้เลย เธอจะได้บันทึกคำร้องเรียนเอาไว้เป็นหลักฐาน ส่วนทางฉันจะเพิ่มจำนวนชั่วโมงอบรมเรื่องความเหมาะสมในที่ทำงานให้ตัวเองกับออกจดหมาย --”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เสียงคุณจริงจังเป็นบ้า” อีซรารีบขัดเสียงลากปากกาจดซึ่งแว่วเข้าสาย
“ฉันต้องจริงจังสิ ไซมอนต์เฮ้าส์เป็นของฉัน ความรับผิดชอบของฉันต่อทุกคนในสำนักพิมพ์นี้ก็ต้องเป็นของฉัน อีกอย่าง หลายคนก็ท้วงมาสักพักแล้วเรื่องที่พนักงานส่วนใหญ่ในเฮ้าส์เป็นคนสนิท อาจทำให้ฉันสับสนเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนกับคนร่วมงาน โดยเฉพาะตำแหน่งงานของฉันอีก”
คุณไซมอนต์เปิดเผยเสียจนอีซรารู้สึกผิดที่ตนหลบหน้าหล่อนไปตั้งหลายครั้ง “แล้วอิงการ์ดอยากเขียนงานแนวไหนกับผม”
“ไม่ ไซมอนต์ไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศฉัน คุณเธอแค่ -- พูดอะไรที่คนไม่สนิทไม่คุยกันหรอก ในใบก็เขียนอยู่ไม่ใช่รึไง ‘พูดจาไม่เหมาะสมในแง่ทางเพศกับสมาชิกผู้หนึ่งของสำนักพิมพ์’ ” อีซราเกาหลังคอ งุ่นง่านไม่รู้จะมองอะไรได้บ้าง ห้องของอิงการ์ดเต็มไปด้วยรูปแมลงที่อีซราไม่ถูกโรคด้วยแขวนบนผนัง ส่วนห้องของอีซรามีหนังสือของอิงการ์ดเยอะเกินจะสบายใจให้คนเขียนเข้าไปนั่ง พวกเขาจึงมาลงเอยบนชานบันไดระหว่างชั้นสามกับสอง ข้างต้นคริสต์มาส อิงการ์ดแวะเข้าไซมอนต์เฮ้าส์แล้วเห็นแผ่นประกาศคำขอโทษจากเครน ไซมอนต์หราอยู่ตรงโถง “มันก็โอเคหรอกที่เขาขอโทษ แต่ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ มันเรื่องแค่นี้เอง”
ส่วนอีซรา ตอนแรกคิดหนัก ว่าตนจะโดดไม่ไปรวมกลุ่มคริสต์แตร์จนกว่าแผ่นประกาศนั่นจะเอาลงดีไหม คริสต์แตร์ปลอบอย่างไร้ประโยชน์ว่าไซมอนต์สั่งแจ้งเว็บไซต์ด้วย “เขาคงอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าถ้ามีเรื่องใหญ่กว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยเงียบน่ะ ถึงในเน็ตจะคิดว่าเป็นการทำเอาหน้าก็เถอะ เพราะคนส่วนใหญ่ก็คงคิดว่าที่เครนกล้าออกตัวแบบนี้เพราะคนไม่อะไรกับผู้หญิงอยู่แล้ว” อิงการ์ดเอนหลังพิงผนัง ตามองจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้งแล้วค่อยกดปิดจอ ยกสะโพกซ้ายขึ้นเล็กน้อยเพื่อยัดเครื่องเก็บใส่กระเป๋ากางเกง “ขอโทษแทนเครนด้วยนะ” อีซราประนมมือนวดจมูกตัวเอง “ลืมเรื่องนี้กันสักทีเถอะ”
ฝ่ายอายุมากกว่าชูนิ้วโป้งรับทราบ
“ฉันอยากให้เราช่วยกันเขียนเรื่องแนวสืบสวน-แฟนตาซี”
คิ้วขมวดนิ่ว “นี่อย่าบอกนะที่แมเรียนไล่ฉันไปเขียนแนวสืบสวน…”
“เหอ แมเรียนก็ด้วยเหรอ”
“ถามจริง นายไม่ได้บอกให้เขาช่วยกล่อมฉันทางอ้อมเหรอ”
“ใครจะบอกให้แมเรียนทำอะไรได้นอกจากเครน”
ยากจะเถียง
“นายอ่านที่ฉันเขียนบรรยายตัวละครที่ไม่ใช่ตัวเอกใช่ไหม แค่นั้นแล้วอยากจะเขียนงานด้วยกันเลยเนี่ยนะ”
เขาคิดว่าอิงการ์ดแปลก ซึ่งอิงการ์ดก็มองราวกับว่าอีซราเป็นคนพิลึกเสียงั้น
“ใช่ นั่นแหละ” คู่สนทนาตอบ
“ทำไม”
“ฉันอ่านแล้วอยากเขียนไง” อิงการ์ดยกชาลายคนละถ้วยกับเช้าเมื่อวานจิบ “สิ่งที่นายเขียนเป็นแรงบันดาลใจ แต่มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เลยอยากให้พวกเรามาเขียนเรื่องนี้ด้วยกัน”
“สืบสวน-แฟนตาซี”
“ในเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาด อย่างคนตาสีฟ้าน่าอัศจรรย์ใจ เพียงแค่มองก็รู้สึกกันหมดว่าดวงตาของเขามหัศจรรย์ คนที่ดึงสีออกมาระบายได้จริงโดยแค่เอาพู่กันแตะผมตัวเอง”
“ตัวละครที่สองนั่น…”
“มองออกเลยเหรอ”
“ก็เล่นยกตัวอย่างมาแค่สอง แล้วตัวหนึ่งมันก็ของฉันน่ะนะ”
อิงการ์ดลดขาลงไขว้ขัดสมาธิ “ใช่ เป็นตัวละครที่ฉันคิดไว้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ไม่เคยนึกเรื่องไว้ใส่ไม่ออกสักที จนเขียนงานอื่น สร้างตัวละครใหม่ไปตั้งเท่าไร ตัวนี้ก็ยังไม่มีที่ไป จนมาตอนนี้ไง”
“แล้วไง เรื่องที่โผล่ขึ้นมาในท้ายที่สุดคือ?”
“อยู่มาวันหนึ่ง ทุกชีวิตในเมืองกลายเป็นคนธรรมดา” เสียงดนตรีเทศกาลฤดูหนาวแว่วมาจากข้างนอก แต่เสียงของอิงการ์ดละลายเสียงพวกนั้นไป “คนในเมืองส่วนใหญ่ก็ดีใจ ‘จะได้ออกไปนอกเมืองเสียที!’ ”
“แต่ตัวละครของพวกเราอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมสินะ”
“พวกเขาเลยสืบหาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“โอเค แล้ว…”
“แล้วฉันก็อยากเขียนเรื่องนี้กับนาย คุณแรนเดมตัน”
“เราตั้งเงื่อนไขการร่วมงานกันได้ไหม เช่น เลิกย้ำเรื่องนี้ที”
เขาเกลียดรอยยิ้มบนหน้าอิงการ์ดจนหยุดมองไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้เจ้าตัวรีบหุบยิ้ม “ตอนนี้มีเท่านี้ ดังนั้น แรนเดมตัน ช่วยฉันเขียนเรื่องนี้ที”
“เลิกเรียกฉันด้วยนามปากกาติดกันรัวๆ ด้วย อย่างน้อยเว้นสักห้าประโยคเถอะ”
“นายอ่านงานเก่าของตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไร อีซรา”
“ค่อยยังชั่วหน่อย และ ใครเขาอ่านงานเก่าของตัวเอง”
สายตารู้ทันพุ่งตรงไม่อ้อมค้อม
“ก็มีบ้าง ใช่ แต่ไม่บ่อยเท่าไร ฉันไม่ชอบความเจ็บปวดบนโต๊ะเขียนหนังสือ”
“อยากให้ฉันอ่านให้ฟังไหม ฉันมีเล่มที่พิมพ์งานของนายอยู่บนโต๊ะในห้องนี่เลย”
อีซราจับชายเพื่อนร่วมงานคนใหม่ล่าสุดไว้ อิงการ์ดยอมกลับลงนั่งโดยดี รอยยิ้มเล็กแสนอาดูรไม่ช่วยให้อีซราวางใจเลยสักนิดเดียว
“แล้วไง ฉันต้องทำให้นายประทับใจตั้งแต่คำแรกที่จะมีส่วนร่วมเลยไหม”
“กดดันตัวเองในส่วนแปลกพิกล แต่ถ้านายเดินงานแบบนี้ ฉันคงแย้งอะไรไม่ได้มาก”
“จาร์ค”
“ได้ฟังนายเรียกชื่อฉันมันก็ดีหรอก แต่เราไม่ได้ออกเดทหรือเกี้ยวกันอยู่นี่สิ น่าเสียดาย แต่ฉันปล่อยให้ตัวเองประทับใจกับสิ่งนี้ไม่ได้ ต่อให้อยากแค่ไหน”
ใบหูเขาแดงเพราะเขาเกา อีซราคิดเช่นนั้น อ้างอย่างนั้น “อยากประทับใจที่ฉันยังไม่โค่นต้นคริสต์มาสทับนายแทนไหม”
“โธ่ เด็กดี คนดี ทูนหัว”
อีซราตัดใจลุกขึ้นยืน จ้ำขึ้นบันไดไปครึ่งทางค่อยเหลียวหลังมาสัญญากับอิงการ์ด “แล้วจะบอกไอเดียของฉัน…ตอนคิดออก”
“หมายความว่าเราจะเขียนนิยายด้วยกันจริงๆ แล้วใช่ไหม” อิงการ์ดลุกขึ้นมายืนหน้าบันได วางมือบนหัวราว
“ก็ใช่ แต่อย่าคาดหวังอะไรจากฉันนักแล้วกัน ยังไงซะ มันก็มาจากนายคิดอุตริจากข้อความไม่กี่บรรทัด” อีซราพยายามโบ้ยความผิดพลาดล่วงหน้า
ความรู้สึกที่ทำให้เขาหลบหน้าไซมอนต์แต่แรกเริ่มคืบคลานกลับมา อีซรารีบเดินกลับเข้าห้อง เตะรองเท้าไปกองไว้มุมห้องหลังประตู มุมห้องเดียวที่ไม่มีตั้งหนังสือ ถอดกางเกงแล้วมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ถ้ามันกันผีได้ ก็น่าจะกันความหวาดกลัวที่ตามหลอกหลอนอยู่หลังหัวเขาได้ด้วย
เขาตื่นมางัวเงียปวดเปลือกตากว่าตอนเพิ่งเข้านอน อีซราเหยียดแขนลงบนพื้น คลำหากระเป๋าในสภาพซึ่งตนพอจินตนาการออกว่าน่าสังเวชใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลากับพวกกำหนดการสารพัดสารเพสำหรับวันนี้ มีทั้งรายการชำระเงินค้างจ่าย กำหนดคืนหนังสือให้ห้องสมุดสาธารณะกับห้องสมุดไซมอนเฮ้าส์ (เขายืมมาทำไมเยอะแยะนะ อีซราถามตัวเองเวลาพบว่าตนอ่านไม่ทันทุกครั้ง แต่บทเรียนไม่เคยผ่านกระบวนการเรียนรู้เสียทีหนึ่ง) อีเมลทวงความคืบหน้าจากคริสต์แตร์ บรรณาธิการประจำกลุ่มย้ำเสมอว่าเป็นอุปกรณ์กระตุ้น เพิ่มแรงจูงใจเท่านั้น ทุกคนผลัดกันคอยท้วงว่านั่นไม่ได้ลดความรู้สึกจุกอกเวลาเปิดอ่าน คริสต์แตร์ก็เพียงฮัมในลำคอ
อีซราย้ายตัวเองไปนั่งหน้าโต๊ะ เปิดคอมพิวเตอร์ เขาเรียกไฟล์งานเขียนขึ้นมา ทำทีเป็นว่าตนไม่รู้มันคืบหน้าไปถึงไหน ทั้งที่ความเป็นจริงปักอยู่แก่ใจว่าตนไม่ได้แตะงานชิ้นนี้เพิ่มเติมจากที่คริสต์แตร์ได้อ่านล่าสุด ในห้องอาจไม่มีผู้ชม เขาก็ยังต้องหลอกตัวเอง
อีซราเท้าคาง ขบคิดว่าควรเพิ่มอะไรเข้าไปให้มีความเปลี่ยนแปลงบ้างสักนิดก่อนตนออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวัน เวลาเช่นนี้ พวกซอกแป้นพิมพ์ช่างน่าสนใจขึ้นมากะทันหัน เขานั่งอ่านแจ้งเตือนจากโปรแกรมป้องกันไวรัส เปิดทวิตเตอร์ ดูเทรนด์ของประเทศอื่น มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา อีซราสลับหน้าจอกลับไปพิมพ์เพิ่ม เขานึกออกว่าอยากเขียนอะไรต่ออีกประมาณสองบรรทัด จากนั้นค่อยนึกสงสัยว่าเมื่อตนเริ่มเขียนงานกับอิงการ์ด –
“ฉิบ…”
เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนตกลงเขียนงานกับอิงการ์ดแล้ว คุยกับไซมอนต์เรียบร้อย คุยกับอิงการ์ดจนรู้พล็อตตั้งต้นอีกต่างหาก
นักเขียนพึงใจจะกดบันทึกงานไว้เท่านั้น เขาอยากเข้าห้องน้ำ เขาต้องเข้าห้องน้ำ
บรรดานักเขียนกลุ่มคริสต์แตร์แลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์คิดอะไรออกขณะอยู่ในห้องน้ำบ่อยๆ ขณะนั่งโถส้วมบ้าง ขณะสระผมบ้าง มีกระทั่งทฤษฎีว่าด้วยเหตุผลกลใด ส่วนตัวอีซราคิดว่ามนุษย์เพียงชอบความท้าทายแบบปลอดภัยโดยกมลสันดานไปจนแตะระดับพันธุกรรม ถึงได้ชอบผุดความคิดต้องใช้ในเวลาที่ห่างไกลจากสิ่งจะจดความคิดนั้นลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วถ้าลืมก่อนทันออกจากห้องน้ำ ผลตามมาไม่ได้สาหัสสากรรจ์อะไร เพียงเจ็บใจอยากทึ้งหัวตัวเอง
ช่วงเวลาในห้องน้ำครั้งนี้เองพาเขาไปถึงสถานการณ์นั้นตอนยืนอยู่ใต้ฝักบัว น้ำร้อนอาบผมไหลลงไปถึงหลังเท้า ส่วนปลายนิ้วอาบแช่แอ่งน้ำรอบเท้าที่ระบายลงท่อค่อนข้างช้าเสียมากกว่า ซ้ำร้ายต้องเป็นจังหวะสบู่ท่วมหน้ากับตัวอีกด้วย อีซรารีบล้างออก เอาผ้าเช็ดตัวคลุมหัวเปียกมะล่อกมะแล่ก ไม่สนน้ำหยดติ๋งๆ ตลอดทางเดินวนรอบห้อง ควานหาบ็อกเซอร์สะอาด มาสวมคู่เสื้อยืดแล้ววิ่งลงบันไดไปตบประตูห้องของอิงการ์ด เทมส์อาจเคยแขวะครั้งสองครั้ง ว่าตัวเลือกกางเกงชั้นในเขาช่างห่างไกลจากความเร้าใจ อีซราออกจะภูมิใจว่าถ้าแขกโผล่มาในห้อง ตอนเขาสวมแค่บ็อกเซอร์สีเทารึดำ ตนยังยืนกรานได้ว่านี่เพราะความสบาย ทั้งเนื้อผ้าสัมผัสและรูปทรงไม่รัดเกินไป ไม่ใช่เพราะไม่มีกางเกงสะอาดเหลือสักตัวเดียว
อิงการ์ดบรรจงเปิดประตู ไม่รับรู้ความรีบร้อนในแรงฟาดมือลงตัวบานอีกด้านสักนิดเดียว อีซราเองคร้านจะจับตามองปฏิกิริยาหมอนี่ทุกวินาที สู้โพล่งให้หมดเสียเลยจะเข้าท่ากว่า
“เอาศพของฉันไปสิ” เขาดึงผ้าขนหนูลงจากหัวราวกับจะช่วยเน้นย้ำหรือทำให้ความคิดนี้วิเศษ “ศพชื่อเจมส์ อยู่ในทะเล -- ทะเลสาบ ศพนั่นลุกขึ้นมาใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเมืองคืนชีวิตให้ศพนั่น ทำให้ลักษณะพิเศษของทุกคนโดนดึงไปหมด คิดว่าไง”
“เมืองนี่หมายถึง…”
“ก็เมือง แบบที่ ‘ป่านี้ตอบคำเรียกขาน’ 'เมืองฝืนคืนชีพให้ศพนั่น'” ถึงตรงนี้ ความรีบร้อนจะขายเริ่มผ่อนลง แผ่วค่อย อีซราเกาหลังใบหูตัวเองแก้เขิน ทำไมกระบวนการโยนความคิดเป็นท่อนๆ ต้องน่าอายนัก
“เพราะอะไร”
เขาไม่ได้คิดอันนี้ไว้ แต่อิงการ์ดถามแล้วไม่ถามย้ำ แค่รอเงียบๆ
“เพราะ – โอเค เพราะเมืองต้องการปกป้องคนที่ฆ่าเจมส์”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเป็นประกาย ประกายชอบใจ ประกายแรงบันดาลใจ ประกายของพวกนักเขียนพลังงานเหลือเฟือที่อีซราต้องตามให้ทัน
เพราะเขาจะเขียนนิยายกับนักเขียนคนนี้ให้ดี ไม่มีใครอยากเอาความเปราะบางของตัวเองขึ้นชั่งน้ำหนัก แล้วมองตาช่างทะลุพื้นผิวจมลงไปลึกกว่าเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in