เครื่องยังไม่ทันจะ Take Off ผมก็หลับคอพับไปแล้ว ส่วนเอกเป็นหมอฟัน เลยต้องใช้เวลานิดหน่อยก่อนจะหลับลง การหลับได้ในทุกสถานการณ์เป็นหนึ่งในความสามารถติดตัวที่สั่งสมมาจากการเป็นนักเรียนแพทย์ รุ่นพี่สั่งเจาะเลือดคนไข้ทุกชั่วโมง ระหว่างชั่วโมงก็ต้องข่มตาให้หลับเพราะไม่รู้ว่าจะมีคนไข้รายใหม่ย้ายเข้ามาในวอร์ดตอนไหน ว่างปุ๊บก็ต้องนอนเอาแรง พอเรียนจบก็เริ่มเทิร์นโปร ส่งคนไข้ไป X-ray ช่วง 10 นาทีก็หลับได้ นอนแบบเก็บหอมรอมริบไปเรื่อยๆ ห้าบาทสิบบาทกูก็เอา พอวรยุทธ์ถึงจุดสูงสุด บนรถฉุกเฉินหากไม่มีคนไข้อยู่บนรถ ผมก็หลับได้แบบไม่แคร์เสียงไซเรน
นอกจากจะหลับง่ายเหมือนเปิดปิดสวิทช์แล้ว ผมยังสามารถเซ็ทตัวเองก่อนนอนได้ด้วยว่าจะตื่นง่ายหรือตื่นยาก
(เป็นไงล่ะ ไม่อยากจะโม้) ถ้าคืนไหนอยู่เวร เสียงโทรศัพท์ดังนิดนึงก็สะดุ้งตื่นแล้ว แต่ถ้านอนอยู่บ้านตัวเอง การลากผมออกมาจากเตียงกลางดึกเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นเอาเรื่อง
บนเครื่องพวกเราจะตื่นก็ต่อเมื่อน้องแอร์เอาข้าวเอาขนมมาให้ (ทีของฟรีล่ะตื่นเชียว) บรรยากาศในชั้นประหยัดก็วุ่นวายมาก ผมตักข้าวใส่ปากไปฟังเหล่าลูกๆ ร้องไห้ไปด้วย ช่วงแรกก็มาเดี่ยว สักพักมาเป็นคู่ พอคุณแอร์เดินเสิร์ฟข้าวเท่านั้นแหละ คราวนี้มาเป็นวงออร์เคสตราเลยครับ ประสานเสียงกันครบทุกย่านความถี่ ด้วยความที่นั่งแถวหน้า เวลาแอร์เปิดปิดม่าน เราก็จะเห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมระหว่างชั้นประหยัด และชั้นธุรกิจ นี่ต้องรูดบัตรสะสมไมล์อีกกี่รอบเวียนว่ายตายเกิด ถึงจะมีบุญตูดไปนั่งชั้นธุรกิจกับเขาบ้าง
อันที่จริงผมเคยมีประสบการณ์นั่ง First Class ด้วยนะ เวลาเพื่อนถามว่าเคยนั่งธุรกิจไหม ก็ตอบว่าไม่เคย เคยแต่นั่ง First Class ดูเป็นคำตอบที่น่าหมั่นไส้มาก แต่ความจริงเบื้องหลังคือผมไปส่งคนไข้กลับประเทศ แล้วญาติเขาจองตั๋วให้ไปดูแลคนไข้ สรุปว่าที่นั่งน่ะ First Class ของจริง แต่ประสบการณ์นี่แย่กว่าบินชั้นประหยัด ต้องลุกไปวัดความดัน ช่วยดูดเสมหะ ให้ยาสารพัด ข้าวมาก็ต้องรีบกิน ไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์อันใดเกิดขึ้นเลย ...ทำไม First Class ในจินตนาการกับ First Class แบบเรียลๆ มันถึงต่างกันอย่างนี้
เราแวะเปลี่ยนเครื่องที่มาเลเซีย พลางนึกดีใจที่ยอมจองตั๋วเครื่องบินใหม่ เพราะกว่าที่เราจะหอบร่างฝ่าฟันด่านตรวจจาก terminal 2 ไปที่ terminal 1 ได้ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า
(45 นาที ทันก่ะผีน่ะสิ!) พอพระอาทิตย์ตกดินเราก็ออกเดินทางอีกรอบเพื่อมุ่งตรงสู่อิตาลี โดยแวะพักที่โดฮา ประเทศการ์ต้าร์
สิบกว่าชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดผมกับเอกก็มาถึง Malpensa สนามบินประจำมิลาน เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างไม่มีปัญหา เจ้าหน้าที่แทบจะไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ...มองหน่อยเห๊อะ รู้ไหมว่ากว่าจะได้วีซ่าเชงเก้นจากสถานทูตอิตาลีนี่มันหนักหนาสาหัสขนาดไหน (ไปตั้งแต่ 8 โมงกว่า ทำเสร็จตอนเกือบทุ่ม!)
จาก Malpensa เราซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางเข้าเมือง โดยมีจุดหมายอยู่ที่
Milano Centrale ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของมิลาน พอโยนเป้ใบยักษ์ลงบนชั้นวางของเสร็จ รถไฟก็ออกตัวตรงตามเวลาเป๊ะ วิวช่วงแรกยังเต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้และทุ่งหญ้าเล็กๆ แต่เผลอแป๊บเดียว ตึกรามบ้านช่องก็เข้ามายึดพื้นที่ในหน้าต่างข้างที่นั่งผมอย่างรวดเร็ว ผมเปิดสมุดบันทึกดูแผนการเที่ยวในวันนี้อย่างคร่าวๆ ซึ่งแม้จะต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อยแต่ทุกอย่างก็ยังถือว่า
‘เป็นไปตามแผน’ ผมนึกถึงคำแนะนำของเพื่อนหลายคน
“มิลานเหรอ ข้ามไปเลย”“ไม่ต้องนอนที่มิลานก็ได้ ไม่มีอะไร”…เฮ้ย ทำไมทำกับมิลานอย่างนี้
แต่ด้วยความที่เป็นนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ไม่สันทัดวางโปรแกรมเที่ยวแถบเมืองใหญ่ๆ เพื่อนว่าไงเราก็ว่าตาม จากตอนแรกก่ะไว้ว่าจะนอนที่มิลานหนึ่งคืน สุดท้ายผมก็เปลี่ยนไปเที่ยวทะเลสาปโคโมแทน ส่วนมิลานผมตัดเหลือแค่จตุรัส Duomo ที่เดียวพอ
นี่เป็นรอบสองที่พวกเราเอารองเท้าผ้าใบมาย่ำแผ่นดินยุโรป ครั้งแรกตอนไปเยือนออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ จำได้ว่าบ้านเมืองเขาสวยมาก ประทับใจสุดๆ แล้วนี่บินลงมิลาน เมืองที่นับว่าไฮโซที่สุด ร่ำรวยที่สุด และประชากรหนาแน่นที่สุด ของอิตาลี ผู้คนของเมืองนี้แต่งตัวกันดีสมฐานะหนึ่งใน BIG FOUR เมืองหลวงแฟชั่นของโลก (นิวยวอค-ลันดั้น-มิลาน-แพรีส)
ถึงแม้จะโดนเพื่อนยุยงให้ตัดทอนเวลาลงไปจนกลายเป็นแค่ทางผ่าน แต่ผมก็คาดหวังว่ามิลานจะมอบประสบการณ์ First Class ที่น่าประทับใจ รวมทั้งแอบภาวนาอย่าให้เหมือนตอนนั่งเครื่องบินไปส่งคนไข้ตอนนั้นเลย
รถไฟชะลอความเร็วเพื่อเตรียมพร้อมเข้าเทียบชานชะลาที่สถานีปลายทาง
พวกเราเหวี่ยงเป้ยักษ์ขึ้นหลังอีกครั้ง พร้อมเดินผ่านประตูออกมาสู่โลกภายนอก
สำหรับผมแล้ว Milano Centrale คือหัวลำโพงดีๆ นี่แหละ คนเยอะ วุ่นวาย สับสนอลหม่าน เหมือนกันไม่มีผิด โครงสร้างในชานชะลาดูเก่าแก่ แต่ได้รับการอัพเกรด ทำพื้นใหม่ ใส่จอทีวี มีตู้ขายน้ำอัตโนมัติ ในสถานีมีแทรคอยู่เกือบ 20 แทรค ใครจะไปไหนมาไหนเผื่อเวลาไว้สักหน่อยก็ดีเพราะสถานีกว้างใหญ่มาก นักท่องเที่ยววิ่งหาขบวนรถไฟมีให้เห็นกันจนชินตา
ขากกกกกกกกถุ๊ยย!!!!
ลุงที่เดินอยู่ข้างหน้าแต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากหนังมาเฟีย เสื้อโค้ทยาวสีดำ ผูกไทด์ และใส่หมวกมีปีก ลุงถุยน้ำลายลงพื้น จนผมเหยียบเบรคหน้าจะทิ่ม ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไร ผู้ชายที่เดินเบียดเสียดอยู่ข้างกันก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบ สูดเต็มปอด แล้วพ่นควันใส่หน้ากันกลาง Milano Centrale พอผมหันไปมอง ก็เจอหน้าตาแบบ...
มึงมีปัญหาก่ะบุหรี่กูเหรอ?…ใครจะกล้ามี(วะ) ตัวยังก่ะยักษ์
ภารกิจแรกที่ตั้งใจไว้คือหาซิมการ์ดมาใส่มือถือให้มันเปิด google map ได้ อ่านมาจากในอินเตอร์เน็ตเขาบอกว่าของค่าย TIM สัญญาณดีและครอบคลุมที่สุด หลังจากเดินวนอยู่สองรอบ เราก็เจอร้าน TIM shop พอเดินเข้าไปเราก็พบกับพนักงานชายรูปร่างท้วมนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่หลังเคาท์เตอร์ ผมยื่นรูปซิมการ์ดที่ต้องการให้ดู
“ผมอยากซื้อซิมแบบนี้ครับ”“ไม่มี”….
….
อ้าวเฮ้ย จบแล้วเหรอ คือจังหวะ Dead Air แบบนี้ เป็นพนักงานขายมันต้องแนะนำซิมแบบอื่นให้สิ
“แล้วตอนนี้มีแบบไหนให้เลือกบ้างครับ”“ก็แล้วแต่ ว่าต้องการอะไร”ผมมองหน้าเอก เหมือนจะถามว่า ไอ้อ้วนนี่มันกวนตีนพวกเราอยู่ใช่ไหม เอกพยักหน้า
“คือผม (กู) เป็นนักท่องเที่ยว อยากได้ซิมเล่น net เป็นหลัก แต่โทรออกได้นิดหน่อย เผื่อเอาไว้ติดต่อที่พักหรือใช้ยามฉุกเฉิน”คำตอบที่ได้รับก็เหมือนเดิมคือ..
“ไม่มี” หลังจากนั้นน้องอ้วนก็ยอมคายข้อมูล Internet Data Sim มาหลายแบบ ซึ่งไม่มีสักแบบที่สามารถโทรออกได้ ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับอ้วนอีกต่อไป เราจึงล่าถอยออกมาโดยไม่มี Sim Card
. . .
“แล้วจะหาโรงแรมเจอไหมเนี่ย”
เอกเริ่มกังวล พลางมองเอกสารยืนยันการจอง มีชื่อโรงแรมเขียนว่า ‘Affittacamere Severso’
“ไม่ต้องห่วง จำได้ว่าที่จองเอาไว้เดินแค่ 5 นาทีจากสถานีรถไฟ ไปเถอะไม่หลงหรอก”
15 นาทีผ่านไป....หลง!!!!
เราเดินวนตามแผนที่ในกระดาษ แต่ไม่เจออะไรที่เข้าใกล้ความเป็นโรงแรมเลยสักนิด จากตอนแรกที่คิดว่ามีเวลาเหลือมากมายก่อนจะจับรถไฟไปทะเลสาปโคโม่ แต่ตอนนี้ถ้าขืนยังหาโรงแรมไม่เจอเราอาจจะตกรถไฟ
สุดท้ายผมก็เปิดประตูเข้าไปถามคุณป้าที่กำลังทำความสะอาด ฝ่ายนึงพูดอังกฤษ ฝ่ายนึงพูดอิตาลี คุยกันอยู่หลายนาทีจนเมื่อยมือ แต่สุดท้ายเราก็มายืนประจันหน้ากับตึกเก่าๆ ที่ประตูกรงเหล็กมีป้ายและปุ่มกดออดเรียกตามชั้นแต่ละชั้น ภายใต้แผ่นอะคริลิกที่เก่าจนเหลือง มีป้ายกระดาษเขียนว่า ‘Affittacamere Severso’
ผมกดปุ่มลงไป... ไม่มีการตอบรับ
“แน่ใจเหรอว่าทำอย่างงี้อ่ะ” เอกถาม
ผมพยักหน้า
“เคยเห็นในหนัง มันเป็นคล้ายกับ Inter-com จริงๆ มันต้องมีคนตอบเรากลับมาสิ”ผมกำลังจะกดปุ่มอีกที แต่เสียงผู้หญิงดังขึ้นที่ลำโพง
“Yes?”เป็นไงล่ะ!!! ผมยิ้มออก
“ที่นี่ Affittacamere Severso ใช่ไหมครับ”….เงียบ
“ผมจองห้องพักไว้กับคุณ ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม”มีเสียงผู้หญิงคนเดิมตอบกลับมา แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
ผมเริ่มจะเซ็ง เพราะตามแผน ตอนนี้เราควรจะนั่งชิลทานอาหารเช้าจิบกาแฟ ระหว่างรอรถไฟรอบถัดไป ไม่ใช่มาเดินหลง และทะเลาะกับ Intercom หน้าที่พักแบบนี้
เฮ้อ มิลาน...เธอเรียลไปนะ
ในที่สุดประตูก็เปิดออก เราก้าวเข้าไปในตึก ยืนหมุนซ้ายหมุนขวาหาเคาท์เตอร์ Reception สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจากคุณป้าที่กำลังทำความสะอาด (อีกแล้ว) เธอชี้นิ้วไปที่ลิฟท์แล้วก็ก้มหน้าก้มตาขัดพื้นต่อไป ผมกดชั้นตามหมายเลขที่อยู่ตรงป้ายหน้าประตู ลิฟท์เคลื่อนตัวขึ้นอย่างช้าๆ ผมตระหนักว่านี่คงไม่ใช่โรงแรมแบบที่คุ้นเคย แต่น่าจะเป็นอพาร์ตเมนท์ แล้วเจ้าของห้องแบ่งมาให้เช่า
เท่าที่เปิดดูในใบจอง ที่พักของผม 3 คืนขึ้นต้นด้วยคำว่า
Affittacamereผมมาค้นข้อมูลดูทีหลังเลยรู้ว่า Affittacamere เป็นคำในภาษาอิตาลีแปลว่า
‘ห้องพักแบ่งเช่า’ นั่นเอง โดยปกติห้องพักแบบนี้เราจะเจอในรูปแบบของ airbnb ซึ่งบางประเทศมันผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้เสียเงินให้รัฐบาลในรูปแบบของภาษีโรงแรม และยังไม่มีการควบคุมความปลอดภัยตามมาตราฐานของโรงแรมที่ควรจะมี แต่ในอิตาลีเขามีกฎหมายออกมารองรับเป็นเรื่องเป็นราว โดย Affittacamere คือ อาคารที่มีห้องพักแบ่งเช่าไม่เกิน 6 ห้องขึ้นไป
Affittacamere ราคาไม่ถูก บางครั้งเท่ากันหรือแพงกว่าโรงแรมเสียอีก แต่ที่กินขาดจริงๆ คือทำเล ปกติเวลา Backpack มาเที่ยวเองผมจะเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟเสมอเพื่อความคล่องตัว โรงแรมใกล้สถานีรถไฟหรือใกล้จุดยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวของเมืองในอิตาลีนั้น ราคาเริ่มต้นมักอยู่ที่ 5-6 พันต่อคืน การจะหาโรงแรมคืนละ 2-3 พันเท่ากับ Affittacamere ในทำเลที่ดีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีโผล่มาให้ลองไปอ่านรีวิวอย่างละเอียด... บางครั้งของถูกและดี บางทีก็ไม่มีในโลก
(อย่างน้อยก็ในมิลาน)ข้อเสียของ Affittacamere คือเขาไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ 24 ชั่วโมงเหมือนโรงแรม บางที่จะเช็คอินต้องส่ง e-mail หรือโทรศัพท์ไปนัดแนะเวลากันก่อนล่วงหน้า ฉะนั้นถ้าเครื่องมาถึงรอบดึก จะเช็คอินตอนเที่ยงคืน แบบนี้อาจต้องคุยกับเจ้าของห้องว่าเขาจะมาเปิดห้องให้ไหม
พนักงานต้อนรับของเราเป็นเด็กสาวขี้อายคนหนึ่ง ดูจากตาตี่เป็นสองขีดก็รู้ว่าบรรพบุรุษของผมและเธอมาจากทวีปเดียวกัน การเช็คอินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและตะกุกตะกัก เพราะอาหมวยอีเปงคงจีน อีพูดภาษาอิกตาลีม่ายค่อยล่าย ภาษาอังกิกอีก็ม่ายค่อยล่าย ...โอย แล้วอั๊วะจะทำยังงายย อั๊วะจาตกโล้กไฟเลี้ยวว
ถึงแม้ข้างนอกจะโทรม เต็มไปด้วยสีสเปรย์ที่พ่นไว้เต็มกำแพง มีเจ้าหน้าที่เป็นอาหมวยที่ต้องรำไทเก๊กใส่กันอยู่นานกว่าจะรู้เรื่อง แต่ห้องนอนกว้างขวางและสะอาดใช้ได้ มีครัวเล็กๆ เอาไว้ให้ทำอาหาร ผมเปิดตู้เก็บเครื่องปรุงเจอ แม็กกี้ ทิพรส และพริกป่น เดาว่าน่าจะเป็นของเพื่อนร่วมชาติคนก่อนๆ ห้องน้ำมี 2 ห้องต้องแชร์กันกับแขกคนอื่น
เนื่องจากห้องพักยังไม่เสร็จเรียบร้อย และเราก็เหลือเวลาไม่มาก ผมกับเอกเลยรีบแปรงฟัน ล้างหน้าล้างตา เอาเป้ยักษ์กองหลบไว้ในครัวแล้วรีบเผ่นออกมาจากที่พัก
พอไม่หลง เราก็ใช้เวลา 10 นาทีในการเดินถึง Milano Centrale เพียงพอสำหรับซื้อตั๋วมุ่งหน้าไปทะเลสาปโคโม่ แต่ไม่พอสำหรับการกลับเข้าไปทะเลาะกับน้องอ้วนที่ TIM shop
. . .
“ไม่มี Sim card แล้วไม่หลงเหรอ” เอกถาม
“ไม่หลงหรอก”“...ตอนเดินหาโรงแรมก็บอกว่าไม่หลง”“เอาน่า คราวนี้ไม่หลง รับรอง!!!”.....(มั้ง)
つづく
พบกันใหม่ตอนต่อไป
ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in