ปกติ ก็เหนื่อยมาก เครียดมาก กับชีวิตอยู่เเล้วหน่ะนะ
พอมาถึงตอนนี้ สถานการณ์มันทั้งวุ่นวาย ตรึงเครียด
ผ่านสถานการณ์ แวดล้อมสังคม หรือแม้แต่จิตใจของเราเอง ที่มันเริ่มกดดันและบีบบังคับให้ต้องเลือก ทำอะไรสักอย่าง — เราอยากมีส่วนร่วม ในการทำและเปลี่ยนแปลงบางอย่างด้วยแต่อุปกรณ์ในสังคมมันทำให้เราไม่สามารถร่วมมืดด้วยได้ เพราะเราไม่ได้เชื่อในวิธีการนั้น
‘จำเป็นต้องมีจุดยืน’
จุดยืนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการแสดงตัวตน เพื่อปรากฏอยู่ที่ใดที่หนึ่งในสถานการณ์ หากแต่เริ่มถามตัวเองว่า ‘เราในตอนนี้ เป็นยังไง เราคิดยังไง ต้องการอะไร อยากเห็นอะไรเกิดขึ้น — แล้วเราในตอนนี้ทำอะได้บ้าง?’
• เราไม่ได้ยินยอมอยู่ภายใต้ความไม่ประชาธิปไตย
เรายังปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลง
ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวด
ไม่อยากเห็นการนองเลือด
ขณะเดียวกันก็คาดหวัง
อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
อยากเห็นชีวิตที่ดีขึ้น
• เราไม่เชื่อเรื่องการลงสนาม ไม่เชื่อเรื่องการไปม้อบ เราไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น แม้ว่าม้อบจะเกิดขึ้นอย่างสันติวิธีและสงบสุข แต่เราไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า อีกฝ่ายจะสงบด้วย — ทุกคนล้วนเลือกในวิธีการของตัวเอง และต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ ซึ่งมันไม่ผิด
• มันจะผิดก็ต่อเมื่อ เราไม่ได้ทำตามที่ใจปรารถนาอย่างสัตย์ซื่อต่อตัวเอง มันจะผิดก็ต่อเมื่อสิ่งที่เราทำ มันกระทบคนอื่นจนถึงแก่ความเดือดร้อน — และเราเชื่อในสันติวิธี ซึ่งเราก็เลือกเรียนรู้ที่จะอยู่ในสันติวิธี
คงยากที่จะบอกว่า ‘เรามาอย่างสันติ’
แต่สันติดูจะเป็นหนทางของตอนนี้
สำหรับทุกชีวิต ทุกหัวใจ
เมื่อเราตั้งคำถามว่า
ถ้าเราขับไล่เขาไปได้ ไม่ว่าจะฝั่งไหน
แล้วจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ?
จะทำยังไงกันต่อ?
ซึ่งตัวเราก็ไม่ได้พบวิธี หรือทางออกให้กับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ นอกจากสันติวิธี (อย่างมีประชาธิปไตย)
สันติวิธีมันเป็นเรื่องที่เห็นผลช้า
แต่เราเชื่อว่า การเปลี่ยนที่ใจ
(ไม่ใช่แค่ใจเราแต่ใจเขาด้วย ; ซึ่งมันก็ต้องเริ่มที่เรา)
มันยั่งยืนกว่าการเปลี่ยนที่สถานการณ์
มีสันติไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้
แต่ตัวเราเองก็อยากเรียนรู้วิธีการที่จะต่อสู้อย่างสันติผ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย
และสิ่งสำคัญเราเชื่อในพระเจ้า
ไม่ใช่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่ในฐานะผู้ที่สร้างเราขึ้นด้วยความรัก
พระเจ้าผู้รู้จักมนุษย์ทุกคน และรักทุกคน ไม่ว่าจะดีจะเลว มืดบอดแค่ไหน — และสันติวิธีคือวิธีการของพระเจ้า ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีต่อมนุษย์อย่างเรา ผู้ล้วนเป็นบุตรพระเจ้า
และเราในตอนนี้ ก็ไม่ชอบ ‘บุคคล’ ที่ทุกคนไม่ชอบ เราเกลียดเหมือนที่ทุกคนเกลียด เรามีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่เราต้องถามตัวเองด้วยว่า ในขณะที่เราไม่พอใจในอะไรเลย เรามีส่วนที่จะทำให้มันดีขึ้นหรือยัง
และเราขอลุกขึ้น เรียนรู้ที่จะสู้ด้วยสันติวิธี — ที่ผ่านมา เราเติบโตมาอย่างเจ็บปวดมากพอแล้ว ท่ามกลางการปะทะและความรุนแรง , มันควรพอได้แล้ว
และเราจะอธิษฐานกับพระเจ้าของเรา
เผื่อคนที่เราเกลียด — ถ้าเค้าถูกทำลายไป โลกมันคงดีขึ้นแต่มันก็จะมีคนที่ 2,3,4 ไปเรื่อยๆและลูกหลานเราก็ต้องลุกขึ้นมาสู้กับคนพวกนี้อีก เราไม่อยากเห็นแบบนั้น
เพราะงั้นเราจะขอกับพระเจ้าให้เปลี่ยนหัวใจของเขา (และหัวใจเราด้วย) โลกที่บิดเบี้ยวเกิดจากหัวใจที่เปราะบาง อ่อนแอ หวาดกลัว ปราศจากความรัก มันอาจฟังดูนามธรรม แต่ถ้าหากชีวิตเราได้รับการรักษาจนสุขภาพดี จิตใจได้รับการเติมเต็ม เราคงไม่เรียกร้องอะไรอีก เราคงไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา
เราเรียกร้องสันติกันมาตลอด
และมันเริ่มได้ที่ตัวเรา
——————————————
และถ้าใครมีกำลังซื้อ เราอยากให้ซื้อหนังสือเล่มนี้ ร่วมเรียนรู้ร่วมสนันการสร้างถ้อยคำและอักษรที่จะหยิบยื่น สันติวิธี ให้กับเรา เราเชื่อว่ามันยังมีวิธีอีกมากที่จะต่อสู้เพื่อตัวเราเอง
อยากให้ทุกคนได้ฟัง ไม่ต้องฟังที่เราพูดก็ได้ แต่อยากให้ไปฟังเนื้อหาของหนังสือกัน เราทำทีละบท ซึ่งตอนนี้ยังแค่บทที่ 1 เหลืออีก 5 บท [บทที่ 1 นาทีที่ 7:55 - 36:53 ] ซึ่งเราได้รับโอกาสอย่างมากจากทาง สนพ. นิสิตสามย่าน แล้วก็คุณเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ในฐานะผู้แปล.
ถ้าไม่อยากฟังก็อยากให้ลองเปิดใจอ่านหนังสือดู
ลองอ่านด้วยกันดู อ่านจนจบแล้ว
ค่อยคิดว่าจะยืนตรงไหนก็ไม่สายเกินไป :-)
https://youtu.be/CCI0QiO7Igs
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in