การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1386 เจ้าของไอเดียคือบิชอปแห่งมิลานในขณะนั้น โดยมีเจ้าผู้ครองนครเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน ...ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนนน
แหม่! เรื่องบังเอิญแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยหรอกนะคือตอนแรกไม่ได้ก่ะจะเล่นใหญ่หรอก แต่ทำไปทำมาชักจะมันมือ โปรเจคเริ่มบานปลายสเกลใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จากใช้หินธรรมดา ก็กลัวจะแกรนด์ไม่พอ เลยเปลี่ยนมาใช้หินอ่อนขาวสวยอมชมพู (นี่แน่ใจนะว่าหินอ่อน) นำเข้าจากเมือง Candoglia และปริมาณที่ใช้มันเยอะมากจนต้องลงทุนขุดคลองขึ้นมาเพื่อลำเลียงหินอ่อนที่สกัดเสร็จแล้วเข้ามาที่มิลาน
สไตล์ที่เลือกใช้คือ Gothic ครับ เป็นรูปแบบศิลปะที่ได้รับความนิยมในยุคกลาง ศูนย์กลางผู้นำเทรนด์อยู่ที่ฝรั่งเศส เป็นศิลปะที่พัฒนาต่อมาจากยุค Romanesque (คนละยุคกับศิลปะโรมันนะ...แต่อ่านขึ้นต้นโรมันเหมือนกัน งงได้อีก) เอาเป็นว่า Gothic เนี่ยจะมี
‘ความเพรียว’ มากกว่า
อะไรวะ ‘ความเพรียว’ ?
คือศิลปะ Romanesque เนี่ยจะดูตันๆ หนักแน่น อวบอ้วนเหมือนป้อมปราการ แต่ Gothic จะดูโปร่งบาง โครงสร้างจะพยายามสร้างให้สูงชะลูดเข้าไว้ มีหอคอย มียอดแหลมพุ่งขึ้นฟ้า หลังคาก็จะออกแหลมๆ ประตูหน้าต่างเปลี่ยนจากโครงครึ่งวงกลมมาเป็นโค้งแหลมๆ หมด...นี่แหละที่มาแห่งความเพรียว
คราวนี้พอสร้างสูง มันก็ต้องมีคานมารับน้ำหนัก เขาเลยต้องสร้างเสาค้ำยัน (Buttress) ขึ้นมาเป็นตัวกระจายแรงออกมาด้านนอกอาคาร และด้วยหลังคามันแหลมๆ จะเอาศิลปินมาวาดเฟรสโก้ (จิตรกรรมฝาผนัง) บนเพดานมันก็จะดูไม่กว้างใหญ่ สวยงาม เขาเลยเปลี่ยนมาจัดเต็มที่ประตู หน้าต่างบานใหญ่ๆ สูงๆ แล้วทำเป็นกระจกโมเสกแทน
ซึ่งลักษณะเด่นเหล่านี้ Milano Duomo มีครบ
Flying Buttress ของ Milano duomo
จริงๆ ตอนช่วงยุคโรมัน Gothic นี่ถือเป็นศิลปะชั้นสองในมุมมองของชาวโรมัน เพราะดินแดนฝรั่งเศสในตอนนั้นถูกปกครองโดยชนเผ่าเยอะแยะหลายเผ่า ซึ่งก็ทะเลาะตีกันรัวๆ ตลอดเวลา (Goth, Frank, Lombard, Slave, Saxon) พวกนี้วันดีคืนดีก็จะมาลุกล้ำเขตแดนของอาณาจักรโรมัน และคนพวกนี้ไม่พูดละติน คนโรมันก็เลยเรียกทุกเผ่าแบบเหมาๆ ว่าเป็น Barbarian หรือชนป่า ที่ดูโลว์ ดูไม่มีคลาส ดูไม่ศิวิไลท์ เอะอะก็รบกัน รบชนะก็ปล้มสะดม ข่มขืน ฉะนั้น Gothic ซึ่งถือกำเนิดมาจากพวก ‘ชนป่า’ ในสมัยก่อนจึงถูกมองเป็นศิลปะชั้นสอง
แต่ไม่มีอะไรต่อต้านกาลเวลาได้ อาณาจักรที่เกรียงไกรที่สุดในโลกอย่างโรมันได้เสื่อมถอยลง จนถูกแบ่งการปกครองออกเป็นโรมันตะวันออก และตะวันตก ฝั่งตะวันออกเปลี่ยนไปเป็นอาณาจักรไบเซนไทน์ รุ่งเรื่องแบบไม่แคร์เพื่อนร่วมชาติไปอีกเป็นพันปี กลับกันฝั่งตะวันตกโดน ‘ชนป่า’ ที่ตัวเองเคยดูถูกเขาไว้ว่าเป็น Babarian บุกรัวๆ สุดท้ายจากคนป่ากลายมาเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ศิลปะแนว Gothic เลยมีที่ยืนมากขึ้น และถือว่าฮิปสเตอร์มากในช่วงปลายยุคกลาง ใครจะสร้างโบสถ์ช่วงนั้นแล้วไม่ทำเป็น Gothic style นี่ถือว่าผิด
กลับมาที่การก่อสร้างตั้งแต่ 1386 เรื่อยมา ทั้งสถาปนิก จิตรกร ช่างปั้น ช่างกระจก ช่างฝีมือ ชื่อดังทั่วทั้งยุโรปได้ถูกรับเชิญเข้ามามีส่วนร่วมในอภิมหาเมกะโปรเจคแห่งมิลาน
30 กว่าปีผ่านไป โบสถ์ได้ถูก Consecrated (อารมณ์น่าจะประมาณ Grand Opening ในทางศริสศาสนา เหมือนประกาศว่านี่ไม่ใช่ site ก่อสร้างแล้วนะเธอ มันศักดิ์สิทธิ์แล้ว เป็นโบสถ์แล้ว) แต่เอาเข้าจริงที่เสร็จเป็นแค่ส่วน Nave หรือโถงทางเดินกลางเท่านั้น การก่อสร้างยังคงดำเนินไปอีกถึง 200 ปี
….แต่ก็ยังไม่เสร็จ!!!
(โอยยยย เสร็จสักทีเหอะ แค่พิมพ์ยังเหนื่อยเลยเนี่ย)เนื่องจากเป็นอภิมหาเมกะโปรเจค แต่ไม่มีการวางแผนการเงินที่ดี... มันก็เจ๊งสิครับ! ..นั่นไง คุ้นๆ อีกแล้ว ความผิดพลาดเมื่อหลายร้อยปีที่บ้านเมืองอื่น แต่ฟังดูแล้วรู้สึก Nostalgia จังเลย
การก่อสร้างหยุดไปหลายต่อหลายครั้งเพราะมิลานถังแตก ลำพังจะพึ่งพาแต่เงินบริจาคก็ไม่ไหว คิดดูว่างานช้างขนาดนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ Milano Duomo เลยกลายสภาพเป็นเมกะโปรเจคกลางมิลาน ที่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที 500 ปีนี่ก็หลายต่อหลาย generation เลยนะครับ คิดดูว่าสร้างตั้งแต่รุ่น ปู่ของปู่ของปู่ของปู่ของปู่...แต่ก็ยังไม่เสร็จ!
ต้องรอจนกระทั่งยุคของนโปเลียนโน่น ถึงมีการปัดฝุ่นรื้อฟื้นโปรเจคขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะเรียกว่าเสร็จได้เต็มปากก็ยุคต้นศตวรรษที่ 19 นั่นแหละครับ
ผลลัพท์ของความพยายาม 500 ปีที่ผ่านไป ทำให้ Milano Duomo กลายเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี และ เป็นอันดับ 5 ของโลก กินพื้นที่ของเมืองไป 1 City Block เต็มๆ ประกอบไปด้วยรูปปั้นถึง 3,400 รูป มีการ์กอยล์อีก 135 ตัว และรูปแกะสลักอีก 700 กว่ารูป
ซึ่งทั้งหมดหน้าตาไม่เหมือนกัน !! ย้ำอีกที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in