เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Ram Roam Romeผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
.italy 6
  • ในฤดูใบไม้พลิพระอาทิตย์จะขึ้นประมาณ 6 โมงครึ่ง พอได้พักผ่อนหลังจากการเดินทางอันยาวนาน ร่างกายของผมก็กระปรี้กระเปร่า เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่แสงอาทิตย์ของวันใหม่ยังไม่ปรากฎให้เห็นที่ขอบฟ้า Metro ที่มีผู้คนบางตาพาพวกเราไปโผล่ที่ Piazza del Duomo ผมยืนประจันหน้ากับ Duomo แห่งมิลานในยามเช้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีดำเป็นน้ำเงิน และกลายเป็นสีแดงอมม่วง ผมเก็บภาพความประทับใจมาใส่ Memory card และหาคาเฟ่จิบกาแฟแกล้มครัวซอง เหม่อมองชาวเมืองมิลานที่กำลังเร่งรีบไปทำงาน หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป โพสลง facebook แล้ว tag เพื่อนที่มันอยู่เวรดึกในไทย แล้ว hashtag #ชีวิตดีย์ ใส่มัน


    นั่นคือที่แพลนเอาไว้


    ความเป็นจริงคือเอกบรรจงยื่นตีนมาเขี่ย “ตื่น!!!”

    “กี่โมงแล้ววะ” ตอนนั้นคืองัวเงียมาก

    “แปดโมง”

    “แปดโมงเหรอ... แปดโมง!!!! ...จบกัน Duomo ท่ามกลางพระอาทิตย์ทอแสงสีทองยามเช้า

    สรุปว่ากว่าจะขุดร่างตัวเองมาอาบน้ำ กว่าจะเก็บข้าวโยนของใส่เป้ พอก้าวเท้าออกมาจากที่พัก เข็มสั้นนาฬิกาก็ชี้เลข 9 พอดี แพลนของเราสองคนวันนี้ไม่มีอะไรมาก เช็คเอ๊าท์เอาเป้ฝากเอาไว้ ออกไปเที่ยว Duomo แล้วกลับมาคว้าเป้นั่งรถไฟไป Venice

    ผมขึ้น metro ที่แน่นขนัดไม่ต่างจาก BTS บ้านเราในชั่วโมงเร่งด่วน เอกเอาเป้มาสะพายไว้ด้านหน้าและกอดอย่างแน่น เพราะได้รับการสั่งสอนมาจากเพื่อนๆ ว่าโจรล้วงกระเป๋าใน metro นี่ชุกชุมมาก แถมหน้าเอเชียแบบเราดูออกง่ายว่าเป็นนักท่องเที่ยว ถามเพื่อนไป 5 ราย 3 รายมีประสบการณ์ถูกล้วง หรืออย่างน้อยก็เกือบจะโดนล้วงกระเป๋าระหว่างเดินทางในอิตาลี

    เพื่อนคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า มันกับเพื่อนมากันเป็นกลุ่ม 5-6 คน ระหว่างยืนอยู่ในรถไฟก็มีผู้ชายคนนึงยืนจ้องเพื่อนผู้หญิงตลอดเวลา จ้องแบบโคตรพิรุธ เพื่อนๆ ก็ระวังตัว เดินห่างออกมา แต่ระหว่างกำลังเบียดคนอยู่ เพื่อนผู้ชายคนนึง นึกระแวงเลยเอามือตบกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ปรากฎตบไปเจอมือใครไม่รู้!! แต่กระเป๋าตังค์น่ะ ลอยไปแล้ว... คนก็แน่นโคตรๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนล้วง พอรถไฟจอดที่สถานีถัดไป ไอ้ผู้ชายที่มีพิรุธก็เดินออกประตูรถไฟหายไปเลย พอมานั่งทบทวนเรื่องราว ก็สรุปได้ว่า ไอ้คนที่เป็นผู้ชายท่าทางมีพิรุธเป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ให้ทีมล้วงกระเป๋าคนอื่นทำงานได้อย่างสะดวกมากขึ้น

    เจอเรื่องเล่าแบบนี้เข้าไป ผมกับเอกก็สติแตกแทบทุกครั้งที่ต้องขึ้น metro ในช่วงเวลาที่คนเยอะๆ ยืนกอดกระเป๋ามองซ้ายมองขวาตลอดเวลา ทำหน้าดุอย่างกับหมาบ้า เผลอๆ คนอิตาลีคงสงสัยว่าไอ้เอเชียสองตัวนี่มันเป็นขโมยเสียเองหรือเปล่า



    ยืนแยกเขี้ยวอยู่ใน metro ประมาณ 10 นาที รถไฟก็พาเรามาโผล่ที่สถานี Duomo เป็นหนึ่งในสถานีที่ผมชอบมากเพราะมันโผล่มาก็อยู่ในใจกลางจตุรัสเลย ยังไม่ทันจะเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายเราก็จะเจอกับ Duomo ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก และแน่นอนมิจฉาชีพก็เยอะเช่นกัน ผมไม่อยากจะมีประสบการณ์ตรงในการตกเป็นเหยื่อ แต่ก็เก็บความอยากรู้อยากเอาไว้ไม่อยู่ เคยเห็นแต่ตุ๊กๆ รุม แท๊กซี่ปิดมิเตอร์ ร้านอาหารโก่งราคาที่บ้านเรา คราวนี้มาอิตาลีขอเสือกหน่อยเถอะวะ ว่าที่นี่เป็นยังไง ผมขอสรุปมิจฉาชีพที่สามารถพบเจอในจตุรัสทุกที่ทั่วอิตาลีเป็น 3 สายหลัก

    • สายขายของ(แพงเว่อร์)... พวกนี้ดูง่าย ส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวอิตาลี ของขายสุดฮิตคือไม้เซลฟี่ อย่าได้หลงเชื่อไปซื้อเชียวนะ แพงมาก เห็นพลาสติกง่อยๆ ขายกันอันละเกือบพัน ไอเทมอื่นที่นิยมก็แปรผันไปตามสถานที่และช่วงเวลา เช่น กระเป๋าก๊อปเกรดAAA ดอกไม้ ลูกบอลยางที่ปาลงพื้นแล้วแตกเหมือนไข่ (อันนี้เคยเห็นที่เมืองไทย) หรือเป็นแบบเรืองแสงแล้วโยนขึ้นฟ้าซึ่งแพร่หลายมากในยามโพล้เพล้ อันนี้ส่วนตัวแล้วรำคาญที่สุด เพราะตอนกางขาตั้งกล้องถ่ายรูป พอเปิดหน้ากล้องนานๆ แล้วคุณพี่โยนไอ้ลูกบอลเรืองแสงนี้ขึ้นฟ้า รูปที่ออกมาจะติดแสงเป็นเส้นๆ เต็มไปหมด
    • สายถ่ายรูป... มักจะมาเป็นคู่ คนนึงเป็นคนต้อน คนนึงแต่งตัวแนวแฟนตาซี สิงโต เจ้าหญิง ดิสนีย์แลนด์กันไป คนต้อนจะชวนนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปคู่ ใครเผลอก็จะโดนเดินตามขอเงิน ถ้าไม่ให้คนต้อนก็จะวิ่งดักหน้าดักหลังไปเรื่อยๆ
    • สายเนียน... พวกนี้จะเนียนเอา ด้าย, สร้อย, ผ้า มาถึงปุ๊บจะเข้ามาผูกข้อมือเราเลย ผูกเสร็จจะชวนคุยสองสามประโยคแล้วขอเงินไปซื้อข้าวกิน

    แต่เราไม่กลัว!

    ปั้นหน้าโหดๆ แล้วเซย์โน รัวๆ ดังๆ กวาดสายตาหารถตำรวจที่มักจะจอดอยู่ในจุตรัสแล้วเดินตรงไปหาได้ พวกนี้จะเลิกตามไปเอง



    หลังจากผ่านด่านเชือกผูกข้อมือ และไม้เซลฟี่มาได้เรียบร้อย เอกก็ประท้วง “หิวกาแฟ!”
    นั่นไง อาการกำเริบ ... เอกมันติดกาแฟครับ ไปเที่ยวไหนต้องโหลดคาเฟอินเข้าร่างก่อน ถ้าไม่ได้กินรับรองว่ามีหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งวัน ยิ่งเจอบังคับให้แหกขี้ตาตื่นแต่เช้าแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งแล้วใหญ่ ฉะนั้นทางที่ดีคือตามใจมัน และหากาแฟให้มันกิน

    มองซ้ายมองขวาเจอ Mc’Cafe (ร้านเดิมเมื่อวาน) แต่มาถึงอิตาลีทั้งทีจะกินกาแฟ Mc ก็ดูจะเป็นการดูหมื่นบ้านเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคาเฟ่ที่ดีติดอับดับต้นๆ ของโลก ผมเลยเดินนำเอกเข้าคาเฟ่ที่แพ๊คแน่นไปด้วยคนอิตาลี



    ที่อิตาลี เขาจะ Start วันด้วยกาแฟที่ออกครีมๆ หน่อยครับ ลาเต้ คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ อะไรก็ว่ากันไป นานๆ จะเห็นคุณลุงนั่งจิบเอสเพรสโซ่จากแก้วเล็กๆ สักที อาหารเช้าแบบเร่งด่วนของเขาคือ ครัวซองต์อุ่นร้อน เทียบได้กับปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ทุกคนสั่งคู่กันตลอด ใครอยากหนักท้องหน่อยเขาจะสั่ง Panini ซึ่งเป็นชื่อเรียกแซนวิช แต่ขนมปังมันจะสารพัดแบบมากกว่า ยืนกินกันตรงเคาท์เตอร์นั่นแหละ คุยชิทแชทกับคนนั่งข้างกันนิดหน่อย บาริสต้ากล่าวทักทายลูกค้าขาประจำ หรือว่าจะออกไปนั่งรับแดดอ่านหนังสือพิมพ์ไปจิบกาแฟ ใช้เวลาไม่นานมากครับ แต่ละคนอยู่ในร้านกันไม่เกิน 10-15 นาทีก็แยกย้ายกันไปทำงาน

    ผมนับถือคนอิตาลีที่ร้าน Local เขาเข้มแข็งมาก แทบไม่เห็นร้านที่เป็น chain ต่างชาติเลย ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั้งหมดเป็นร้านคนในท้องถิ่น ...แต่ Mc’Donale เป็นข้อยกเว้น แบรนด์นี้เขาโหดจริงอะไรจริง เดินไปเถอะ สถานีรถไฟ ป้ายรถเมล์ แหล่งเที่ยวเที่ยว เรียกว่าจะไปไหนก็เจอ

    “อยากกินกาแฟเย็นอ่ะ” เอกประท้วง
    คนอิตาลีไม่นิยมกาแฟเย็นอย่างแรงครับ อาจจะเพราะอากาศบ้านเขามันหนาวเย็นอยู่แล้ว ก็เลยไม่มีใครชอบ ต่างจากคนไทยที่ชินกับเครื่องดื่มเย็นมากกว่า เพราะบ้านเรามันร้อนเหลือเกิน

    ระหว่างที่กำลังจะสั่งคาปูชิโน่ร้อน ผมก็เหลือบไปเห็นตู้หมุนๆ ดูละม้ายคล้ายสเลอปี้รสกาแฟ ป้ายเขียนว่า Coffee Crema 3.5 Euro ...เอาวะลองดู

    พอบาริสต้าตักใส่ถ้วย ผมนี่ร้องเลยครับ!
 

    อร่อย??

    แพง!!!! ถ้วยละ 140 กระดกสามอึกหมด นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนชัดๆ แต่รสชาติก็อร่อยเลยนะครับ สัมผัสคล้ายๆ กินครีมแต่เย็นเจี๊ยบ แล้วก็หวานมากๆๆๆ


  • เอาล่ะ ได้กาแฟเรียบร้อย เราเข้าไปดู Milano Duomo กันดีกว่า ต้องเท้าความนิดนึงว่านี่เป็น Europe First time ของผม (ไม่นับนอร์เวย์-ไอซ์แลนด์นะ) ผมไม่เคยเห็นสถาปัตยกรรมอายุหลายร้อยปีด้วยตาตัวเองมาก่อน ที่ใกล้เคียงที่สุดนี่คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม (ฮ่าๆๆ) ตอนก่อนมาเที่ยวก็ ดูรูป อ่านรีวิวมาก็มาก แต่พอไปเห็นจริงๆ ความรู้สึกมันแบบ ...เฮ้ย อะไรจะขนาดนั้นวะเนี่ย


    นี่คือรูปแกะสลักตรงประตูทางเข้า...อะไรจะขนาดนั้น
    คือมันไม่ได้แค่ใหญ่โตอย่างเดียวไง แต่ดีเทลมันหยุบหยับมาก อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด จัดเต็มตั้งแต่ประตู เสา รูปปั้น หลังคา โดม พื้น คือเรียกว่าทุกกระเบียดนิ้ว เสาด้านนอกแต่ละเสาก็จะมีรูปปั้นประจำอยู่ มีเป็นร้อยๆ อันเลย ซึ่งตอนแรกผมคิดว่ามันจะหน้าตาพิมพ์เดียวกันหมด แต่เปล่า... ไม่มีอันไหนเหมือนกันเลย

    ซึ่งพอไปย้อนดูประวัติความเป็นมาของ Milano Duomo ถึงเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้อลังการณ์งานสร้างขนาดนี้ นั่นเพราะนี่เป็นโบสถ์ที่ใช้เวลาสร้าง ยาวนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ที่สุดในโลก ระยะเวลาที่ใช้คือ ห้า-ร้อย-ปี !!

  • การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1386 เจ้าของไอเดียคือบิชอปแห่งมิลานในขณะนั้น โดยมีเจ้าผู้ครองนครเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน ...ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนนน แหม่! เรื่องบังเอิญแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยหรอกนะ

    คือตอนแรกไม่ได้ก่ะจะเล่นใหญ่หรอก แต่ทำไปทำมาชักจะมันมือ โปรเจคเริ่มบานปลายสเกลใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จากใช้หินธรรมดา ก็กลัวจะแกรนด์ไม่พอ เลยเปลี่ยนมาใช้หินอ่อนขาวสวยอมชมพู (นี่แน่ใจนะว่าหินอ่อน) นำเข้าจากเมือง Candoglia และปริมาณที่ใช้มันเยอะมากจนต้องลงทุนขุดคลองขึ้นมาเพื่อลำเลียงหินอ่อนที่สกัดเสร็จแล้วเข้ามาที่มิลาน

    สไตล์ที่เลือกใช้คือ Gothic ครับ เป็นรูปแบบศิลปะที่ได้รับความนิยมในยุคกลาง ศูนย์กลางผู้นำเทรนด์อยู่ที่ฝรั่งเศส เป็นศิลปะที่พัฒนาต่อมาจากยุค Romanesque (คนละยุคกับศิลปะโรมันนะ...แต่อ่านขึ้นต้นโรมันเหมือนกัน งงได้อีก) เอาเป็นว่า Gothic เนี่ยจะมี ‘ความเพรียว’ มากกว่า

    อะไรวะ ‘ความเพรียว’ ?
    คือศิลปะ Romanesque เนี่ยจะดูตันๆ หนักแน่น อวบอ้วนเหมือนป้อมปราการ แต่ Gothic จะดูโปร่งบาง โครงสร้างจะพยายามสร้างให้สูงชะลูดเข้าไว้ มีหอคอย มียอดแหลมพุ่งขึ้นฟ้า หลังคาก็จะออกแหลมๆ ประตูหน้าต่างเปลี่ยนจากโครงครึ่งวงกลมมาเป็นโค้งแหลมๆ หมด...นี่แหละที่มาแห่งความเพรียว

    คราวนี้พอสร้างสูง มันก็ต้องมีคานมารับน้ำหนัก เขาเลยต้องสร้างเสาค้ำยัน (Buttress) ขึ้นมาเป็นตัวกระจายแรงออกมาด้านนอกอาคาร และด้วยหลังคามันแหลมๆ จะเอาศิลปินมาวาดเฟรสโก้ (จิตรกรรมฝาผนัง) บนเพดานมันก็จะดูไม่กว้างใหญ่ สวยงาม เขาเลยเปลี่ยนมาจัดเต็มที่ประตู หน้าต่างบานใหญ่ๆ สูงๆ แล้วทำเป็นกระจกโมเสกแทน

    ซึ่งลักษณะเด่นเหล่านี้ Milano Duomo มีครบ

    Flying Buttress ของ Milano duomo
    จริงๆ ตอนช่วงยุคโรมัน Gothic นี่ถือเป็นศิลปะชั้นสองในมุมมองของชาวโรมัน เพราะดินแดนฝรั่งเศสในตอนนั้นถูกปกครองโดยชนเผ่าเยอะแยะหลายเผ่า ซึ่งก็ทะเลาะตีกันรัวๆ ตลอดเวลา (Goth, Frank, Lombard, Slave, Saxon) พวกนี้วันดีคืนดีก็จะมาลุกล้ำเขตแดนของอาณาจักรโรมัน และคนพวกนี้ไม่พูดละติน คนโรมันก็เลยเรียกทุกเผ่าแบบเหมาๆ ว่าเป็น Barbarian หรือชนป่า ที่ดูโลว์ ดูไม่มีคลาส ดูไม่ศิวิไลท์ เอะอะก็รบกัน รบชนะก็ปล้มสะดม ข่มขืน ฉะนั้น Gothic ซึ่งถือกำเนิดมาจากพวก ‘ชนป่า’ ในสมัยก่อนจึงถูกมองเป็นศิลปะชั้นสอง

    แต่ไม่มีอะไรต่อต้านกาลเวลาได้ อาณาจักรที่เกรียงไกรที่สุดในโลกอย่างโรมันได้เสื่อมถอยลง จนถูกแบ่งการปกครองออกเป็นโรมันตะวันออก และตะวันตก ฝั่งตะวันออกเปลี่ยนไปเป็นอาณาจักรไบเซนไทน์ รุ่งเรื่องแบบไม่แคร์เพื่อนร่วมชาติไปอีกเป็นพันปี กลับกันฝั่งตะวันตกโดน ‘ชนป่า’ ที่ตัวเองเคยดูถูกเขาไว้ว่าเป็น Babarian บุกรัวๆ สุดท้ายจากคนป่ากลายมาเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ศิลปะแนว Gothic เลยมีที่ยืนมากขึ้น และถือว่าฮิปสเตอร์มากในช่วงปลายยุคกลาง ใครจะสร้างโบสถ์ช่วงนั้นแล้วไม่ทำเป็น Gothic style นี่ถือว่าผิด

    กลับมาที่การก่อสร้าง
    ตั้งแต่ 1386 เรื่อยมา ทั้งสถาปนิก จิตรกร ช่างปั้น ช่างกระจก ช่างฝีมือ ชื่อดังทั่วทั้งยุโรปได้ถูกรับเชิญเข้ามามีส่วนร่วมในอภิมหาเมกะโปรเจคแห่งมิลาน

    30 กว่าปีผ่านไป โบสถ์ได้ถูก Consecrated (อารมณ์น่าจะประมาณ Grand Opening ในทางศริสศาสนา เหมือนประกาศว่านี่ไม่ใช่ site ก่อสร้างแล้วนะเธอ มันศักดิ์สิทธิ์แล้ว เป็นโบสถ์แล้ว) แต่เอาเข้าจริงที่เสร็จเป็นแค่ส่วน Nave หรือโถงทางเดินกลางเท่านั้น การก่อสร้างยังคงดำเนินไปอีกถึง 200 ปี

    ….แต่ก็ยังไม่เสร็จ!!!

    (โอยยยย เสร็จสักทีเหอะ แค่พิมพ์ยังเหนื่อยเลยเนี่ย)

    เนื่องจากเป็นอภิมหาเมกะโปรเจค แต่ไม่มีการวางแผนการเงินที่ดี... มันก็เจ๊งสิครับ! ..นั่นไง คุ้นๆ อีกแล้ว ความผิดพลาดเมื่อหลายร้อยปีที่บ้านเมืองอื่น แต่ฟังดูแล้วรู้สึก Nostalgia จังเลย

    การก่อสร้างหยุดไปหลายต่อหลายครั้งเพราะมิลานถังแตก ลำพังจะพึ่งพาแต่เงินบริจาคก็ไม่ไหว คิดดูว่างานช้างขนาดนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ Milano Duomo เลยกลายสภาพเป็นเมกะโปรเจคกลางมิลาน ที่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที 500 ปีนี่ก็หลายต่อหลาย generation เลยนะครับ คิดดูว่าสร้างตั้งแต่รุ่น ปู่ของปู่ของปู่ของปู่ของปู่...แต่ก็ยังไม่เสร็จ!

    ต้องรอจนกระทั่งยุคของนโปเลียนโน่น ถึงมีการปัดฝุ่นรื้อฟื้นโปรเจคขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะเรียกว่าเสร็จได้เต็มปากก็ยุคต้นศตวรรษที่ 19 นั่นแหละครับ

    ผลลัพท์ของความพยายาม 500 ปีที่ผ่านไป ทำให้ Milano Duomo กลายเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี และ เป็นอันดับ 5 ของโลก กินพื้นที่ของเมืองไป 1 City Block เต็มๆ ประกอบไปด้วยรูปปั้นถึง 3,400 รูป มีการ์กอยล์อีก 135 ตัว และรูปแกะสลักอีก 700 กว่ารูป ซึ่งทั้งหมดหน้าตาไม่เหมือนกัน !! ย้ำอีกที


  • ถึงแม้ว่าด้านนอกจะน่าประทับใจมากๆ แต่พอเข้ามาข้างในแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่สวยเท่ากับด้านนอก เพดานสูง ดูอับ ทึบ และแสงแดดก็เข้ามาได้น้อยทำให้หินอ่อนด้านในดูไม่ขาวอมชมพูเหมือนกับที่เห็นจากด้านนอก



    กระจกโมเสกของเขาสวยมากๆ ดีเทลละเอียดยิบ

    พอเดินเล่นข้างในเสร็จ ก็มาถึงไฮไลท์ของการเยี่ยมชม Milano Duomo นั่นคือการขึ้นไปชมมิลานจากมุมสูงบนหลังคาของโบสถ์ ที่เรียกว่า Terrazza Del Duomo ซึ่งอันนี้ต้องเสียค่าเข้าชม หากมั่นใจในข้อเข่าตัวเองก็ขึ้นบันไดวนไป ควักเหรียญ จ่าย 8 Euro แต่หากต้องการประหยัดเวลาและกำลังขาก็มีลิฟท์ให้ขึ้นในราคา 13 Euro

    พอขึ้นมาถึงด้านบน เราจะได้เดินลอด Flying Butress และชื่นชมดีเทลความอลังการของเสาและรูปปั้นด้านนอกอย่างใกล้ชิด พอขึ้นบันไดจนถึงด้านบนสุดจะเป็นส่วนหลังคา จากตรงนี้เราสามารถเดินชมมิลานจากมุมสูง และหากอากาศแจ่มใสจะมองเห็นไปไกลถึงเทือกเขาแอลป์ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือได้เลย เสียดายว่าวันที่เราไปเมฆเยอะครับ



  • หลังจากถ่ายรูปและนั่งพักขาเรียบร้อยเราก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายร่างกายมาบนพื้นดินอีกครั้ง ข้างกันกับ Milano Duomo คือ Galleria Vittorio Emanuele II หนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังเป็น Shopping Mall อันหรูหราที่สุดในเมืองที่หรูหราที่สุดของอิตาลี

    ด้านในเปรียบดั่งสรวงสวรรค์แห่งสุภาพสตรี (บางทีก็สุภาพบุรุษ) นักช้อปกระเป๋าหนัก บางร้านก็คุ้นหน้าคุ้นตา แต่บางร้านขนาดจะอ่านชื่อให้ถูกยังต้องลุ้น เพื่อนหลายคนยืนยันว่า "ซื้อจากที่นู่นมันถูกกว่าจริงๆ นะแก"  แต่รองเท้าหรือกระเป๋าลดจากสามหมื่น เหลือหมื่นปลายๆ ผมก็ไม่มีปัญญาจะซื้ออยู่ดี



    บรรยากาศด้านในก็เน้นทอง ดุจดั่งเดินดื่มด่ำในเอ็มโพเรียม นอกจากเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นแล้ว ด้านในยังมีร้านอาหารเก่าแก่อีกหลายร้าน สมัยก่อนมี Mc’ Donale มาเปิดบริการด้วย ซึ่งเป็นร้านเดียวที่ข้าพเจ้ามีทุนทรัพย์พอจะเอาตูดไปสัมผัสเก้าอี้เพื่อเป็นเกียรติ์เป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลได้บ้าง ว่าครั้งหนึ่งเคยมากัด Big Mc ดูผู้คนเดินไปมาใน Galleria แห่งใน แต่ในปี 2012 Mc’Donale ก็ถูกห้างปฎิเสธการต่อสัญญาเช่า หลังจาเปิดดำเนินการต่อเนื่องมาถึง 20 ปี แม้จะกดดันและต่อสู้อย่างดุเดือด แต่สุดท้าย Mc’Donale ก็ถูกแทนที่ด้วย Prada Shop สาขา 2

    ด้วยความงอนขั้นสูงสุด Mc’Donale จึงปฎิเสธจะจากไปอย่างเงียบๆ ในวันเปิดทำการวันสุดท้าย พนักงาน Mc ออกมาแจกเบอร์เกอร์ อาหารและเครื่องดื่มฟรีให้กับทุกคนที่เดินผ่านไปมา ตลอดทั้งช่วงบ่ายซึ่งมีคนไปใช้บริการถึง 5พันคน ตามด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมิลานเป็นจำนวนเงิน 24 ล้านยูโร!!!

    สุดท้ายมิลานต้องยอมประนีประนอมด้วยการหาโลเคชั่นเปิดสาขาใหม่ใกล้ๆ กันแลกกับการถอนฟ้อง ซึ่งก็คือที่เดียวกับที่พวกเราแวะทานมื้อดึกเมื่อวานนี่แหละครับ




    พวกเราใช้เวลาใน Galleria ไม่นานนัก เพราะราคาทุกอย่างเหมือนจะหลุดออกไปจากโลกของเรา ผมกับเอกเดินเลี้ยวออกไปด้านนอกแวะซื้อ Grom ร้านเจลาโต้ชื่อดัง ซึ่งอร่อยกว่าที่ Lake Como อย่างรู้สึกได้ก่อนจะกลับไปแบกเป้ใบใหญ่ขึ้นบ่า แล้วเตรียมตัวออกเดินทางสู่จุดหมายถัดไปของเรา

    เวนิส!!


    つづく
    พบกันใหม่ตอนต่อไป
    ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in