วันอาทิตย์เวลาบ่ายสามโมงตรง
รองเท้าด๊อกเตอร์ มาร์ตินหนังด้านสีดำ กระทบเป็นเสียงเบาๆ บนพื้นชานชาลา เธอในเสื้อสเวตเตอร์สีดำสวมทับกับกางเกงทรงกระบอกสีเทาอ่อนลายสก็อต สะพายกระเป๋ากีตาร์ไว้ด้านหลังพร้อมหูฟังที่เสียบแทบจะตลอดเวลา เพลงในเพลลิสต์ยังคงทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงอัตโนมัติดังขึ้นบอกเสียงรถไฟขบวนถัดไปที่กำลังจะมาถึง
“Hey, Get out of the way! Damn it! ” ไหล่เล็กถูกกระแทกจังๆ เข้าให้
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ พวกนี้อีกแล้วสินะ ในสถานที่ที่ดูเหมือนทุกอย่างสะดวกสบายและบรรยากาศแห่งความร่มรื่นที่ผู้คนพูดถึง ยังมีอีกกลุ่มคนที่ไม่ได้ถูกภาครัฐดูแลขนาดนั้น เริ่มแรกเลย ที่เธอเพิ่งเจอวันนี้ พวกโฮมเลสที่ชอบพาลคนอื่นไปทั่ว มีเงินนั่งสูบบุหรี่กับกัญชาไปวันๆ แต่กลับเห็นนั่งติดป้ายขอเงินหน้าร้านทิม ฮอร์ตันส์ กับพวกนักศึกษาที่ต้องรีบวิ่งไปเรียนแต่ละคณะ กับกลุ่มคนชราที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต โดนถูกทิ้งจากลูกหลานจากช่วงที่โรงพยาบาลจิตเวชปิดตัวลงเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นปัญหาคาราคาซังที่ยังไม่ถูกแก้สักที พวกเขาต้องมานั่งทนความหนาว ห่มตัวด้วยผ้าขาดๆ ในช่วงวินเทอร์ ตำรวจได้แต่เดินผ่านไปมาเป็นระยะเพื่อไม่ให้คนพวกนี้เข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย พวกเขาจะไม่ทำอะไรคุณแน่ๆ แต่แค่จะพ่นคำพูดแย่ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแค่นั้นแหละ คุณแค่เดินผ่านพวกเขาและถ้าเขาดึงดันจะไม่ยอมหยุด คุณอาจจะพูดประโยคสั้นๆ อย่าง ‘ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง’ นัยน์ตาแข็งกร้าวจะหม่นลงเล็กน้อยก่อนเขาจะเดินเลี่ยงคุณไป
ระหว่างที่กำลังจับราวใกล้ๆ กับประตูทางออก หญิงสาวผิวดำมองเธอเล็กน้อยก่อนยิ้มให้บางๆ เธอมีนัยน์ตาสีเทาอ่อนที่ชวนหลงใหลกับผมทรงคอร์นโรลที่ถูกถักอย่างเป็นระเบียบ ริมฝีปากสีแดงแครนเบอร์รี่ทำให้เธอดูโดดเด่นและมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว
“นั่งเถอะ ถ้าถึงสถานีหน้าเมื่อไหร่ คุณจะแทบไม่มีที่ยืนเลยล่ะ” เธอชำเลืองมองตัวอักษรของแต่ละสถานีที่ค่อยๆเลื่อนผ่านไป
“อย่างน้อยคุณจะได้ไม่ต้องแบกเจ้านั่นจนถึงจุดหมาย คุณคิดว่าไง? ”
เธอพยักพเยิดไปที่กีตาร์ตัวใหญ่ด้านหลัง ความมั่นใจและใจดีที่ถูกส่งมาให้ ทำให้เธอเลือกที่จะตอบรับคำขอนั้น
“ขอบคุณนะคะ”
“ขอให้คุณมีวันที่ดี” หญิงสาวยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรก่อนโบกมือลาลงจากซับเวย์ไป
เสียงบอกสถานียังคงดำเนินไปเรื่อยๆ กลิ่นกัญชา บุหรี่ และน้ำหอมจางๆ ปะปนไปทั่วบรรยากาศ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เธอเอนตัวพิงพนักที่นั่ง ก่อนวางกีตาร์ไว้ข้างๆ ตัว ยืดเหยียดขาเล็กน้อยหลังจากที่ยืนมาหลายสถานี ไม่นานเสียงประกาศก็บอกจุดหมายของเธอ
วันนี้เธอเลือกที่จะนั่งซับเวย์เพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างกะทันหัน ถึงแม้แสงแดดจะสาดส่องผ่านต้นไม้ข้างทางเกิดเป็นเงาตกกระทบเลือนรางบนพื้น แต่ลมที่พัดผ่านมากลับเย็นยะเยือกจนขนลุกชัน ใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีและบางต้นที่เริ่มร่วงโรยจนเหลือแต่กิ่งก้านที่แห้งกรัง เป็นสัญญาณว่าวินเทอร์จะมาเยือนในไม่ช้า จากที่แค่เดินเหินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มออกตัววิ่งเบาๆ พร้อมห่อตัวจนลีบกับมือที่ซุกในกระเป๋าเสื้อไหมพรมสเวตเตอร์
ในที่สุดก็มาถึงที่นี่ ตึกสีเขียวอมฟ้าที่คุ้นเคยพร้อมกับป้ายที่เด่นตระหง่านกลางย่านควีนสตรีทเวสต์ ‘Steve’s Music Store’
“Hey, Paul” เธอเปิดประตู พร้อมทักทายพนักงานที่ร้าน ที่ตอนนี้คงจำหน้าเธอได้แล้ว
“Hey, he’s already here” เขาอมยิ้มมุมปากบางๆ
เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนเดินถอยหลังกลับมามองหน้าพนักงานที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนพี่ชายอีกคนของเธอไปสะแล้ว คำพูดเป็นทางการถูกเปลี่ยนมาใช้เป็นภาษาพูดสบายๆ ก่อนมือหนาจะยื่นมาขยี้หัวเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู
“Okay, what’s with that smile huh? ”
“Nothing! เธอกำลังตาฝาดไปแล้วแหละ” พอลยังหัวเราะไม่เลิกกับสีหน้าที่พร้อมจะแยกเขี้ยวได้ทุกเมื่อ เหมือนแมวที่กำลังกางเล็บข่วนเจ้าของยังไงยังงั้น เธอยืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆ
“Well, let me tell you again, Paul—— มัน ไม่ มี อะไร ระหว่าง เรา” เธอกระซิบเบาๆ แต่ย้ำอย่างหนักแน่นในทุกถ้อยคำ
“โอเค ฉันจะเชื่อมัน”
“แน่ละ มันควรจะเป็นแบบนั้น”
เธอเลี่ยงที่จะสบตากับพอลก่อนเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ที่ที่เธอใช้ซ้อมกีตาร์เป็นประจำ มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลังเลิกเรียน หรือแม้กระทั่งอ่านหนังสือติวสอบเวลาอยากหาสถานที่เงียบๆ นอกเหนือจากห้องสมุดมหาลัย บางครั้งเธอก็เดินไปหาพอล เพื่อให้ช่วยติวเกี่ยวกับคลาสธุรกิจดนตรีเพราะเรื่องตัวเลขเธอแทบจะเป็นศูนย์ ส่วนใครอีกคนที่อยู่จนปิดร้านเป็นเพื่อนพอล ก็ช่วยเธอเรื่องดนตรี จนควิซที่ผ่านมาเธอทำคะแนนได้ค่อนข้างดีจนเพื่อนสนิทบอกว่าเธอพัฒนาเร็วจนก้าวกระโดด ไม่ใช่แค่เรื่องคะแนนที่เธอพอใจกับมัน แต่ความสนใจในเรื่องดนตรีก็มากขึ้นเรื่อยๆ เธอกลับไปฟังเพลงร็อกเก่าๆ นั่งหัดเล่นกีตาร์เพลงอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากในห้องเรียน หัวใจที่พองโตเวลาได้จับเครื่องดนตรี หรือมองนักดนตรีบนสเตจผ่านหน้าจอแล็ปท็อป
ความตื่นเต้นจนตัวโยนมันคือความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ?
เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็มที่เธอมาที่นี่ เธอไม่แน่ใจว่าสามารถเรียกว่า ‘การนัดเจอ’ ได้หรือเปล่า เราไม่มีเบอร์ติดต่อกันและกัน ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ทุกครั้งที่มาที่นี่เธอแค่พุ่งตัวไปยังสตูดิโอ และมักจะเจอเขา ที่นั่งง่วนอยู่กับการขีดเขียนในสมุดพร้อมมอนิเตอร์เฮดโฟนที่สวมอยู่บนผมสีอ่อน อัดอะไรสักอย่างใส่เครื่องอัดเสียงขนาดเล็ก กับสายตาที่มุ่งมั่นบนหน้าจอแล็ปท็อปที่เสียบสายชาร์ตทิ้งไว้แทบจะตลอดเวลา เธอเจอเขาในบางครั้งเวลามาเยี่ยมพอล แต่ที่แน่ๆ ในทุกวันอาทิตย์เวลาราวๆ บ่ายสามโมงตรงจะเป็นวันที่เราพบกัน ทุกครั้งที่เธอและเขาเจอกัน เราทักทายกันปกติ ความเคยชินเริ่มก่อเกิดเป็นความสบายใจเล็กๆ และทุกอย่างเกิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของสตูดิโอแห่งนี้
“เฮ้ คุณดื่มนั่นทุกวันเลยเหรอ? กาแฟน่ะ” เธอมองไปยังแก้วอเมริกาโน่สองสามแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ ไม่นับแก้วเปล่าของสตาร์บัคส์ที่อยู่ในถังขยะนั่นอีก
“อืม...แค่เกือบน่ะ มันช่วยทำให้ผมทำงานเสร็จได้” เขาทำท่าคิดไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วคุณล่ะ ดื่มมันไหม? ”
“ไม่ล่ะ รสชาติมันขมเกินไป อีกอย่างถ้าฉันติดมันขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนั่นแปลว่าฉันจะขาดมันไม่ได้อีก” เธอเคยชิมมันครั้งหนึ่งที่คาเฟ่หน้าหอเพราะต้องนั่งทำรายงานส่งจนดึก แต่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะรสชาติที่ไม่ถูกปากแถมยังขมเฝื่อนจนไม่อยากสัมผัสมันอีก
“คุณรู้ไหม กาแฟมันก็เหมือนกับคนเรานี่แหละ มันมีหลายประเภท คุณอาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจมันก็ได้ กลิ่นของมันจะทำให้คุณรู้สึกดีในวันเครียดๆ คุณไม่จำเป็นต้องดื่มมันเพียวๆ แบบผม ถ้าคุณผสมนมลงไป คุณจะได้ลาเต้ รสชาติที่นุ่มนวลอาจจะถูกปากคุณมากกว่า”
“คุณกำลังทำให้ฉันคิดว่าคุณทำกี่อาชีพกันแน่” เราหัวเราะออกมาพร้อมกันเบาๆ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทจ้องตรงมาที่เธอ ริมฝีปากยังคงเคลือบไปด้วยรอยยิ้มจางๆ เขามองตรงมาราวกับกำลังจ้องทะลุผ่านกำแพงหนาที่ถูกก่อตัวสูงขึ้น มันช่วยปิดกั้นและปกป้องตัวตนของเธอจากโลกภายนอก
เธอเสมองไปทางอื่น พยายามมองแผ่นไวนิลที่ประดับอยู่บนผนัง ทั้งๆ ที่สมองไม่ได้จดจ่อกับมันแม้แต่น้อย มันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะรู้สึกตื่นเต้นเลย แต่สายตาที่ลอบมองมาเป็นระยะ เหมือนกับจงใจกะเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มเธออย่างช้าๆ สายตาที่ราวกับจะปลดเปลื้องกัน ตัวเธอไม่ได้ต่างไปจากขี้ผึ้งที่กำลังถูกไฟลนจนหลอมละลาย มันแผดเผาจนร้อนวาบขึ้นทุกที ก่อนที่ทุกอย่างจะเผาไหม้วอดวายไปมากกว่านี้ เธอเลือกที่จะหันกลับไปสบตามองตรงๆ คราวนี้เธอไม่ได้ปลดสายตาออก
เราจ้องกันในความเงียบ เธอกะพริบตาถี่ๆ ราวกับผีเสื้อที่กำลังกระพือปีก
มันเงียบเชียบ ต่างกับเสียงหัวใจที่เหมือนคลื่นซัดกระหน่ำ
ปึก!
ก่อนที่ทุกอย่างจะร่วงหล่นจมดิ่งไปมากกว่านี้ เสียงกีตาร์ที่ตกกระทบพื้นราวกับเสียงระฆังขนาดใหญ่ที่ปลุกให้ทั้งเธอและเขาตื่นจากภวังค์ได้สักที
ทุกอย่างมันไม่ควรต่างไปจากเดิม….ไม่ควรสักนิด
เธอหยิบกีตาร์ขึ้นมากอดไว้ในมือ ก่อนค้นหาไอพอดในกระเป๋าผ้าอย่างรวดเร็วและเปิดเพลงดังๆ แข่งกับเสียงในอกที่ไม่สงบสักที ถ้านี่เป็นเพลง เทมโปคงปาไป 135 pbm ได้ เธอไม่ได้เงยหน้ามองคนตรงหน้าหลังจากนั้น หายใจผ่อนเข้าออกเบาๆ และรอให้พายุที่หมุนเป็นเกลียวในช่องท้องสงบลงก่อน
High and Dry by Radiohead is playing —
“You'd kill yourself for recognition
Kill yourself to never, ever stop
You broke another mirror
You're turning into something you are not”
เสียงตีคอร์ดังขึ้น ปิ๊กสีแดงถูกจับอย่างหนักแน่น ก่อนเธอจะฮัมเนื้อเพลงออกมาอย่างไม่รู้ตัว
จนถึงนาทีที่ 2:50 เสียงโซโล่กีตาร์ไฟฟ้าดังขึ้น ไม่ใช่จากในไอพอดของเธอ แต่จากเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาหยิบกีตาร์ไฟฟ้าขึ้นมาและต่อมันเข้ากับแอมป์ ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดบางอย่าง จนเธอต้องดึงหูฟังออก
“คุณว่าอะไรนะ? ”
“You have such a nice voice”
“Nope! I’m not—”
“คุณกำลังลดค่าในตัวเองอีกแล้วนะครับ” นัยน์ตาเข้มขึ้นเหมือนวันนั้นไม่มีผิด เธอเหมือนกับเด็กที่กำลังโดนดุอีกแล้ว แต่ไม่อยากปฏิเสธเลยว่าตอนที่เขาชมว่าเสียงเพราะทำให้ใจพองโตไปด้วย เธอไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟังมาก่อน
เขา...เป็นคนแรกที่ได้ยินมัน
“ทำไมเสียงกีตาร์คุณเป็นแบบนั้น หมายถึงเสียงมันแตกๆ ไม่คลีนเท่ากีตาร์โปร่ง” เธอเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นแทน ไม่ค่อยชินเวลามีคนชมต่อหน้าแบบนี้เท่าไหร่ มันชวนให้ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาดื้อๆ
“อ้อ มันเป็นเอฟเฟคน่ะ คุณสามารถสร้างซาวด์หลายๆ แบบได้จากมันเลยล่ะ” เขาชี้ไปที่เอฟเฟคก้อนที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป พร้อมตัวหนังสืออย่าง overdrive, delay, distortion, reverb, loop และอื่นๆ ที่เธอไม่รู้จัก
“นั่นของคุณทั้งหมดเลยเหรอ? ”
“แค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนของสตูดิโอที่นี่ ผมไม่สามารถซื้อทั้งหมดนี่ด้วยตัวเองหรอก ราคามันสูงเกินไป เลยยืมจากพอลเอาบ่อยๆ จนหมอนั่นบ่นไม่เลิกว่าให้ขยันทำงานกว่านี้จะได้มีเป็นของตัวเองสักที” เขาหัวเราะเบาๆ พอล ช่างไม่ได้ต่างไปจากเพื่อนสนิทของเธอเลยจริงๆ
“คุณอยากลองใช้มันดูไหม? ” เขาตบที่บอดี้กีตาร์ไฟฟ้าเบาๆ
มันดูน่าสนุกและแปลกใหม่ การที่เราสามารถสร้างเสียงที่แตกต่างจากกีตาร์เพียงตัวเดียว มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากเลย
“คุณสวมมันแบบนี้....” เขาสวมสายสะพายกีตาร์ไฟฟ้าให้กับเธอ มันค่อนข้างหนัก ต่างจากกีตาร์โปร่งหรือคลาสสิกมากเลยทีเดียว เพียงแต่คอกีตาร์ที่เล็กกว่าทำให้เธอจับมันได้ถนัดมือมากกว่าเดิม
“คุณเล่นเพลงเมื่อกี้อีกครั้งได้ไหม? ”
“เอ่อ ตอนนี้เหรอ? ”
“ครับ ตอนนี้”
ประหม่าไปหมด มือสั่นจนต้องกุมมือตัวเองแน่นๆ เธอหันหลังให้เขาแล้วเปิดคอร์ดที่หาค้างไว้ในโทรศัพท์ วางมันลงกับที่วางโน้ตเปียโนรีลิคตัวเก่า
ก่อนที่จะได้เริ่มตีคอร์ด กลิ่นน้ำหอมจางๆ นั้นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสแผ่วเบาจากอีกฝ่ายทำเธอสะดุ้งเล็กน้อย เขาเอื้อมไปหยิบเบสที่ติดอยู่กับผนังไม้เหนือเปียโน ก่อนเสียบมันเข้ากับแอมป์อีกตัวข้างๆเธอ มือเรียวสัมผัสท้ายทอยตัวเองเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูก กลื่นน้ำหอมสะอาดๆ ผสมกับความสดชื่นอ่อนๆของผลไม้ เหมือนเปลือกแซนดัลวูดที่ผสมกับเมล็ดตองกา เธอหลับตาลงช้าๆ สัมผัสที่ติดตรึงยังคงไม่จางหาย ความมุ่งมั่นตัดสลับกับความอ่อนโยน ช่างบ่งบอกถึงความเป็นตัวเขาได้ดีจริงๆ
เธอหันกลับไป ก่อนพบกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากมีเสน่ห์นั่น
กลิ่น สัมผัส และเขา
ทุกอย่างถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในตอนนี้ และมันยากเหลือเกินที่จะละสายตาไปจากคนตรงหน้า
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน กระแสน้ำวนถูกซัดกลับเข้ามาหาเธออีกครั้งหลังจากที่มันจางหายไปแล้ว
ปอยผมสีอ่อนที่ยาวระต้นคอร่วงหล่นคลอไปกับนัยน์ตาสีน้ำตาล ยามที่เขาตั้งสายเบส จดจ้องมันอย่างมุ่งมั่น
เธอเริ่มตีคอร์ดเบาๆ โทนเสียงที่ถูกตั้งไว้นั้นไม่แหลมสูงจนเกินไป ซาวด์ที่แตกเบาๆ กับความก้องกังวานไปทั่วห้องเล็กๆ นี้ เขาเริ่มเล่นเบสตามการตีคอร์ดของเธอ นิ้วชี้และนิ้วกลางดึงสายขึ้นและลง พร้อมมือซ้ายที่สไลด์เฟลตไปเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้นิ้วโป้งตบเข้ากับสายเป็นจังหวะหนักๆ จนได้ซาวด์ที่ดำดิ่ง มันช่วยทำให้เสียงกีตาร์ของเธอมีมิติมากขึ้น
เธอยิ้มออกมา มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันสนุกมากเลยทีเดียว สนุกจนเธอยอมที่หลุดจากเกราะที่ห่อหุ้มตัวเธอไว้ สนุกจนต้องร้องเพลงออกมา
“Don't leave me high
Don't leave me dry—”
เสียงประสานดังขึ้นในท่อนฮุคของเพลง เขาร้องไปพร้อมๆ กับเธอ ทั้งสองเสียงถูกประสานเข้าด้วยกัน อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ความเชื่อมั่นในตัวเธอที่เขาส่งมาให้ การย้ำเตือนถึงการมีตัวตนของเธอ การบอกว่าเธอจะทำสิ่งต่างๆ ได้ในทุกครั้งที่เราเจอกัน ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอกลับได้พลังเหล่านั้นกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ มันทำให้เธอเดินตัวตรงต้านกระแสลม กล้าเผชิญกับอุปสรรคที่จะปะทะเข้ามา ความรู้สึกนี้ ทำให้เธออยากร้องตะโกนมันออกมาอย่างมั่นใจ เพราะอย่างน้อยเธอก็รู้ว่าเขาจะไม่มีวันตัดสินตัวตนของเธอ เสียงของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความรู้สึกที่พุ่งสูงขึ้น
ใน ณ ตอนนั้น เธอมีความหวังลึกๆ ว่าเราจะเข้ากันได้ดีเหมือนเสียงที่ถูกประสานนี้ เสียงทุ้มต่ำกับเสียงใสสูงของเธอ เสียงกังวานของกีตาร์และความทุ้มต่ำของเบส
เธอหวังว่ามันจะเข้ากันได้ดี...ตลอดไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in