Title: Boyhood
Pairing: MinNo [NaJaemin x LeeJeno]
Genre: AU, Slice of Life, Yaoi
Sub Chapter: Falling
Author: icypumpkin
Special Thanks: nomatterblue for your kind suggestion and encourage me to write it down.
P.S. It's one shot with continuous stories to show some parts of their life.
---------------------------------------------------------------------------
I.
นาแจมินชอบดาดฟ้าโรงเรียนใหม่
ชอบพื้นกระเบื้องที่ถูกปูใหม่เอื้อต่อการนอนมองท้องฟ้ากว้าง เห็นเมฆลอยเอื่อยเฉื่อย
ชอบกำแพงสูงประมาณหน้าอกล้อมรอบที่ให้นั่งพักพิงได้เวลามากินข้าวกลางวัน
ชอบความเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว
เขาไม่รู้ว่าคนที่นี่ไม่รู้ถึงสถานที่นี้ หรือโดยพื้นฐานทุกคนชอบเข้าสังคมจึงลงไปกระจุกกันอยู่ตามสนามฟุตบอล โรงอาหาร สวนข้างๆ หรือห้องสมุดแทน แต่มันก็ดีแล้ว เขาไม่ชอบผู้คนมากมาย เสียงดัง ปวดหัว น่ารำคาญ
เหมือนอย่างวันนี้ที่เขาเลือกขึ้นมาอยู่ที่นี่
มือเรียวเกล็ดบุหรี่ออกจากซองคาบไว้หมิ่นเหม่ ยกมือขึ้นป้องทางลมก่อนจะจุดไลท์เตอร์ในมือขึ้นจ่อปลายบุหรี่จนกระดาษและยาสูบต้องไฟเผาไหม้จึงสะบัดมือปิดฝาและเก็บลงกระเป๋าดังเดิม เคาะเท้าไปตามจังหวะเพลงที่เล่นอยู่ในหูฟัง สลับกับอัดนิโคตินเข้าปอดเพื่อช่วยให้หัวโปร่งใส ลมพัดเอื่อยเฉื่อยไม่เบาไม่แรงจนเกินไป ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
อีก15นาทีบ่ายโมง ถ้าเพลินเกินไปจนลืมเข้าคาบบ่ายก็โดดไปแล้วกัน
ไม่ใช่ไม่รักเรียนแต่บางทีเขาก็แค่ขี้เกียจมากเกินกว่าจะลงไปนั่งเรียนในห้องกับคนอื่นๆ ยิ่งในบางวิชาที่เคยเรียนมาแล้วยิ่งน่าเบื่อไปกันใหญ่
หากแต่แรงสะกิดที่หัวไหล่กลับทำให้เขาต้องเบนหน้าจากการมองท้องฟ้า ดึงสติที่จมจ่อกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ผมสีดำรับกรอบหน้าขาว ดวงตารีเรียวยิบหยีเมื่อหันหน้าเข้าหาแดด จมูกโด่งรั้นเป็นเอกลักษณ์ ริมฝีปากที่ขยับพูดอะไรสักอย่าง
เพราะไม่ได้ยินจึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะนึกได้ว่าเพราะหูฟังที่เสียบอยู่จึงถอดมันออกทั้งสองข้าง
“พูดว่าอะไรนะ”
“บอกว่าดับบุหรี่ให้หน่อยได้ไหม” ก่อนปรายตามองไปยังมือของเขาที่ยังถือไว้หมิ่นเหม่ “เราเหม็นอะ”
“ขอโทษที ไม่คิดว่ามีคนอยู่” เพราะมือขาวที่ยกขึ้นปิดจมูก เสียงที่ไม่ใช่คำสั่งแต่เหมือนการขอร้อง หรืออะไรก็แล้วแต่ นาแจมินทิ้งบุหรี่ลงบนพื้นก่อนขยี้ให้ดับแล้วก็เพิ่งมาตระหนักได้ว่าสูบไปได้แค่สองคำ... ดูเถ้าที่พื้นนั่นสิ มวนบุหรี่ยังยาวอยู่เลย
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ"
ณ วินาทีนั้น นาแจมินไม่รู้หรอกว่าเพราะแสงแดดที่ส่องต้องกระทบหรืออะไร แต่ผู้ชายตรงหน้าเขาที่กำลังส่งยิ้มกว้างในตอนนี้เหมือนเทวดาไม่มีผิด ไม่รู้ด้วยว่าแท้จริงเทวดาหน้าตาแบบไหน แต่คิดว่าคงเป็นเหมือนคนตรงหน้านี่แหละ
II.
นาแจมินรู้สึกว่าเขาพบเจอกับคนตัวขาวนั่นบ่อยขึ้นในช่วงพักกลางวัน ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเดินมาทักจึงเพิ่งสังเกตหรืออย่างไร เราไม่ได้คุยอะไรกันหรอก แค่พยักหน้าทักทายตอนเจอหน้ากันและแยกย้ายไปนั่งคนละมุม และทุกครั้งที่เห็นคนๆ นั้น เดินขึ้นมา แม้จะนั่งห่างไกลกันมากแค่ไหน แต่แจมินจะดับบุหรี่ที่สูบลง รอจนอีกฝ่ายลงไปแล้วค่อยจุดมันสูบอีกครั้ง
เด็กผู้ชายตัวขาวคนนั้นมักจะเสียบหูฟังไม่ต่างจากเขา แต่ในมือถือสมุดโน้ตมาด้วยทุกครา อีกฝ่ายจะนั่งนิ่งๆ อยู่แบบนั้นสักพักก่อนจะเริ่มเปิดสมุด หยิบดินสอออกจากกระเป๋าเสื้อและขีดเขียนลงไป ตัดโลกภายนอกออกโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่สายตาเขามักจะจับจ้องไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามเสมอ
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไม่สามารถละสายตาออกไปไหนได้อีกแล้ว
ซึ่งคนถูกจ้องมองก็ดูจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
"ขอโทษนะ" เสียงใสกล่าวทักพร้อมแรงสะกิดบริเวณหัวไหล่ทำเอาคนที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นน้อยๆ
"ว่าไง" เขาตอบกลับ ดึงหูฟังทั้งสองข้างออกเหมือนครั้งแรกที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักทายและขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงกำแพง
"มีดินสอหรือปากกาให้ยืมไหม" แจมินใช้มือตบไปตามกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหยิบปากกาที่มักพกติดตัวออกมายื่นให้
"ขอบใจนะ ไว้หมดพักเที่ยงจะเอามาคืน"
"ไม่เป็นไร เก็บไว้เลยก็ได้"
"ใจดีจัง
ว่าแต่นาย.... ชื่ออะไรอะ” ประหลาดใจเล็กๆ กับการทำความรู้จักที่เริ่มขึ้นเพราะตลอดเวลาหลายสัปดาห์ มันไม่เคยมีบทสนทนาใดๆ ระหว่างเรา
“แจมิน นาแจมิน” บอกให้เต็มเผื่ออีกฝ่ายเอาไปบอกอาจารย์เรื่องเขาสูบบุหรี่หรือโดดเรียนจะได้ไม่เสียเวลาหาตัวนาน
“เราอีเจโน่ เรียกเจโน่ก็ได้” พร้อมกับมือที่ยื่นออกมากลางอากาศทำเอาแจมินเลิกคิ้ว ชื่อก็แปลกแล้วการกระทำยังแปลกอีก
“ทำไมอะ คิดว่าจะเอาชื่อไปบอกอาจารย์หรอ” คนฟังไหวไหล่ เอื้อมมือออกไปจับกลับอย่างง่ายดาย ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ
“เราไม่เอาไปบอกหรอก ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย
ทั้งเรื่องสูบบุหรี่ แล้วก็โดดเรียนนั่นแหละ”
“อ่า” เพราะไม่เคยเจอคนเข้าหาแบบอีเจโน่ เลยไม่รู้ต้องตอบรับอย่างไร เขาต้องบอกขอบคุณหรือเปล่าหรือนิ่งเงียบแบบนี้ได้ แต่ถามว่าถูกใจหรือเปล่า คงต้องยอมรับว่ามาก ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีราวกับพระเจ้าตั้งใจปั้นแต่ง แต่เพราะความคิดผ่านประโยคที่ิออกมานั่นต่างหาก
แม้จะไม่ได้คุยกันมากมาย แต่แค่คำพูดไม่กี่คำก็พอจะบอกได้แล้วว่าทัศนคติของเราสามารถไปกันต่อได้หรือไม่
“ปกติไม่กินข้าวหรอ” เอาจริงๆ แจมินคิดว่าอีกฝ่ายเดินกลับไปแล้วด้วยซ้ำหลังนิ่งเงียบอยู่เสียนาน
“กินสิ” คงเพราะไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง เขาก็มักจะนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนหน้าแล้วเสมอ
“ทำมาเอง?”
“ไม่นะ ก็ลงไปซื้อโรงอาหารปกติ”
“แล้วเอาขึ้นมากินบนนี้หรอ”
“อือ” เห็นคู่สนทนาพยักหน้ารับเบาๆ เขาจึงหันหน้าไปมองภาพวิวตรงหน้าอีกครั้ง มันก็เหมือนกันทุกๆ วันแต่ก็ดูแตกต่างเพราะสายตาที่เขาใช้มองโลกนี้ไม่เหมือนกันสักวัน
"แจมินชอบที่นี่หรอ"
"อืม มันเงียบดี" ไม่มีผู้คนจอแจเสียงดังให้รำคาญใจ
“ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังเรามานั่งด้วยได้หรือเปล่า” แจมินเลิกคิ้วให้กับคำถามนั้น แต่ก็ตอบกลับไป
“ได้อยู่แล้ว นี่ที่สาธารณะ อยากมาก็มาสิ”
“เราหมายถึงมานั่งกินข้าวด้วยกันกับแจมินน่ะ”
คำถามนั้นทำเอาคนฟังนิ่งไป ก่อนใบหน้านั้นจะระบายยิ้มแหยๆ ออกมาแทน
“ถ้าไม่...”
“แล้วแต่สิ”
ก่อนรอยยิ้มของอีเจโน่จะกว้างลามไปถึงดวงตาจนคนมองอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามโดยไม่รู้สาเหตุ ก็แค่รอยยิ้มนั้นมันดูจริงใจและสดใสเกินไป
"แจมินเรียนอยู่ห้องอะไร" ไม่จำเป็นต้องถามระดับชั้นเรียน ในเมื่อเวลาทำกิจกรรมเราก็มักจะเจอหน้ากันบ่อยๆ คราวนี้คนที่นั่งยองๆ อยู่เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิลงข้างกัน ในมือยังคงถือสมุดเล่มที่เขาเห็นเป็นประจำไม่ห่างมือ ปากกาที่ส่งให้ถูกเหน็บไว้อยู่ตรงหน้าปก
"ห้อง D เด็กเกเรทั้งนั้น เจโน่อยู่ห้อง A ใช่ไหม" นั่นคือการคาดเดา อีเจโน่ตรงหน้าดูเป็นเด็กดีตามระเบียบบัญญัติ
"รู้ได้ไง หรือรู้จักเรามาก่อนหน้านี้แล้วหรอ" ดวงตารีเรียวเบิกกว้าง สีหน้าดูประหลาดใจ
"เดาเอา"
"เดาเก่ง" พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ จนเขายกยิ้มตามอีกครั้ง
"ชอบฟังเพลงแล้วเล่นดนตรีได้ไหม" บทสนทนาถูกเปลี่ยนประเด็นอีกหน หากแต่น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกรำคาญเหมือนที่เคยเป็นกับการมีใครสักคนมานั่งถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว
"รู้ได้ไงว่าชอบฟังเพลง" เขาถามกลับ มองใบหน้าเหรอหราพร้อมกับส่งเสียงสูงก่อนอีกฝ่ายจะบอกข้อสันนิษฐานของตนเอง
"ก็เจอกันทีไร ใส่หูฟังตลอดเลย"
"อาจจะใส่หูฟังไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้ฟังเพลงก็ได้นะ"
"เห" ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาให้กับหน้าตาตลกนั่น... ยอมรับตามจริง ขนาดทำหน้าเหวอ เอียงคอส่งเสียงแปลกๆ แล้ว อีเจโน่ยังดูดีอยู่เลย
"เล่นกีตาร์เป็น" คนตรงข้ามมองค้อนขวับแต่ก็ยังยอมต่อบทสนทนากับเขาต่อไป
"ต้องเท่มากแน่ๆ เลย"
"แน่นอน" เขาตอบสวนกลับจนคนมองทำหน้าตาทึ่งไม่เชื่อหู
"คนเราชมตัวเองก็ได้หรอ" อีเจโน่ดูมีสีหน้าหลากหลายแบบจนเขาอยากเห็นใบหน้าแบบอื่นๆ ยิ่งขึ้นไปอีก... ไม่หรอก ความจริงก็แค่อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
กิ๊งก่องไม่เคยนึกเกลียดเสียงกริ่งเข้าเรียนขนาดนี้มาก่อน เขายังไม่ทันตอบคำถามและรู้ดีแก่ใจว่าคนตรงหน้ากำลังจะจากไปจากการลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นบริเวณกางเกง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือมือขาวนั่นยืนมารอเอาไว้กลางอากาศ
"...." เขามองหน้าอีกฝ่ายและเลิกคิ้วแทนการตั้งคำถาม
"ไปเรียนไง"
"......"
"ไปเรียนเหอะ เดินลงไปด้วยกัน
เรายังอยากคุยกับแจมินต่ออยู่เลย"
นั่นทำให้เขาจับมืออีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างง่ายดาย มองไปเห็นดวงตารียิ้มกว้างจนเป็นรูปสระอิ
"ไว้วันไหนว่างๆ เราจะแบกกีตาร์มาให้แจมินเล่นให้ฟังนะ" เขาไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำร้องขอนั่น
III.
แรงสะกิดบริเวณหัวไหล่ทำเอาเขาที่ยืนรอรถเมล์อยู่หันไปก่อนจะโดนนิ้วชี้จิ้มเข้ากลางแก้ม เสียงหัวเราะคิกคักเมื่อเบือนหน้าไปหน่อยก็พบกับใบหน้าเคยคุ้นที่พักนี้เห็นอยู่บ่อยๆ ยื่นหน้ามาพร้อมรอยยิ้มแสนเป็นเอกลักษณ์
"รอรถมานานหรือยัง" บุคคลมาใหม่ถามขึ้น ลดมือจากบริเวณหัวไหล่เขาไปกระชับสายกระเป๋าเป้ของตนเอง
"สักพักนึง" แปลกใจไม่น้อยที่วันนี้เจออีเจโน่มายืนรอรถแบบนี้
"หน้าตาเหมือนมีเรื่องสงสัย"
"กลับเองหรอ ปกติไม่เคยเจอ" ในเมื่ออีกฝ่ายพูด เขาก็ไม่ลังเลที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
"อื้อ กลับเองตลอดแหละแต่ไม่ค่อยได้กลับเวลานี้ ปกติเลิกเรียนก็ตรงกลับบ้านเลย วันนี้อยู่อ่านหนังสือกับเพื่อนนิดหน่อย" แจมินพยักหน้ารับ ก่อนจะนึกได้ว่าการสอบปลายภาคใกล้เข้ามาแล้ว
"อ่านหนังสือบ้างหรือยัง" แจมินเหลือบตามองคนข้างกายก่อนจะหันกลับเข้ามาถนนอีกครั้ง
"นายน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ" เพียงเท่านั้นอีเจโน่กลับหัวเราะร่า
"นั่นสิ ขนาดเรียนยังแทบไม่เข้า แต่รู้ใช่ไหมว่าใกล้สอบแล้ว"
"รู้เมื่อกี้ตอนนายบอกว่าอ่านหนังสือกับเพื่อน"
"เดาจากรูปประโยคเก่งจริงๆ" เขาไหวไหล่ให้แก่คำพูดนั้น ไม่ได้เดายากเสียหน่อย
"อยากเรียนห้องเดียวกับแจมินจัง" คำพูดไม่มีที่มาที่ไปนั้นทำเอาเขาต้องหันกลับไปมองหน้าคนข้างกาย
"เรียนห้อง A ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมาเรียนด้วยกันหรอก ห้อง D มีแต่อะไรก็ไม่รู้" เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ถ้าไม่ใช่พวกทำกร่างคอยหาเรื่องชาวบ้าน ขี้เมาท์นินทาคนอื่น ก็นั่งหลับหรือนอนหลับกันเกือบทั้งคาบ
"งั้นแจมินมาเรียนห้อง A กับเราสิ"
IV.
เขายังไม่ได้ตอบคำถามเจโน่ในวันนั้น เพราะผู้ปกครองอีกฝ่ายโทรมาว่าจะมารับ เจ้าตัวจึงรีบโบกมือลาก่อนวิ่งหายเข้าโรงเรียนไปอีกครั้ง และหลังจากวันนั้นก็ยังไม่ได้คุยเรื่องทำนองนี้กันอีกเลย
แจมินสัมผัสได้ถึงแรงสะกิดบริเวณหัวไหล่ เขาเอียงหน้าไปก่อนจะโดนนิ้วชี้จิ้มเข้ากลางแก้ม
"ว่าไงเจโน่" คราวนี้ไม่ต้องหันไปดูแล้วว่าเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่ทักแบบนี้
"รู้ได้ไงว่าเป็นเรา"
"จำเสียงรองเท้าได้" อันนี้เกินจริงไปสักหน่อยแต่ก็เรียกหน้าตาตื่นตูมของอีกฝ่ายได้อีกครั้ง
"ล้อเล่นน่ะ" จนเขาต้องเอ่ยสำทับ
"ชอบแกล้ง" บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะมายืนข้างกัน
"แจมินไม่มีความคิดอยากเรียนด้วยกันหรอ" เขาคิดไว้แล้วล่ะว่าเจโน่คงอยากได้คำตอบของคำถามวันนั้น แค่รอเวลาเหมาะสมจะคุยกันอย่างวันนี้
"ก็เรียนอยู่ที่เดียวกันนี่ไง"
"นายก็รู้ว่าไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น" แจมินถอนหายใจยาว หันข้างมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่หันรอก่อนอยู่แล้ว
"ถามจริงๆ" เจโน่ถามย้ำ
"ก็อยากแหละ" เขาเคยลองคิดว่าถ้าเราได้เรียนด้วยกัน นั่งข้างกัน ทำงานด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน มันจะน่าสนุกสักแค่ไหน คงจะสนุกกว่าตอนนี้ที่มาเจอกันแค่ช่วงพักแน่ๆ บางทีเราอาจจะได้ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันเพราะสนิทกันมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
"งั้นมาลองกัน" คำพูดกับแววตามุ่งมั่นนั่นทำเอาแจมินยกยิ้ม
"จากห้อง D สู่ห้อง A และระยะเวลาเดือนนิดๆ เนี่ยนะเจโน่" บางวิชาเขาไม่ต้องได้รับการติวใดๆ ก็ผ่านไปได้ แต่บางวิชาที่ไม่ได้เลยเนี่ย.... ไหนจะงานค้างที่บางทีละเลยจะส่งอีก
"มันไม่ยากขนาดนั้นหรอก"
"...."
"ลองพยายามดูก่อน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่างน้อยก็ได้ลองทำ"
"อืม จะลองดู" ท่าทางหลังจากนี้คงต้องไปตามงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จทั้งหมดก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือจริงๆ จังๆ พ่อกับแม่ดีใจแย่เลยถ้าผลการเรียนเขาดีขึ้นฮวบฮาบแบบนั้น เผลอๆ อาจจะขอเจออีเจโน่ที่ทำให้ลูกชายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
"ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน เดี๋ยวเราช่วยติวให้เอง"
นาแจมินเคยได้ยินคำพูดที่ว่า
'ใครบางคนก็เดินเข้ามา เพื่อจะทำให้โลกของใครอีกคนดูสดใสและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น'
ก็ไม่เคยคิดจะเชื่อคำนั้นเลยสักครั้ง จนกระทั่งชีวิตได้มาพบเจอกับอีเจโน่ในวันนี้
แค่รอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ทำให้โลกของเขาสว่างวาบ เหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่แปรเปลี่ยนท้องฟ้ามืดมิดให้กลับมามีสีสันและอบอุ่นมากยิ่งกว่าเดิม
แค่คำพูดปลอบประโลมไม่กี่ประโยคกลับสร้างความมั่นใจว่าเขาจะสามารถก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้ถ้ามีอีเจโน่คอยยืนอยู่ตรงนั้น
แค่เรื่องง่ายๆ ที่อยากจะเป็นคนดีมากกว่านี้ เพื่อจะคู่ควรได้ยืนเคียงข้าง ได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มนั้นไปอีกนานแสนนาน
To Be Continue...
ชอบเวลาเจโน่ชมแจมินว่าเดาเก่ง ไม่รู้ทำไมแต่คิดว่าน่ารักจัง
คนโดนชมจะรู้สึกยังไงกันนะ
จากการเจอกันบนดาดฟ้าจะเปลี่ยนเด็กห้องดีมาเป็นห้องเอได้หรือไม่นั้น
รอติดตามผลการทดลองทำดูสักครั้งของแจมินนะคะ *——*