เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ก็บ่นไปเรื่อยแหล่ะThe normal girl who struggle in everything
จุดที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป
  •     “การเปลี่ยนผ่าน” ตั้งแต่ต้นปี 2020 ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรจะเปลี่ยนไป เราอาจจะยังไม่รู้สึกตัวรึเปล่า แต่พอเริ่มมีโควิดช่วงต้นปีมาก็รู้สึกว่ามันทำให้เราเปลี่ยนไปเยอะมาก ในช่วงต้นเทอมที่เรียนที่มหาลัย ปลายเทอมเรียนออนไลน์ ช่วงเรียนออนไลน์นั้นเราอยู่หอ ได้อยู่กับตัวเองมากๆในช่วงนั้นก็รู้สึกว่าชีวิตเรื่อยๆ เรียนหนังสือ อ่านนิยายนอกเวลา ดูซีรี่ย์ ไม่ได้รู้สึกเหงาอะไร เพราะชอบอยู่คนเดียวอยู่แล้ว พอจบเทอมก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัด อยู่บ้านถึงสองเดือนเต็มๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เออแล้วช่วงนี้เราส่งเพลงไปอวยพรและขอโทษที่ทำให้เขาอึดอัดให้คนที่เราตัดใจไม่ได้สักที รู้สึกว่าอะไรที่หนักๆในใจเริ่มเบาลงไป พอเปิดเทอมปีสองในช่วงเดือนสิงหาคม ก็เริ่มเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มไปยุ่งกับความสัมพันธ์ของเพื่อนที่แอบชอบเพื่อนในกลุ่ม ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ อยากเห็นเพื่อนมีความรัก รู้สึกสนุก มีสีสันที่เห็นเพื่อนแอบชอบกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็พัวพันยุ่งเหยิงจนเราเหนื่อย แรกๆก็รู้สึกสนุกนะ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆก็เหมือนโดนว่าเราน่ะเป็นคนทำลายความรักของทั้งสอง ถ้าไม่มีเราพวกเขาคงสมหวัง 
        ปี 2020 คือประเด็นเรื่องเพื่อนเราใหญ่มาก เพราะเทอมนี้เรามาอยู่หอกับเพื่อนสนิทในกลุ่ม ดูเหมือนว่าที่เราไปเป็นเหมือนมือที่สามนั้นทำให้เหมือนทำให้เราเป็นเหมือนขยะของความรู้สึกของคนทั้งสอง แล้วอะไรที่มันแย่ๆก็จะลงมาที่เราหมดเลย โดยไม่สนความรู้สึกเรา เพื่อนบางคนก็พูดแทงใจดำ แล้วหลุดพ้นด้วยคำว่า แค่หยอกเอง มีวันหนึ่งมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนเพราะพวกเขาคุยกันจนดึกทำให้เรานอนไม่หลับไปทั้งคืนเลย เราโมโหมาก เราก็เลยบอกไปว่าเราโมโหเรื่องอะไร เขาก็เงียบไป ไม่คุยเรื่องนี้อีกเลย พอขอโทษก็ขอโทษแบบส่งๆ และเขาก็พูดแทงใจดำอีกแล้วด้วยคำพูดที่ไม่น่าออกจากปากของเพื่อนที่เราเรียกว่าเพื่อนสนิท และเราต้องกลับมาจัดการกับตัวเอง แล้วต้องกลับไปคืนดีเพราะว่าเราอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งๆที่ในใจเราพังไปหมดแล้ว แต่เราต้องแสร้งทำว่าเราโอเค เราเหมือนตัวตลกในกลุ่ม รู้ไหมว่าเราใช้มุกตลกนั้นเพื่อหลบหลีกตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ให้พวกเขารู้ หลังจากเกิดเรื่องเรายิ่งสร้างกำแพงให้ตัวเองสูงไปอีก ภายนอกเราอาจจะดูเข้มแข็ง แต่ที่จริงแล้วไม่เลย
      บางครั้งการอยู่กับพวกเขามันก็รู้สึกเหมือน Too good to be true แต่พอเราดิ่ง เราเศร้า ไม่เคยมีใครอยู่ข้างๆเราเลย ไม่มีคำถามสักคำว่าเป็นอะไรรึเปล่า หรือเราคาดหวังมากเกินไป นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไม่มีใครอยู่สู้เพื่อเรา นอกจากตัวเอง แต่ถ้าพวกเขามีอะไรแย่ๆเราก็จะอยู่ข้างเขานะ เพราะเราเข้าใจดีว่าการไม่มีใครอยู่ข้างๆเวลาที่ทุกข์มันเป็นยังไง
      พอกลับบ้านในช่วงปีใหม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องเริ่มใหม่ เริ่มเติบโต เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และลองทำสิ่งใหม่ๆ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะแม่เรากำลังจะตกงานในวิกฤตโควิด ซึ่งกระทบในเรื่องเงินของครอบครัวแน่ๆ เราคงต้องตั้งสติอีกครั้ง ประหยัดเงินมากขึ้นซึ่งก็ไปขัดกับไลฟสไตล์กับเพื่อนที่มหาลัยที่เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยได้ นั่นเอาไว้เป็นปัญหาค่อยไปแก้แล้วกัน 
       อยากจะบอกตัวเองว่า สู้ต่อไปนะ เพื่อความฝัน การเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันช่างยากเย็น แต่เราเชื่อว่าตัวเองต้องผ่านวิกฤตนี้ไปได้

     เพลงนี้คือเพลงที่เราส่งให้คนที่เราเคยแอบชอบ แต่ตอนนี้เรามูฟออนออกมาได้แล้ว ไม่รู้สึกว่าติดใจอะไรอีก

    และนี่ก็เป็นเพลงที่อธิบายความรู้สึกเราที่ผ่านมาและในตอนนี้ได้มากๆ ได้แต่ถามตัวเองว่าความทุกข์จะอยู่กับเราได้ตลอดไปรึเปล่านะ

    ปล. ปีนี้เพลงของ Taylor Swift ช่วยเราไว้จริงๆนะ ต้องขอบคุณมากๆเลยที่ทำเพลงดีๆมาให้ฟัง เหมือนเป็นสิ่งที่เยียวยาจิตใจในยามที่เรารู้สึกว่าไม่มีใคร (เรารักพ่อแม่นะ แต่พวกท่านก็มีเรื่องหนักใจมามากพอแล้ว)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in