สวัสดีค่าาา คราวนี้เราขอแวบจากรีวิวการเรียนในมหาลัย แล้วมาแชร์ประสบการณ์การฝึกงานกับสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เนื่องจากการฝึกงานกับสถานกงสุลของเราเพิ่งจบไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนอื่น เราขอแนะนำตัวสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านบล็อกของเราเป็นครั้งแรก เราชื่อ
ข้าว ตอนนี้กำลังศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ (หรือที่คนอื่นมักจะรู้จักกันในนามมนุษย์อิ้งนั่นเองฮะ) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชั้นปีที่ 4 💜🐘
เราได้ฝึกงานในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ก่อนที่จะขึ้นปี 4 เราเลือกฝึกงานที่สถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เชียงใหม่ โครงการฝึกงานนี้มีชื่อว่า "Foreign National Student (Thai) Intern Program" หรือ "FNSIP" ซึ่งจะมี 2 sessions session 1 อยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ส่วน session 2 อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม การฝึกงานเป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนเราเลือกฝึกใน session 1 ในแผนก Public Diplomacy หรือ PD เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมของเราค่าา
อ้อออ สำหรับคนที่กำลังหาที่ทำสหกิจศึกษา เราขอเบรคตรงนี้เลยว่า โครงการ FNSIP กับสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ นั้นไม่มีสหกิจศึกษานะคะ จะเป็นการฝึกงาน แต่ถ้าใครอยากทำเป็นสหกิจจริง ๆ ก็ต้องไปฝึกที่อื่นเพิ่มอีกเพื่อให้ชั่วโมงการฝึกงานครบตามที่มหาวิทยาลัยของตนกำหนดไว้ เนื่องจากการฝึกงานของเรามีระยะเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้นน (เป็น 2 เดือนที่ผ่านไปไวมาก ๆๆๆ 🥹)
APPLICATION PROCESS
หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่เรามักจะโดนถามจากคนรอบตัวก็คือ เปิดรับสมัครเมื่อไหร่?? จริง ๆ แล้วช่วงเวลาการเปิดรับสมัครในแต่ละปีก็จะต่างกันออกไปนิด ๆ หน่อย ๆ ปีของเราเปิดรับสมัครช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ถ้าใครอยากสมัครต้องเตรียมตัวตั้งแต่ปีก่อนหน้า ก็คืออย่างเราที่ฝึกงานในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2023 เราก็ต้องสมัครไปแล้วตั้งแต่ช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน 2022
ถ้าเพื่อน ๆ ไม่อยากพลาดข่าวสารและโอกาสดี ๆ จากทางสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ล่ะก็ กดติมตามโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ ของเราไว้ได้เลยฮ๊าฟฟ ฮี่ ๆๆๆ ขออนุญาตสวมบท PD แปปนึง😁
จิ้ม ๆ เข้าไปได้เลยฮะ
คุณสมบัติคร่าว ๆ ที่มักจะเหมือนกันในทุก ๆ ปี มีอยู่ 5 ข้อ:
(1) ต้องมีสัญชาติไทย
(2) ต้องเป็นนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี ปี 3 หรือ ปี 4 ของมหาวิทยาลัยภายในไทย โดยต้องเหลืออย่างต่ำ 1 เทอมก่อนจะเรียนจบ
(3) เกรดเฉลี่ยขั้นต่ำ 2.80
(4) มีความรู้ภาษาอังกฤษที่ใช้งานได้ในระดับที่ดี
(5) ต้องผ่าน security clearance (หลังสัมภาษณ์ผ่านแล้ว)
เรามาดูคำถามยอดฮิตที่คนมักสงสัยกันดีกว่า
(1) จำเป็นต้องเรียนคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือรับแค่คณะไหนเป็นพิเศษไหม??
>> ไม่ค้าบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็สามารถสมัครได้ และเราไม่มีการรับแค่คณะไหนเป็นพิเศษด้วย ขอแค่มีคุณสมบัติตรงตามที่แต่ละสาขากำหนดไว้ และผ่านการสัมภาษณ์ก็พอ (จริง ๆ แล้วใช้คำว่า "แค่" ก็ไม่ถูกแฮะ) เพราะฉะนั้นถ้าอยากสมัครก็ลุยโลดด
(2) ในแต่ละปี รับนักศึกษาฝึกงานกี่คน??
>> ในแต่ละปีจะไม่เหมือนกันเลยค้าบ ขึ้นอยู่กับว่าปีนั้น ๆ มีสาขาไหนที่เปิดรับฝึกงานบ้าง อย่างปีเรารับทั้งหมด 4 คน 4 สาขาได้แก่ POL, ECON, PD, และ Consular
(3) สามารถเลือกสาขาที่อยากฝึกได้ไหม??
>> ได้อยู่แล้วค่าา ตอนกรอกใบสมัครเราสามารถเลือกสาขาที่อยากฝึกงานได้ 3 อันดับ
(4) ถ้าเรียนอยู่ที่มหาลัยในภาคอื่น ๆ สามารถสมัครได้ไหม??
>> ได้ค่าา ในปีที่เราสมัครมีเพื่อนมาจากภาคใต้ด้วยย
(5) เด็กมัธยมสามารถสมัครได้ไหม??
>> ไม่ได้น้าา แปป ๆ เดี๋ยวก็โตแล้ว รออีกสักนิ้ดด
(6) มีค่าตอบแทนให้นักศึกษาฝึกงานไหม??
>> ไม่มีค้าบบ
(7) ต้องมีผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษไหม??
>> ไม่ต้องค่าา ขอแค่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษและสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานได้ ซึ่งทักษะภาษาอังกฤษของเราจะถูกประเมินโดยพี่ ๆ ที่ทำการสัมภาษณ์เรานั่นเองค่า
ฟังมาขนาดนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่าแล้วจะกรอกใบสมัครได้ทางไหน นี่เลยค่า
หลังจากที่มีการประกาศรับสมัคร เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปกรอกใบสมัครออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์นี้เลยค่า ใบสมัครที่เราต้องกรอกก็จะเป็นข้อมูลเบื้องต้นของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดของใบสมัครข้อเขียนก็คงเป็น essay ว่าทำไมเราถึงอยากมาฝึกงานที่นี่ และเขาจะให้เราระบุไปใน essay ด้วยว่าสนใจแผนกไหนเป็นพิเศษ
INTERVIEW SESSION
ในการสัมภาษณ์พี่ ๆ ที่ติดต่อเรามาจะเป็นพี่จากแต่ละแผนกที่เราสมัครไปเลย เพราะฉะนั้นช่องทางการสัมภาษณ์หรือการติดต่อเรานั้นก็อาจจะต่างกันออกไปแล้วแต่พวกพี่เขา อย่างเราตอนนั้นมีพี่จาก 3 แผนกติดต่อสัมภาษณ์เรามาได้แก่ แผนก Consular, PD, และ ECON
แผนก Consular ติดต่อเรามาเป็นแผนกแรกเลย ซึ่งตอนนั้นพี่เขาโทรมานัดสัมภาษณ์เรา แผนก Consular นัดให้เราเข้าไปสัมภาษณ์ในสถานกงสุล นั่นจึงเป็นครังแรกที่เราได้เข้าไปในสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เราจำได้ว่าตื่นเต้นมาก ๆๆๆ แต่พี่ ๆ ก็น่ารักกับเรามาก พี่เขาเดินมารับเราที่ป้อมยามแล้วก็พาเราไปที่ห้องสัมภาษณ์ เอ๊ะ หรือว่าที่ต้องตามประกบ เพราะเราดูไม่น่าไว้ใจนะ🤔 หยอกกกกก ที่เขาต้องเดินมารับเพราะเราเข้าไปในฐานะ visitor ไม่ใช่ officer ซึ่งเราจะได้รับ badge visitor มาติดไว้ที่เสื้อตลอดการอยู่ในสถานกงสุล แล้วค่อยคืนตอนกลับ
แผนกที่ติดต่อเราถัดมาก็คือ PD นั่นเองงง😍 พี่ ๆ จากแผนก PD และ ECON ติดต่อเรามาทาง email แล้วนัดสัมภาษณ์ออนไลน์
ทุกคนคงอยากรู้แนวคำถามที่เราโดนสัมภาษณ์แล้วล่ะ เราขอรวบรวมคำถามจากทุกแผนกมาคร่าว ๆ ละกันนะ คำถามเท่าที่เราจำได้
(1) บอกจุดแข็ง จุดอ่อนของคุณ??
(2) อะไรทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครท่านอื่น ๆ??
(3) ถ้าเจอปัญหา...คุณมีวิธีรับมือกับปัญหานั้น ๆ ยังไง??
(4) ประสบการณ์ไหนในชีวิตที่คุณรู้สึกว่าท้าทายที่สุด แล้วคุณผ่านมันมาได้ยังไง??
(5) ทำไมคุณถึงอยากมาฝึกงานที่นี่/ในแผนกนี้??
พอสัมภาษณ์เสร็จ ก็รอไปอีกสักพักใหญ่ ๆ จนตอนนั้นเราแอบหวั่นว่าหรือชั้นจะไม่ติดนะ🥹 แต่แล้วก็มีอีเมลตอบกลับมาว่า "Congratulations! You have been selected for the 2023 Foreign National Student (Thai) Intern Program."🥳🎉 หลังจากที่เราได้รับคัดเลือกแล้ว ก็จะมีพี่ ๆ ทีม RSO ติดต้อให้เราเข้าไปทำ Security Clearance
INTERNSHIP EXPERIENCES
ก่อนที่จะแชร์ประสบการณ์การทำงานของเรา เราจะบอกว่าสำหรับคนที่สงสัยว่า เอ... ในแต่ละแผนกจะได้ทำงานอะไรบ้าง?? ในฟอร์มที่เรากรอกจะมีเว็บที่แสดงแต่ละแผนกเลยว่าเขาจะให้เราทำงานอะไรบ้าง ซึ่งจะบอกขอบเขตการฝึกงานของเราไว้ชัดเจนมาก ๆ ทำให้เราเห็นภาพการฝึกงานได้ชัดมากขึ้นว่าถ้าเข้าไปแล้วจะเจออะไรบ้าง ถ้าถามว่าพอเข้าไปฝึกแล้วตรงกับ job description ที่ระบุไว้ไหม เราบอกได้เลยว่าตรงปกค้าบบ ได้ประสบการณ์มากกว่าที่ระบุไว้ซะด้วยซ้ำ🤩
พอเข้าไปทำงานวันแรก พวกเราจะได้ทำ badge(บัตรพนักงาน) และมีบัญชีอีเมลของที่ทำงานเป็นของตัวเอง แล้วก็ต้องเข้ารับการอบรมทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์เกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ ของสถานกงสุล แล้วแต่ละคนก็จะได้แยกย้ายกันไปพบ supervisor ของตนเอง interns ยังมีโต๊ะทำงานเป็นของตัวเองอีกด้วยนะ แต่ห้องทำงานจะแชร์กับ supervisor ของตนเอง ของเราจะพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อยคือ ห้องทำงานของ supervisor เราไม่มีที่พอสำหรับเรา 55555 เราเลยต้องไปอาศัยห้องทำงานกับเพื่อนอีกคน ห้องทำงานพวกเราเลยอยู่กัน 3 คน(เรา, เพื่อน, และ supervisor ของเพืื่อน) แบบอบอุ่นสุด ๆ และเนื่องจากเป็นวันเริ่มงานวันแรก พี่ supervisor ของเราเลยพาเราไปเลี้ยงข้าวเที่ยงแถว ๆ สถานกงสุล ฮี่ ๆๆๆ
ก่อนอื่นเราต้องบอกว่าหน้าที่หลัก ๆ ของแผนก PD คือการรักษาภาพลักษณ์ของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เพราะฉะนั้นช่องทางโซเชียลมีเดียทุกอย่างของสถานกงสุลอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายเราค่า พอเราเข้าไปทำงานวันแรก เราก็ได้รับมอบหมายจาก supervisor ของเราให้ทำ video project อย่างน้อย 1 ตัวในระหว่างการฝึกงาน
การที่เราจะสามารถพัฒนา social media platform ของเราได้ เราก็ต้องศึกษาจากผลตอบรับที่ผ่านมา เราเลยได้รับมอบหมายให้วิเคราะห์ผลตอบรับของผู้ติดตามบน FB page ของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ว่าผู้ติดตามมักจะชอบ content แนวไหน แล้วเราควรสร้าง content แนวไหนเพื่อที่จะเพิ่ม engagement ของผู้ติดตาม สำหรับคนที่กังวลว่าถ้ามาฝึกงานที่นี่แล้วจะได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษหรือไม่ ไม่ต้องห้องค่า เพราะคุณจะได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างหนำใจแน่นอน เนื่องจากเราต้องทำงานร่วมกับชาวอเมริกันหลายคน เวลาเราเขียนร่างงานต่าง ๆ จะต้องทำออกมาเป็นภาษาอังกฤษเสมอ ส่วนเราที่ต้องคอยดูเรื่องของ social media ด้วยนั้น จึงได้แปล social media blurb, speech เปิดงานต่าง ๆ , รวมถึง subtitle ของวิดีโอ อยู่บ่อย ๆ ทำให้เราได้เอาทักษะการแปลออกมาปัดฝุ่นจนเงาวับกันเลยทีเดียว
นอกจากการแปลแล้วเรายังได้ร่าง social media blurb และ bio ของบุคคลสำคัญ ด้วยตนเองอีกด้วย โดยที่จะมีพี่ supervisor คอยช่วยสอนและแนะนำเราอยู่เสมอ เรายังได้มีโอกาส proofread บทสัมภาษณ์ของ CG อีกด้วย ในแต่ละวันเป็นวันแห่งการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ สำหรับเรา ซึ่งมักจะมีงานให้ทำแน่นอน ไม่ต้องกลัวเหงาเพราะเราจะมีงานที่อยู่เป็นเพื่อนเรา 5555555 หยอกกก ในสถานกงสุลจะมีห้องครัวที่มักจะมีพี่ ๆ ใจดีเอาขนมมาแชร์ให้ทุกคนกิน เพราะงั้นเวลาเรากับเพื่อนหิวระหว่างวัน เราก็มักจะไปสุมหัวกันที่ห้องครัว😆 หรือถ้าเหนื่อยล้ากับงานก็ออกไปยืดเส้นยืดสาย แล้วไปเล่นกับเจ้าเหมียว 2 ตัวประจำกงสุล😻
กลับมาที่เรื่องงานดีกว่า อิอิ เนื่องจากเราเป็นพันธมิตรกับหลากหลายองค์กรและหน่วยงานในไทย เราจึงมักจะถูกมอบหมายให้โทรประสานงานกับบุคคลและองค์กรที่เป็นพันธมิตรของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ อยู่บ่อยครั้ง ครั้งแรกเราก็จะตื่นเต้นนิด ๆ เพราะยังงงกับการใช้โทรศัพท์ของกงสุลอยู่ พอปรับตัวได้แล้วก็ไม่มีปัญหาเลย นี่เลยเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ทำให้เราได้ฝึกทักษะการสื่อสารกับผู้คน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นมาก ๆ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
มาในส่วนของทักษะเรื่องความคิดสร้างสรรค์กันดีกว่า พูดได้ว่าว่าเป็นสิ่งที่เราได้ฝึกมากที่สุดเลยก็ได้มั้ง เพราะมันเป็นงานหลักของฝ่ายเรา เราได้ออกแบบ cover photo FB fan page ออกแบบกิจกรรมบางอย่างในงาน 4th of July (งานวันชาติอเมริกา) เช่น quiz ของบูท Juneteenth และจากที่เราได้บอกไปตอนต้นว่าเราได้รับมอบหมายให้ทำวิดีโออย่างน้อย 1 ตัวในช่วงที่เราฝึกงานอยู่ สรุปแล้วเราได้ทำวิดีโอไปทั้งหมด 3 ตัวว คือวิดีโอวันสงกรานต์, Happy Foreign Affairs Day, และ Internship วิดีโอ เราได้ทำทุกขั้นตอนของการสร้างวิดีโอออกมาเลย ทุกขั้นตอนจริง ๆ ตั้งแต่การเขียนทำ story board ว่าจะให้วิดีโอออกมาแนวไหน ใช้ฉากอะไรบ้าง ให้ใครทำอะไรที่ไหน มุมกล้องต้องเป็นยังไง ต้องติดต่อคนที่จะมาอยู่ในวิดีโอเอง ถ่ายและกำกับวิดีโอ ไปจนถึงการตัดต่อและทำ subtitles ของวิดีโอ แน่นอนว่าในงาน event ต่าง ๆ เราจะได้รับบทเป็นตากล้อง จากที่ตอนแรกเรายังไม่ค่อยชินกับการถือหรือจับกล้องตัวใหญ่ ตอนนี้เรารู้สึกชินกับมันเหมือนตอนเราเล่นกับพวกเจ้าเหมียวเลย 55555
ในส่วนของ public speaking เรามีโอกาสได้พูดต่อหน้าสาธารณชนอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ที่แน่ ๆ ก็ในที่ประชุมฝ่ายที่จะมีขึ้นในทุก ๆ สัปดาห์ การฝึกงานกับสถานกงสุลใหญ่นั้น เขาเปิดโอกาสให้ interns ได้แสดงความคิดเห็น และเสนอไอเดียได้อย่างเต็มที่จริง ๆ มุมมองและความคิดเห็นของเรามันมีค่าและเป็นที่รับฟัง เพราะฉะนั้นพวก interns เลยได้เข้าร่วม weekly meeting ของฝ่ายในทุก ๆ สัปดาห์ร่วมกับพี่ ๆ ที่ทำงาน พวกเราได้มีโอกาสออกความคิดเห็นในที่ประชุม และเสนอไอเดียต่อหน้าที่ประชุม ประสบการณ์ที่โชว์ทักษะ public speaking ของเราในช่วงการฝึกงานมากที่สุดก็คงเป็นตอนที่เราได้รับบทเป็น MC (จำเป็น) ประจำเกมในงานวันสงกรานต์ของสถานกงสุล บอกได้เลยว่าไม่มีสคริปต์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะในวันนั้นเราต้องคอยถ่ายวิดีโอเอาไปทำเป็นวิดีโอวันสงกรานต์ด้วย
เราเลย Let's go with the flow baby แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
นอกจากการทำงานในสถานกงสุลแล้ว เรายังได้ออกไปทำงานนอกสถานที่กับพวกพี่ ๆ อีกด้วย ซึ่งส่วนมากเราจะได้รับบทเป็นตากล้องคอยเก็บภาพ, take note, และทำสรุปเนื้อหาใน event ต่าง ๆ ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีมาก ๆ เลย ได้ออกไปทำงานและยังได้ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ
ป.ล. ขอตะโกนบอกว่า เราสามารถไปยืมหนังสือมาอ่านไดด้วยนะ ช่วงที่ฝึกงานเราไปยืมหนังสือมาอ่านหลายเล่มเลย อิอิ แล้วสำหรับสายออกกำลังกาย ที่สถานกงสุลมียิมให้ไปใช้ได้ด้วยนะ เริ่ดด💪
REFLECTION
"ความทรงจำอันมีค่าที่ได้ก่อเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ "
ในการฝึกงานครั้งนี้ เราได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะมากมายนับไม่ถ้วนจริง ๆ อย่างที่เราได้บอกไปแล้วข้างบน เราเลยขอพูดถึงความทรงจำและประสบการณ์ที่เราได้รับละกัน (เตรียมทิชชู่🤧) ก่อนอื่นเลยเราต้องขอพูดถึงคน ๆ นี้ที่สำคัญมาก ๆ ในการฝึกงานครั้งนี้ของเรา ซึ่งก็คือพี่ supervisor ของเรานั่นเอง เป็นคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย พี่หยกเป็นคนที่ทำให้การฝึกงาน complete เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ได้มาเป็น intern ของพี่หยก และรู้สึกขอบคุณพี่หยกมาก ๆๆๆ พี่หยกเป็นคนที่พร้อมจะแชร์ประสบการณ์ทุกอย่างให้กับเราแบบไม่มีกั๊กเลย คอยสอนคอยแนะนำทักษะที่ประโยชน์ให้กับเราอยู่เสมอ และคอยสนับสนุนไอเดีบและโปรเจคต่าง ๆ ของเราให้มันสำเร็จ เราเลยอยากขอบคุณพี่ supervisor คนนี้ของเรามาก ๆ รวมถึงพี่ ๆ ที่ทำงานคนอื่น ๆ ที่คอยช่วยแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้กับเราอยู่เสมอ พี่ ๆ ทุกคนเ็นกันเองกับพวกเรามาก ๆ ที่นี่ทำให้ interns รู้สึกราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่งในสถานกงสุลจริง ๆ
การฝึกงานนี้ยังทำให้เราได้เพื่อนเพิ่มมาอีก 3 คนด้วย ถึงแม้พวกเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะมีภาระหน้าที่ที่ต่างกันออกไป ทำให้แต่ละคนต้องไปโฟกัสที่หน้าที่การงานของตนเอง แต่ทุกครั้งที่เราได้ใช้เวลาด้วยกันก็มักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เวลาที่ได้ใช้ด้วยกันอาจจะไม่ค่อยมาก แต่ทุกครั้งก็มีค่าเสมอ และเราก็อยากจะขอบคุณเพื่อนทั้ง 3 ของเรา โมบาย, มอส, และ บิว ที่มาเป็นส่วนหนึ่งและช่วยให้โปรเจควิดีโอ Internship ของเราสำเร็จออกมาได้💕
เผื่อใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากรู้ว่าวิดีโอที่เราพูดถึงเป็นไงบ้าง จิ้ม ๆ ตรงนี้เลยจ้าา
ดูแล้ว ช่วยกดไลค์ กดแชร์หน่อยน้าา🫠
ท้ายที่สุดนี้เราอยากฝากถึงคนที่อยากมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ FNSIP ว่า
"If you want to be a part of this program, just go for it !!"
Kaow Natthanitcha
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in