ชื่อเรื่อง: แมวนักพยากรณ์แห่งร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง (2564)
ผู้เขียน: ไม โมจิทสึกิ
ผู้แปล: ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์
สำนักพิมพ์: Piccolo
ราคาปก: 255 บาท
***Contains some spoilers
เป็นเรื่องที่ดึงดูดใจให้ซื้อตั้งแต่เห็นปก อาจเป็นเพราะในใจชอบรูปวาดแนวนี้อยู่แล้วก็เป็นได้ เหมือนตอนที่ซื้อ ‘ปาฎิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ’ ครั้งแรก ก็เป็นเพราะถูกหน้าปกดึงดูด ซึ่งถ้ามีเวลาคงได้มาเล่าเรื่องร้านชำฯ ย้อนหลัง
แมวนักพยากรณ์แห่งร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง แบ่งเนื้อหาหลักเป็น 3 บท (ไม่นับรวมอารัมภบทและบทส่งท้าย) แต่ละบทจะเล่าผ่านมุมมองของแต่ละบุคคลต่างกันไป เรื่องราวของพวกเขาจะมีจุดหนึ่งที่ได้เข้าไปเป็นลูกค้าของร้านกาแฟที่เปิดให้บริการเฉพาะในคืนจันทร์เต็มดวงซึ่งรันกิจการโดย ‘มาสเตอร์แมว’ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ฉายาแต่เป็นแมวจริงๆ! ไม่เพียงเท่านั้น พนักงานในร้านต่างก็เป็นแมวทั้งหมด!
ความรู้สึกหลังอ่าน
เรื่องดำเนินไปอย่างราบเรียบ สามารถอ่านได้เพลินๆ วันละบทได้สบาย แมวนักพยากรณ์ฯ ไม่ใช่เรื่องประเภทที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งหรือทำให้เราจดจ่อจนวางไม่ได้ อย่างที่บอก หนังสือดำเนินเรื่องอย่างราบเรียบ แต่ในความราบเรียบนั้นแฝงด้วยแรงบันดาลใจบางอย่าง ที่บอกได้เลยว่าอาจทำให้คนที่กำลังมีวันแย่ๆ ได้เชียร์อัพ หรืออาจเป็นแรงกระตุ้นให้คนที่กำลังหลงทางได้พบทางออก
ก่อนอื่นเลยคือเรื่องตัวละคร เชื่อว่าไม่ว่าใครได้อ่าน จะต้องเห็นเงาตัวเองซ้อนทับกับตัวละครในเรื่องนี้ทั้งสิ้น ตัวละครในเรื่องอยู่ในช่วงวัยสามสิบถึงสี่สิบปี ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในเรื่อง ก็ล้วนเป็นปัญหาที่เราพบเห็นได้ในสังคมปัจจุบัน ถึงเซตติ้งตัวละครจะอยู่ในวัยสามสิบอัพ แต่เชื่อเถอะ ว่าแม้แต่คนที่อายุอยู่ระหว่างช่วงสิบถึงยี่สิบได้อ่าน ก็คงจะรู้สึกรีเลทกับพวกเขาไม่ต่างกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็ดูปัญหาที่แต่ละคนกำลังเผชิญ
- นักเขียนตกอับ ทั้งๆ ที่เธออุตส่าห์ลาออกจากอาชีพเดิมที่ใครก็บอกว่าเหมาะกับนิสัยและความสามารถมาเลือกทำอาชีพนักเขียนบทที่ตัวเองรัก
- ผู้กำกับสาวที่ดันเกือบเข้าไปเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์อย่างไม่ตั้งใจ
- นักแสดงสาวที่ถลำลึกเข้าไปมีสัมพันธ์กับคนมีเจ้าของ
- สตาร์ทอัพหนุ่ม ซึ่งชีวิตและกิจการดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่กระนั้น ช่วงหลังมานี้ชีวิตดันเจอแต่ปัญหาและข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นแค่กับตัวเอง
- ช่างเสริมสวยที่แม้จะได้ทำอาชีพในฝันและกำลังไปได้ดี แต่ดันรู้สึกอึดอัดกับการโดนจำกัดไอเดีย
พอมองอย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ว่านี่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสังคมเราเลยหรือ?
ที่บอกว่าคนวัยสิบกับยี่สิบสามารถรีเลทกับตัวละครในเรื่องได้เป็นเรื่องจริง เพราะมีหลายครั้งเลย ที่พวกเขาทำให้เราย้อนกลับไปคิด ถ้าในตอนเด็ก ถ้าเราในตอนเรียน ถ้าเราในตอนทำงาน ถ้าเราในตอนนั้นไม่ได้ตัดสินใจทำแบบนั้น ตอนนี้ชีวิตเราจะเป็นไปในทิศทางไหน? หรือถ้าเราในตอนนั้น ตัดสินใจทำอีกแบบแทน จะดีกว่าไหม?
แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ ถ้าเราแต่ละคนเผชิญกับปัญหาแบบเดียวกัน ก็คงคิดไม่ตกเลยว่าจะทำยังไงดี ในนิยายเรื่องนี้ ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวงเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นในการตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านั้นโดยใช้โหราศาสตร์ตะวันตกซึ่งเป็นการทำนายดวงชะตาผ่านการโคจรของดวงดาว
"ช่วงอายุของคนเราถูกจำแนกออกตามนั้น โดยรวมดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เข้าไปด้วย ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวพลูโตครับ"
แมวนักพยากรณ์ฯ, 37-38.
ประโยคข้างต้นเป็นเพียงการเริ่มต้นทำนายครั้งแรกในเรื่อง และออกมาตั้งแต่บทที่หนึ่งเท่านั้น แต่นั่นเป็นประโยคที่ทำให้เราได้เริ่มมาขบคิดกับตัวเอง และผลักดันให้อยากอ่านเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนจบ พอยกประโยคมาเดี่ยวๆ แบบนี้อาจจะไม่เข้าใจว่ามันมีความหมายยังไง แต่ถ้าได้อ่านตามบริบทในเรื่อง ก็จะรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเลย --- ในขณะที่เราคิดว่าตนเองที่อายุสี่สิบนั้น กลายเป็นวัยที่สายเกินกว่าจะเริ่มทำอะไรแล้ว แต่ในทางโหราศาสตร์ อายุสี่สิบคือช่วงวัยแห่งดาวอังคาร ซึ่งเพิ่งจะเป็นการเริ่มต้นก้าวออกไปใช้ชีวิตในฐานะผู้บรรลุนิติภาวะหลังจากผ่านดวงดาวช่วงแห่งการเรียนรู้และช่วงแห่งการสนุกสนานอย่างดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์มาเท่านั้นเอง ประสบการณ์ทั้งหมดที่เราสะสมมาทั้งชีวิตเพิ่งถึงเวลาที่จะได้รับการประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ก็ตอนนี้แหละ
ลองมองผ่านสังคมของเราสิ ไม่รู้สึกกดดันเหรอ พอเรียนจบม.ต้น ก็ต้องอ่านหนังสือสอบเข้าม.ปลาย พอเข้าม.ปลายแค่ปีที่สองก็ต้องเตรียมสอบเข้ามหาลัย พอจบมหาลัย ความคาดหวังและสถานะบางอย่างก็กดดันให้เราต้องหางานทำทันที ทั้งหมดนี้อยู่ในช่วงเวลาเพียงสิบปีของชีวิตเราเท่านั้น อาจมีหลายคนที่เริ่มช้ากว่าคนอื่น หรืออาจมีอีกหลายคนที่ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ให้สำเร็จภายในเวลาที่ตนเองและค่านิยมคาดหวัง ทำให้รู้สึกท้อหรือรู้สึกผิดหวังกับความสามารถตน
ซึ่งก็แน่ล่ะ ว่าแต่ละคนต่างก็ผ่านช่วงเวลาแต่ละแบบมาไม่เหมือนกัน บางคนพอมองย้อนกลับไปอาจจะคิดว่าตนเองทำอะไรอยู่ ทำไมถึงใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ในขณะที่บางคน ค้นพบในสิ่งที่ตนเองอยากทำได้เร็ว ทำให้ได้มีเวลาลองผิดลองถูกมากกว่าคนอื่นๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งมีตัวเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตอย่างไม่คุ้มค่า แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนล้วนผ่านช่วงจังหวะของชีวิตมาไม่เหมือนกัน แม้แต่คนที่เรามองว่าชีวิตราบรื่น อาจจะเพราะเขาเริ่มต้นออกวิ่งก่อน หรือเป็นเพราะเขาได้รับโอกาสที่ดีก่อน แท้ที่จริงเขาก็ยังสามารถมีเรื่องทุกข์ใจและต้องการหาทางออกได้เช่นกัน (ตัวอย่างในที่นี้คือผ่านหนุ่มสตาร์ทอัพ)
หลักการมองชะตายังปรากฏในหนังสืออีกมาก ตัวอย่างการจำแนกดาวนี้เป็นหนึ่งในส่วนน้อยที่หนังสือยกมาเท่านั้น คนที่ศึกษาเรื่องโหราศาสตร์มาคงจะรู้สึกคุ้นเคยกันดี ทั้งคำว่าเนทัลชาร์ต และคำว่าเฮ้าส์ ซึ่งหลักการทำนายในชีวิตจริงเหล่านี้ก็ถูกหยิบมาใช้ในนิยายเรื่องนี้อีกด้วย (ขอผ่านตรงนี้ ไปอ่านต่อเอาในนิยายนะ!)
การทำนายดวงในหนังสือนั้น เชื่อว่าหลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราน่าจะรู้อยู่แล้ว ก็คอมมอนเซนส์ออกซะขนาดนั้น อาจจะมีความรู้สึกแบบ ถ้าลองคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลแค่ลองทำแบบนี้ก็สิ้นเรื่องนี่นา แต่หลายครั้งเชื่อเถอะ คนที่เจอปัญหาจริงๆ อาจจะมองข้ามเรื่องสำคัญไป เพราะในชีวิตจริงเราไม่ได้มองโลกผ่านมุมมองบุคคลที่สามนี่ หรือในบางครั้งอาจเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา หรือหลายครั้งเราเองก็อาจจะรู้คำตอบอยู่ในใจซะด้วยซ้ำแต่อาจขาดคนที่ยืนยันความคิด ผลักดันให้เรากล้าลองอยู่ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นการกระตุ้นให้คิดและผลักดันแบบพวกมาสเตอร์แมวนี่แหละ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราค้นพบทางออกของปัญหาได้ ในที่นี้คือใช้วิธีผ่านการทำนายดวงนั่นเอง
เหล่าแมวเหมียวในเรื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เหล่ามนุษย์สามารถผ่านช่วงเวลาที่ลำบากไปได้ ถ้าหากเรามีโอกาสได้ไปยังร้านกาแฟจันทร์เต็มดวงบ้างก็คงจะดีไม่น้อย...แต่เราจะโชคดีบังเอิญไปพบร้านกาแฟแบบนั้นได้หรือเปล่า?
อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการเล่าเรื่องของผู้เขียน สังเกตได้เลยว่าทุกสิ่งที่ปรากฏล้วนมีความเป็นเหตุเป็นผลกันไปหมด ทั้งความเกี่ยวข้องกันทั้งหมดของตัวละครหลักด้วยกันเอง และความสัมพันธ์ของพวกเขากับเหล่าแมวเหมียว ตอนแรกเราก็คิดว่าการที่ทุกคนไปโผล่ที่ร้านจันทร์เต็มดวงได้คงเป็นเพราะความบังเอิญ (คล้ายๆ แบบ เฮ้ย นี่เป็นระบบสุ่มผู้โชคดีหรือเปล่า?) แต่เปล่า ในช่วงท้ายเราจะได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มขึ้นก่อนหน้านั้นมาเป็นเวลานานแล้ว นานจนพวกเขาน่าจะแทบจำไม่ได้ด้วยละมั้ง ในความคิดของเรา จะว่าเป็นเพราะโชคชะตาไหม ก็ใช่ จะว่าเป็นความบังเอิญไหม ก็ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คงคล้ายกับว่า fate และ destiny ต่อให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถูกกำหนดมาอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าก็เป็นตัวของเราเองที่ผลักดันให้เกิดโอกาสนั้นขึ้นมา การประกอบกันของโชคชะตา ความบังเอิญ และตัวเราเองถึงได้ก่อให้เกิดโอกาสที่ดียังไงล่ะ ถึงได้บอกว่าทุกอย่างล้วนมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน
สุดท้ายนี้ก่อนจากไป ขอพูดถึงประโยคเล็กๆ น้อยๆ ที่โผล่มาในเรื่องแต่ดันชอบมากสักหน่อย เป็นบทพูดของพระรองในเกมที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องได้สร้างสรรค์ขึ้นมา แล้วดูเหมือนว่าจะโดนใจผู้เล่นอยู่ด้วย
"สำหรับฉันแล้วเธอคือเจ้าหญิง ดังนั้นการได้อยู่กับเธอจึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชายเลย ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาแสนวิเศษนะ"
เพราะปกติแล้วเรามักจะติดภาพว่าตัวเอกในเกมคือผู้โชคดีใช่ไหมล่ะ ยกตัวอย่างจากในเกมจีบหนุ่ม ทั้งได้เจอเรื่องที่น่าตื่นเต้น ได้คู่กับพระเอกที่เป็นเป้าหมายในเกม แต่พอเห็นประโยคนี้และมองในมุมกลับกัน เออ เราก็เข้าไปเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตของใครหลายคนได้เหมือนกันเนอะ
.
จบ
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in