จบกันไปแล้วสำหรับการใช้ชีวิตในปี 2024 เมื่อกลับมาคิดทบทวนดูแล้ว ขอให้คำนิยามว่าเป็น "ปีแห่งการเริ่มต้น" ที่คิดถึงคำนี้ เป็นเพราะว่าในปีนี้มีการเริ่มต้นเยอะมาก เป็นปีที่ได้ทำงานฟูลไทม์ครั้งแรก ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นมาจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างครอบครัว ต่างความคิด หรือแม้กระทั่งต่างวัฒนธรรม "การแบ่งปัน" จึงเป็นการสร้าความชอบธรรมสำหรับเราที่จะปรับตัวเข้าหาบุคคลเหล่านั้น...
เริ่มต้นกันที่ช่วงต้นปี เราได้ทำการบริจาคร่างกายของตัวเองเพื่อใช้ในการศึกษาของเหล่าแพทย์ทั้งหลายที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (เราเกิดที่นี่เลยอยากจะทำให้ร่างมีประโยชน์แก่ที่แห่งนี้ด้วย) รวมไปถึงการบริจาคโลหิต ที่สภากาชาดไทย ซึ่งเค้าบอกว่าเริ่มต้นปีด้วยสิ่งใด ก็จะเกิดสิ่งนั้นไปทั้งปีคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากนั้นในช่วงกลางปี - ปลายปี เราและที่บ้านก็ได้บริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ปี 2024 ยังเป็นปีที่เราเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเองหลายประการ ทั้งการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานต่าง ๆ หน่วยบริการทั้งหลาย รวมไปถึงผู้คนแปลกหน้า (เป็นสิ่งที่เราคิดว่าพวกผู้ใหญ่คงทำกัน) จะบอกว่าปีนี้ ก็มีอีกหนึ่งนิยามคือ เป็นปีแห่งการพูดก็ไม่ผิดนัก เราใช้คำพูดสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ญาติผู้ใหญ่ และคนอื่นๆ เยอะมาก ทั้งยังใช้คำพูดเพื่อนำเสนอผลงาน แสดงความคิดเห็น และเพื่อการทำงานอื่นๆ อีกด้วย
การพูดจึงเป็นเรื่องที่เราต้องฝึกฝนอีกมาก ทั้งการแสดงความคิดเห็นยังไงให้คนเข้าใจได้ง่ายโดยที่ไม่กระทบจิตใจใครเลย แต่ก็ต้องเคารพความคิดของตัวเองด้วย นั่นเป็นสิ่งที่เราพยายามสมดุลกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราพยายามลงเรียนคอร์สหลายอย่าง ทั้งจากออนไลน์ และชีวิตจริง ซึ่งล้วนแต่เป็นคอร์สที่หน่วยงานจัดสรรมาให้ แต่ผลลัพธ์นั้นก็ยังไม่ได้แสดงให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก ส่วนตรงนี้คิดว่าจำเป็นต้องใช้เวลาเข้าช่วย รวมถึงต้องปฏิบัติจริงจังทั้งในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน
นอกจากนั้น ปี 2024 เป็นปีที่เราต้องละทิ้งความฝันวัยเด็ก นั่นคือ การเป็นนักการทูต เพราะเราให้โอกาสตัวเองไปสองครั้งสองครา แต่ไม่สามารถผ่านการสอบรอบแรกไปได้เลย นั่นแปลว่าทักษะของเราอาจไม่มากพอที่จะเป็นนักการทูตได้ ซึ่งเราก็รู้ตัวดีว่าเราทำส่วนใดได้ และส่วนใดที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ ด้วยเหตุนี้ ประกอบกับการสอบนักการทูตต้องใช้พลังงานมหาศาลสำหรับเรา ทั้งทักษะที่จำเป็น เวลา องค์ความรู้ ทำให้เรามีเวลาไปโฟกัสอย่างอื่นน้อยลง การใช้ชีวิต การทำงาน ที่เราทำได้ไม่เต็มที่ เพราะมัวพะวงแต่กับการใช้เวลาเพื่อเตรียมตัวสอบ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว เราตระหนักได้ว่าอาชีพนักการทูตนี่คงไม่เหมาะสมกับเรา เพราะถ้าเหมาะสมจริง เราคงไม่ใช้พลังงานชีวิตตัวเองมากมายขนาดนี้
เมื่อความฝันวัยเด็กไม่เป็นดั่งใจติด เราจึงอยากตั้งเป้าหมายระยะยาวของเราใหม่ในวัยปลาย 24 และต้น 25 ของเราใหม่ คือ การเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เพราะเมื่อลองทบทวนดูแล้ว ชีวิตเราเกี่ยวข้องกับสายงานด้านความมั่นคงมาตลอด บวกกับเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี ทั้งการฝึกงาน เราฝึกงานด้านสายความมั่นคง และงานที่ทำ ณ ชั่วขณะนี้ ก็ยังเกี่ยวข้องกับนโยบายด้านความมั่นคง ตัวเราเองก็มีความชอบในองค์ความรู้ทางสายความมั่นคงอยู่พอตัว โดยเฉพาะในเรื่องของรัฐชาติ ผลประโยชน์แห่งชาติ อธิปไตย และการวางยุทธศาสตร์ ซึ่งแม้ ณ ตอนนี้จะยังไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องเหล่านี้โดยตรง แต่ในอนาคต เราอยากจะพาตัวเองไปถึงจุดสูงสุดของสายงานความมั่นคงให้ได้
จากการพิจารณาข้อมูลที่มีอยู่ ประกอบกับตำแหน่งแห่งที่ของสายงานความมั่นคงของไทย เรารู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้ชอบงานสายทหาร อันมีเหตุผลง่ายๆ เลย คือ ไม่ชอบความเป๊ะราวกับไม่ใช่มนุษย์ และการต้องอยู่ในกฎระเบียบที่ค่อนข้างรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เราเลือกที่จะมาสายความมั่นคงพลเรือนแทน โดยจะเน้นเป็นสายงานนโยบายความมั่นคงด้านพลเรือนของไทย เราเลือกสิ่งนี้เพราะคุ้นเคยกับการทำงานในสายนโยบายอยู่บ้าง คุ้นเคยกับคน และคุ้นเคยกับวัฒนธรรม ทำให้การเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตครั้งนี้น่าจะสร้างความสบายใจให้เราได้ไม่มากก็น้อย
เป้าหมายครั้งนี้ จะสำเร็จเพียงแค่เราโอนย้ายหน่วยงานง่ายๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะสมกับงานนี้ด้วย เราสังเกตได้ว่าหน่วยงานนี้เต็มไปด้วยคนเก่ง เราจึงต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งทันกัน จึงวางแผนที่จะไปเรียนต่างประเทศในสายความมั่นคงให้กลายเป็นจุดเด่นเฉพาะทางของเรา เปรียบเสมือนหมอเฉพาะทางที่รักษาโรคด้านความมั่นคง ซิยง โป (Sciences Po) สถาบันการศึกษาของฝรั่งเศสเป็นโรงเรียนที่เราเลือกในครั้งนี้ เพราะมองเห็นแล้วว่าเด่นด้านการเมือง มีความเป็นเสรีภาพทางองค์ความรู้ รวมถึงมีหลักสูตรการสอนเป็นภาษาอังกฤษ อีกที่หนึ่งที่เราคิดไว้คือ LSE ซึ่งเด่นทางด้านการเมืองเช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นสถาบันของอังกฤษ ทำให้มีผู้แข่งขันหลากหลาย คุณสมบัติจึงต้องโดดเด่น ในปี 2025 นี้ เราจะพยายามพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด ให้เหมาะสม สมควรได้รับ และมีทางเลือกหลากหลายสำหรับเป้าหมายใหม่ของเราในครั้งนี้
การวางเป้าหมายของเรา เป็นเพียงแค่ข้อมูลผิวเผินที่เราจะคิดได้ในตอนนี้ หากในอนาคตที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง หรือใครทำให้เราเปลี่ยนแปลง ก็อยากจะให้ตัวเองหันกลับมามองเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ก่อน เพราะจากที่เราทำงานมา เรารู้แล้วว่ากลุ่มคนทำให้ตัวตนเราเอนเอียงได้อย่างไม่น่าเชื่อ การไร้เป้าหมายในการเดินทางจะทำให้เราไม่มีแก่นในการดำเนินชีวิต สับสนในตัวเอง แล้วก็เสียเวลากับสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกมากมาย วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานเช่นกัน ถ้าเรามีิวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมกับเราและสามารถเป็นจริงได้มากเพียงพอ จะทำให้เราโดดเด่นเหนือใคร ดังนั้นจึงอยากเตือนตัวเองไว้ว่า "การทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านความมั่นคง เพื่อคงไว้ซึ่งสถานะนำทางการเมืองระหว่างประเทศ" จะเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจเราอย่างไม่เปลี่ยนแปลง