“ไอช่า คุณตาฉันเสีย ท่าน...” เธอบอกเขา หลังบิดาวางสายโทรศัพท์
“เดอา” เขากอดเธอ
เธอร้องไห้
ชาเวย์เป็นคนปลุกอลันให้ตื่นในเช้าวันเดินทาง ชายวัยกลางคนไม่พูดถึงดวงตาแดงก่ำของเด็กหนุ่ม เพราะสีหน้าของเขาเองก็ไม่สู้ดีนัก
สมาชิกหมู่ 3 ทุกคนเก็บของอย่างเชื่องช้า พวกเขารักชาติ แต่ก็รักตัวเองเช่นกัน อาหารเช้าวันนี้จืดชืด แต่พวกเขากินหมดเกลี้ยงแทบจะเลียจาน แม้แต่อลันผู้กินอาหารไม่ค่อยลงก็ยังกินหมดไม่เหลือ จากนั้นพวกเขาเดินเรียงแถวขึ้นรถของกองทัพตรงไปยังสถานีรถไฟ
ที่สถานีแห่งนี้มีผู้คนมากมายทั้งหญิงสาวผู้มาส่งคนรัก มารดาผู้มาส่งบุตร และบรรดาญาติมิตรครอบครัวที่มาส่งสมาชิกไปแนวหน้า
รถไฟของพวกเขาเป็นขบวนแรกของวัน ไม่มีรถไฟขบวนก่อนหน้าเทียบชานชาลาให้คนมารับใครกลับบ้าน ชาเวย์กอดลาลูกสาวคนสวยและภรรยาของเขาแน่น คาร์ล เมย์สัน นายทหารผู้พูดจากระโชกกระชาก แต่ใจดีก้มหน้าคุยกับหน้าท้องนูนของภรรยาสาวอย่างอ่อนหวาน ผิดกับเวลาปกติ ส่วนอลันกอดอะกาธาร์แน่นจนมารดาตัวลอย
“ลูกผอมลงรึเปล่า” เธอถามขณะลูบหัวลูกชายด้วยความรัก อลันไม่ตอบ เขาซุกหน้ากับไหล่เล็กของมารดาแล้วร้องไห้ ก่อนยกคางเกยไหล่แม่เหมือนตอนเป็นเด็ก เด็กหนุ่มรู้จากไหล่ที่กระเพื่อมเบา ๆ ว่าแม่ของเขากำลังหัวเราะ
เธอลูบหลังเขาไปมา
ลูกแม่ผอมลงจริง ๆ ด้วย... อะกาธาร์คิดแล้วหลับตาลง
อะกาธาร์ทำราวกับลูกชายไม่ได้กำลังเดินทางเข้าสู่สนามรบ เธอไม่อยากทำเหมือนว่าเขาจะไม่มีวันกลับมา
เธอทำใจไม่ได้
ตอนสงครามนี้ปะทุครั้งแรก เธอในวัยสิบสองต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ครั้งถัดมาก็พรากอลันผู้พ่อไปจากเธอ และครั้งนี้ลูกน้อยของเธอยังต้องมาเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นเดียวกันอีกหรือ
อะกาธาร์สูดหายใจเข้าลึก รู้สึกลำคอตีบตัน
อลันกอดมารดาแน่นขึ้น เมื่อเสียงหัวเราะของเธอกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้
สงครามไม่เคยปราณีใครแม้กระทั่งตัวมันเอง ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันต่างสูญเสีย และตัวมันเองก็ถูกรังเกียจ
“ผมรักแม่” เด็กหนุ่มกระซิบบอก เสียงของเขาสั่นเครือและเบาหวิว ก่อนคลายวงแขนจากมารดา
“กลับมาให้ได้นะลูก” อะกาธาร์จูบแก้มลูกชาย ยกมือหยาบกร้านจากการทำนาประคองใบหน้าตกกระของลูก เธอลูบน้ำตาจากดวงตาสีฟ้าอันหม่นหมองของเขาอย่างเบามือ ในอกภาวนาขออย่าให้นี้คือครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำพูดของเธอ เขายกกำปั้นขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ ก่อนชาเวย์จะดึงเขาไปขึ้นรถไฟ
อลันนั่งลงข้างหน้าต่างตรงข้ามอัสลาน ทหารนายอื่นต่างพากันมาออกันที่ฝั่งนี้ เพราะเป็นฝั่งที่ติดกับชานชาลาของสถานี พวกเขาพยายามบอกลา จับมือ และส่งจูบให้ครอบครัว บางคนถึงกับห้อยโหนออกนอกหน้าต่างเพื่อจูบลานางในดวงใจ โดยมีกลุ่มเพื่อนในหมู่ช่วยกันจับตัวไว้
อลันโบกมือลามารดา เขาเห็นคุณดอกไม้สวมเครื่องแบบสีแดงเข้ม ยืนอยู่ข้างเธอจึงส่งยิ้มให้ ขณะที่เธอโบกมือทักทายตอบ ตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม อัสลานมองออกไปนอกหน้าต่างสีหน้านิ่งสงบไม่ยินดียินร้ายจนแลเห็นชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งบนบาทวิถีของชานชาลา
ชายชราคนนั้นดวงตาสีเดียวกับอัสลาน
พวกเขาสบตากัน ต่างคนต่างมีรอยยิ้มจาง ๆ แต่ปราศจากเสียงเอ่ยทักทาย
ชายชรายกกระดิ่งทองคำห้อยเชือกสีแดงสดขึ้นต้องแสงตะวันยามเช้าที่สาดลงมา เห็นดังนั้นอัสลานก็กำมือครู่หนึ่ง แล้วแบออกเผยให้เห็นกระดิ่งทองคำของตน จากนั้นทำแบบเดียวกับชายชรา
ชายหนุ่มแก่งกระดิ่งของตนเบา ๆ
ชายชราพยักหน้าให้เขา รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นชัดขึ้นดูอ่อนโยน จนดวงตาสีทองคู่คมคล้ายจะอ่อนโยนลง
อัสลานเก็บกระดิ่งใส่กระเป๋าเสื้อเมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีตรงสู่แนวรบ
“คนนั้นใครหรือ” อลันถามชายหนุ่มผมแดง
“ปู่ของฉัน” อัสลานตอบเสียงเรียบ
“แล้วแม่นายล่ะ” อลันถามต่อ
“อยู่เมืองอื่น พี่ ๆ น้อง ๆ ก็ด้วย” อัสลานถอนหายใจ
“นายมีพี่น้องกี่คน” อลันถามต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่อัสลานยอมพูดเรื่องครอบครัวของเขา
“สิบสอง พี่สี่ น้องเจ็ด” ชายหนุ่มตอบง่าย ๆ
“เยอะจัง” อลันตาโต
“นั่นสิ” อัสลานยิ้มรับ เมื่อนึกถึงพี่ ๆ น้อง ๆ ผมแดงดวงตาทองของตน ที่ไม่รู้ป่านนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
บทสนทนาของคนหนุ่มทั้งสองจบลงเท่านี้ พวกเขาไม่คุยอะไรกันอีกตลอดทาง เพราะต่างคนต่างมีเรื่องต้องขบคิด ซึ่งล้วนแล้วก็มีแต่เรื่องที่อีกคนไม่อาจพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอัสลาน
รถไฟขบวนนี้ใช้เวลาเดินทางนานสี่วัน มีบ้างที่อลันลุกไปนั่งที่อื่น หรือลุกเดินยืดเส้นยืดสาย เพื่อคลายความเบื่อหน่าย พวกทหารเล่นไพ่กัน จนกลายเป็นการแข่งขันข้ามหมู่และหมวด อลันเป็นคนแรกที่แพ้แทบทุกตา แต่ละวันชาเวย์กับคาร์ลผลัดกันเป็นตัวแทนหมู่ของพวกเขา โดยมีอัสลานอาสาคอยนับคะแนนรวมให้ทุกวัน จนวันสุดท้ายของการเดินทางพวกเขาจึงหยุดเล่น
อลันก้มตัวหลบหลังที่กำบังทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิดตรงรั้วหนาม เขาเข้าประจำการอยู่แนวหน้าได้เดือนกว่าแล้ว
“วิ่งไป อย่าหยุด” เขาได้ยินเสียงผู้กองสตีเฟนสันสั่งการมาจากท้ายแถว เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปตามทางโคลนจากสายฝน
ที่แนวหน้าทุกอย่างขมุกขมัวไปหมด ไม่ว่าผืนดินหรือท้องฟ้า เด็กหนุ่มวิ่งไปตามคำสั่ง บนตัวเขาทั้งแบกและพกสัมภาระอันจำเป็นต่อการรุกคืบ รวมทั้งปืนยาวประจำตัว พะรุงพะรังจนพลาดท่าลื่นล้มลงพื้น อลันนั่งมึน แล้วก็มีคนดึงเขาขึ้นมา ผลักให้วิ่งต่อ
“เร็ว” อัสลานบอกเด็กหนุ่ม พลางผลักให้วิ่ง พวกเขาวิ่งไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดประจำที่
“เตรียม!” ผู้กองสตีเฟนสันสั่งการ พวกเขายกปืนขึ้นเล็งไปข้างหน้า พร้อมลั่นไกทันทีที่มีคำสั่งยิง พวกเขายิง ยิง ยิง จนกระสุนหมด ก็สลับที่กับทหารอีกกองที่เพิ่งบรรจุกระสุนเสร็จ จนมีคำสั่งให้ออกจากกำบัง เพื่อขยับรุกไปข้างหน้า จึงพากันปีนออกไปยังดงรั้วหนาม
ทุกครั้งที่ลั่นไก อลันไม่รู้หรอกว่ายิงถูกอะไรบ้าง แต่เขาเฝ้าภาวนาขออย่าให้กระสุนตนปลิดชีพใคร
“ซินเดอเรลล่า อย่ามัวชักช้า! วิ่ง” ผู้กองสตีเวนสันสั่ง เขาตบหมวกอลันอย่างแรง เด็กหนุ่มรีบทำตามคำสั่ง พวกเขาทั้งวิ่ง หลบ และยิงไปพลาง จนฝ่ายตรงข้ามโยนระเบิดมา หมู่ 3 จึงแตกกระเจิงเสียรูปขบวน
อัสลานเป็นคนแรกที่เห็นระเบิดลอยมา เขารีบฉุดอลันหลบหลังซากกำบังกระสอบทราย เมื่อเสียงกึกก้องกัมปนาทซาลง ก็รีบปีนออกไปกราดยิงฝ่ายตรงข้าม
“พวกนั้นต้มเรา มันเงียบหลอกว่าไม่มีใครอยู่ในแนวหน้า ผู้กองสั่งถอยเร็ว ฝั่งโน้นมีปืนกล กำลังล้อมเข้ามา!” อัสลานตะโกนบอกผู้บังคับบัญชาดังลั่น เมื่อปีนกลับมาอยู่ข้างอลัน “อลันได้ยินฉันไหม” ชายหนุ่มตบหน้าอลันเบา ๆ เรียกสติเด็กหนุ่มผู้อยู่ใกล้รัศมีระเบิดมากกว่า จึงหูชาไม่ได้ยินเสียงและมึนงง
“หือ...นายว่าอะไรนะ” อลันพูดพลางเอามือออกจากหู อัสลานไม่ตอบ หันไปยิงสวนฝ่ายตรงข้าม อลันมึนงงอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มได้ยินเสียงรัวปืนอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น!” อลันตะโกนถาม
“ระเบิด! พวกนั้นต้มเรา! นายรีบถอยไปรวมกับผู้กองก่อน ฉันจะไปช่วยชาเวย์” อลันรีบทำตามที่อัสลานบอก วิ่งกลับไปสมทบกับผู้กองสตีเฟนสันและคนอื่น ๆ ในที่กำบัง โดยมีอัสลานแบกร่างอันบาดเจ็บของชาเวย์ตามมา
พวกเขาถอยกลับมาอยู่ในที่เดิม อัสลานพาชาเวย์ไปส่งแพทย์สนาม พร้อมสมาชิกในหมู่อีกคนที่บาดเจ็บเช่นกัน ตอนนี้หมู่ของอลันชุลมุนวุ่นวายไปหมดในกำบังดิน ผู้กองสตีเฟนสันรีบวิ่งไปรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้เปลี่ยนแผนการรบ อลันนับสมาชิกในหมู่ แล้ววิ่งแบกกระสอบทรายออกไปให้นายทหารอื่นนำไปเสริมกำบังส่วนที่ถูกระเบิดทำลาย
เขานับนายทหารในหมู่ 3 ได้ครบเกือบทุกคน ขาดแต่คาร์ล อลันคิดว่าชายผู้ชอบพูดเสียงกระชากคนนั้นคงอยู่ที่เต็นท์แพทย์ เมื่อวิ่งไปดูแล้วไม่พบใครในหมู่ของตนอีกนอกจากชาเวย์ อลันจึงคิดได้ว่าคาร์ลยังติดอยู่ข้างนอก กลางวงล้อมของฝ่ายตรงข้าม!
คาร์ลกำลังจะเป็นพ่อคน เด็กในท้องของภรรยาเขากำลังรอเขากลับไป
อลันเข้าใจดีว่าการเป็นเด็กกำพร้าพ่อเป็นเช่นไร เขาประจักษ์ดีว่าอะกาธาร์ทุกข์ใจแค่ไหน เมื่อต้องไปเยี่ยมหลุมศพของอลัน แวนเลอร์ผู้พ่อ
เขาไม่อยากให้ลูกของคาร์ลต้องเป็นแบบเขา
อลันมองขึ้นไปบนเนินดินของที่กำบัง กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ในวัยเด็กเขาเคยฝันว่าหากเขาอยู่กับพ่อในวันนั้นที่สนามรบ เขาจะช่วยพ่อให้ได้ เขาจะไม่ทิ้งพ่ออย่างที่กองทัพทำ เขาจะ...จะ...อลันมองเนินดินที่เลือนรางเพราะม่านน้ำตา จมูกของเขาคล้ายได้กลิ่นดอกลิลลี่ ตัดกับกลิ่นดินกลิ่นโคลน และกลิ่นควัน
มือที่ถือปืนยาวของเขากระชับแน่นขึ้นจนเห็นข้อนิ้วขาว ทันใดนั้นก็มีมืออุ่น ๆ วางบนแขนของเขา
“จะไปจริงเหรอ อลัน อย่าไปเลย” เดอาในชุดนอนสีขาว และคลุมผ้าคลุมลายมันดาลาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เธอจับแขนเขาแน่นขึ้น
อลันอยากจะเชื่อฟังตามที่เธอห้าม เขารักตัวเอง แต่ว่า...คาร์ลไม่มีเวลาแล้ว
“อลัน!” เดอาร้องเสียงหลง เมื่อเด็กหนุ่มดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเธอ วิ่งออกไปจากกำบังดิน ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของนายทหารคนอื่น
อลันลื่นล้มลุกคลุกคลานอยู่หน้ากำบังครู่หนึ่งจนตั้งตัวได้ เขาวิ่งไปหลบหลังกระสอบทรายตามที่ฝึกมา คอยสังเกตทหารฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง พลางคิดว่าก่อนระเบิดจะทำให้หมู่ของเขาแยกกัน พวกเขาอยู่ที่จุดไหน เด็กหนุ่มหยิบแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้ง กำหนดเส้นทางแล้วออกวิ่งหลบกับระเบิด และกระสุน
เขาจงใจวิ่งอ้อมไปอีกทาง เพื่อหลบวิถีกระสุน วิ่งไปจนถึงจุดที่อัสลานดึงตัวเขาไว้ เด็กหนุ่มหมอบราบแนบดิน ลอบมองทหารอีกฝ่ายเดินใกล้เข้ามา อลันรู้ว่าพวกเขาพุ่งความสนใจไปยังจุดที่กับระเบิดทำงาน เพราะทหารฝ่ายเขาก็ทำแบบเดียวกัน สภาพอากาศเลวร้ายวันนี้ทำให้มองเห็นกับระเบิด และฝ่ายตรงข้ามลำบาก แต่ละฝ่ายจึงต้องคอยฟังเสียงจุดที่กับระเบิดทำงานเพื่อกำหนดจุดของศัตรู
สมรภูมินี้วัดกันด้วยความใจเด็ดของผู้บัญชาทหารแต่ละฝ่าย หากใครผ่านกับระเบิดไปได้ ฝ่ายนั้นก็รุกคืบได้สำเร็จ และขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามอลันกำลังเป็นฝ่ายรุก
ก่อนหน้านี้กองทหารของเขาบุกรุกเข้าไปได้ถึงกลางสนามระหว่างสองฝ่าย แต่เพราะกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจงใจลวงให้พวกเขาบุกเข้าไปอีกเพื่อล้อมตี แล้วไล่ต้อน พื้นที่บริเวณดังกล่าวจึงมีนายทหารของข้าศึกอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
อลันมองกับระเบิดของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ห่างไปราวสองเมตรอย่างชั่งใจ เขาไม่มีอะไรที่มีน้ำหนักกำลังดีพอจะกระตุ้นกลไกการทำงานของกับระเบิดได้เลย นอกจากโคลนที่เหลวเกินกว่าจะขว้าง
เด็กหนุ่มก้มมองเท้าตัวเองแล้วความคิดบางอย่างก็แล่นในสมอง เขาถอดรองเท้าทั้งสองข้างออก ผูกข้างหนึ่งไว้กับตัว อีกข้างเขาโกยโคลนเหลวใส่จนเต็ม มัดเชือกปิดรองเท้า แล้วโยนใส่กับระเบิดใกล้ ๆ
เสียงระเบิดตูมเบี่ยงเบนความสนใจของนายทหารเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี อลันใช้จังหวะนั้นวิ่งไปยังที่กำบังอีกจุดหนึ่ง เขาได้ยินเสียงปืนรัวยิงไปทางกับระเบิดครู่ใหญ่ จึงรีบกราดตาสำรวจพื้นที่หวังว่าจะเห็นคาร์ล แต่มองหาเท่าไรก็ไม่พบ
อลันคิดว่าคงมาผิดทาง จึงใช้อุบายเดิมทำให้กับระเบิดแตกอีกลูก แล้วออกวิ่งตามหาเพื่อนร่วมหมู่
เขาวิ่งได้เร็วขึ้น เมื่อไม่สวมรองเท้า
คาร์ล คุณอยู่ที่ไหนอลันคิด ขณะหยุดหลังที่กำบัง พักหายใจ อากาศรอบตัวเขาทั้งหนัก ชื้น และเย็น จนหายใจลำบาก เด็กหนุ่มมองรอบตัวอีกครั้ง เขาเหนื่อยและท้อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากหาคาร์ลให้เจอ อย่างน้อยขอพบร่องรอยก็ยังดี และแล้วสายตาของอลันก็ชะงักที่ดอกไม้ดอกหนึ่ง
มันเป็นดอกไม้สีขาว...ดอกคาลล่า ลิลลี่ ดูโดดเด่นท่ามกลางสมรภูมิสีเทาหม่นนี้เหลือเกิน
มีบางอย่างของดอกไม้นั้นเรียกให้อลันก้าวเท้าออกจากที่กำบัง
เขาเดินตรงไปหา ไม่สนว่าเท้าจะเหยียบเศษลวดหนามบนพื้นโคลนหรือไม่ ยิ่งใกล้ดอกไม้เขาก็ยิ่งเห็นร่างใครคนหนึ่งข้าง ๆ มันชัดขึ้น
คาร์ล เมย์สันอยู่ตรงนั้น...
อลันคุกเข่าลงที่พื้นข้างชายหนุ่มผมดำ เอานิ้วรองใต้จมูกดูลมหายใจ แล้วอุทานเบา ๆ “ขอบคุณสวรรค์” อลันตรวจดูบาดแผลของคาร์ลทันที มีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่ที่ขา หน้าท้อง และหัวไหล่ อลันต้องพยุงเขากลับที่กำบัง
“คาร์ล คุณได้ยินผมไหม คาร์ล” อลันเรียก
“ซ…ซินเดอเรลล่า” คาร์ลพึมพำเสียงแหบ
“ใช่ ผมจะพยุงคุณกลับไป คุณตื่นก่อนนะ” อลันรีบบอกแล้วเริ่มพยุงคาร์ลขึ้น แต่ชายหนุ่มกลับกระชากเขาลงพื้นแล้วพลิกตัวคร่อมร่าง พร้อมกันนั้นมีเสียงปังดังจากหลังคาร์ล
“คาร์ล!” อลันร้องเสียงหลง รีบผลักร่างคาร์ลออกจากตัว เงยหน้ามองที่มาของเสียงปืน อลันมองนายทหารฝ่ายตรงข้ามคนนั้นอย่างเกลียดชัง เป็นครั้งแรกที่เขาโกรธใครมากขนาดนี้ อลันได้ยินเสียงคาร์ลหอบหายใจอยู่บนพื้นกลางเสียงฝน
เขาต้องจัดการไอ้ทหารคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาและคาร์ลคงไม่รอด อลันรีบยกปืนยิงออกไปอย่างไม่ลังเล แต่ทหารคนนั้นไวกว่า เขาพุ่งเข้าประชิดตัวอลันได้ก่อน
ทหารคนนั้นลั่นไกปืนใส่อลัน แต่ไม่มีกระสุนออกมา ขณะที่อีกฝ่ายตกใจอลันก็รีบยกปืนของตนขึ้นยิง แต่ปืนของเขาเองก็ไม่เหลือกระสุนแล้ว
พวกเขาทิ้งปืนลงพื้นแล้วแลกหมัดกันกลางสายฝนอย่างไม่มีใครยอมใคร
ความเครียดที่สะสมมานานทำให้หมัดของทั้งคู่เปี่ยมล้นด้วยอารมณ์โกรธ และแรงดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
อลันไม่ใช่คนชกต่อยเก่ง แต่เขาวิ่งเก่งจึงหลบเลี่ยงการชกต่อยได้เสมอ เมื่อต้องชกต่อยประลองกำลังเด็กหนุ่มจึงเสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม
เขานอนจมโคลนบนพื้น อีกฝ่ายนั่งคร่อมร่างของเขา คว้าปืนของอลันขึ้นจากพื้น ปืนของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เกิดการต่อสู้นัก
นายทหารคนนั้นชูท้ายปืนขึ้นสูงหมายจะฟาดลงมา...
ท้ายปืนฟาดลงมาแล้ว
อลันเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เขาถีบท้องนายทหารคนนั้นไปหนึ่งทีแม้ไม่แรงนัก แต่ก็พอทำให้อีกฝ่ายตกใจได้ อลันใช้จังหวะนั้น ขณะที่ทหารคนนั้นกำลังตกตะลึง รีบตะกายออกจากใต้ร่างของศัตรู คว้าปลายท้ายปืนยาวของนายทหารคนนั้นบนพื้นโคลน ดึงมันเข้าหาตัว และเมื่อทหารคนนั้นลุกขึ้นจากพื้น กระโจนพุ่งลงมาโจมตีเขา อลันก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายของตนพุ่งตัวสวนขึ้นแทงดาบปลายปืนเข้าที่หน้าอกอีกฝ่ายเต็มแรง ตอนนั้นเอง อลันเห็นหน้าของฝ่ายตรงข้ามชัดเจน
เขาก็เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นเช่นเดียวกับอลัน ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าตกกระ
เด็กหนุ่ม ผู้หากปราศจากสงคราม บางทีพวกเขาอาจเป็นเพื่อนกัน
เด็กหนุ่ม ผู้มีแม่เช่นเดียวกับอลัน
อลันร้องไห้ น้ำตาไหลหยดลงพื้นโคลนของสมรภูมิ
เด็กหนุ่มคนนั้นเสียพลังจะทรงตัว ร่างค่อย ๆ ล้มลงข้างอลัน ตอนนี้มือของอลันเปื้อนดินโคลน เหมือนที่ดอกไม้สีขาวดอกนั้นเปื้อนเปรอะโลหิตของคาร์ล ไม่ขาวบริสุทธิ์เช่นเดิม
พวกเขากำลังทำอะไร สู้กันในสงครามที่พวกเขาไม่ได้ก่อ อลันตัวสั่น นอนหงายรับสายฝนที่เทลงมา หอบหายใจมองฟ้าอยู่หลายนาที ก่อนพลิกตัว แล้วหมอบคลานไปหาคาร์ล ผู้หายใจรวยรินห่างจากเขาไปราวห้าเมตร
“คาร์ล อยู่กับผมก่อนคาร์ล คุณต้องกลับไปหาลูกเมีย พวกเขารออยู่ คาร์ล ได้โปรดคาร์ล อย่าทำแบบนี้ อย่า...อย่าให้ลูกของคุณต้องเป็นเหมือนผม คาร์ล” อลันพูดกับชายผมดำขณะพยายามพลิกคาร์ลให้นอนหงาย
คาร์ล เมย์สัน ชายผู้ชอบพูดกระโชกกระชาก แต่อ่อนหวานกับลูกในท้องภรรยายิ่งกว่าน้ำผึ้ง มองผ่านใบหน้าเปรอะโคลนของอลันไปไกล เหมือนเขาหลับไปทั้งยังลืมตา
จิตใจของคาร์ลล่องลอยไปไหน อลันอยากรู้ เพราะถ้ารู้ เขาจะได้ตามคาร์ลกลับมาถูก...
“คาร์ล...คาร์ล” อลันเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงสั่น แล้วขอร้องชายเจ้าของชื่อว่า “...คุณอย่าทำแบบนี้” ด้วยเสียงแหบแห้ง พยายามระงับก้อนสะอื้นในอก
“อลัน” จู่ ๆ เสียงทุ้มหวานของเดอาก็ดังขึ้นข้างกายอลัน หญิงสาวนั่งลงข้างเขา วางมือบนบ่าของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
เดอาสำรวจใบหน้าคมเข้มของคาร์ลและบาดแผลมากมายบนร่างกาย แววตาเธอทอแววสงสารหมองหม่น
หญิงสาวไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอใช้สองมือประคองแก้มของคาร์ล แต่ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสผิวหนังเย็นชืดของเขา เดอาก็รู้สึกเหมือนเธอรู้จักชายหนุ่มคนนี้มาทั้งชีวิต รู้จักเขามาตั้งแต่แรกเกิด ตกหลุมรัก และสูญเสียคนสำคัญ แบบเดียวกับที่เธอรู้จักอลันและอะกาธาร์
เธอมองใบหน้าของเขา แล้วเห็นภาพทารกผมดำคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา
ทารกคนนั้นคือคาร์ล เมย์สัน แม้ภาพนั้นปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่สัญชาตญาณจากอณูกายของเธอบอกว่านั้นคือเขา
เดอาเจ็บปวดสั่นไหวจากหัวใจถึงดวงตา เธอใช้ผ้าคลุมไหล่เช็ดคราบโคลนคราบดินออกจากใบหน้าของชายหนุ่ม ปัดผมให้ไม่มีเส้นผมเกะกะใบหน้า แล้วจูบหน้าผากเย็นเยียบของเขา เช่นมารดาจูบรับขวัญเด็กทารกแรกเกิด
เธอเงยหน้าขึ้น โอบไหล่อลันให้เอนพิงตัวเธอ ได้ยินอลันพึมพำคำว่า “...พ่อ” เธอคอยลูบหัวให้คาร์ล ใบหน้าเขาดูสงบนิ่ง ไม่นานเดอาก็รู้สึกว่าเปลือกตาเธอหนักอึ้ง คล้ายมีมือล่องหนมาดึงพวกมันลง
เดอาปิดเปลือกตา ร่างกายของเธอสลายปลิวไปกับสายลม...พร้อมกับดวงตาอันเหม่อลอยของคาร์ลสิ้นแสงแห่งชีวี
...ที่ตรงนั้น เหลือเพียงอลันผู้น่าสงสาร ดอกไม้สีขาวสกปรก และการมาเยือนของผู้ดูแลชีวิต
อลันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นจนได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน สติจึงกลับมาหา แล้วกระชากเขาออกมาจากความเศร้า
นี่คือสงคราม เขายังมีชีวิตอยู่ และต้องสู้ต่อไป
เด็กหนุ่มหยิบปืนของคาร์ลขึ้นมาตรวจดูกระสุนดวงตาแดงก่ำ แล้ววิ่งออกจากตรงนั้น แต่วิ่งไม่นาน กระสุนก็เจาะฝังที่ต้นขาขวาของเขา ต่อด้วยอีกนัดที่แขนซ้าย และอีกนัดที่สะบักขวา
อลันล้มลงบนพื้นโคลนอีก แต่เขายังมีชีวิตอยู่
เขายันขาซ้ายพยุงตัวขึ้น เสียงปืนดังอีกพร้อมเสียงระเบิดและเสียงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ท่ามกลางเสียงลั่นอื้ออึงเหล่านั้น อลันได้ยินเสียงตะโกนของทหารฝ่ายตรงข้ามแว่ว ๆ ว่า “สิงห์แดงมา พวกนั้นเอาสิงห์แดงมาถล่มแนวหน้า!”
อลันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขามองไปทิศที่ฝั่งของตนตั้งอยู่...ก็เห็นผมสีแดงเข้มของอัสลาน เดวิส เป็นประกายโดดเด่นท่ามกลางสายฝนและสะเก็ดดิน ที่กระจุยกระจายกลางฟ้ามัวหมอง เลยไปหน่อย คือทหารกองร้อยของประเทศเขาที่กำลังรุกคืบเข้ามา!
อัสลานพยุงชาเวย์อย่างทุลักทุเลเข้าไปในเต็นท์สนามของแพทย์อาสา เพราะความชุลมุนวุ่นวายในที่กำบังอันคับแคบ มีทหารวิ่งสวนเบียดกันไปมาจนไม่เหลือที่เดิน เขาวางชายวัยกลางคนไว้บนเปลพยาบาล แต่ไม่ทันผละจากไป ชาเวย์ก็จับแขนเขาไว้
อัสลานคุกเข่าข้างเปลของชาเวย์ พยายามฟังเสียงเบามากที่เขาพยายามบอก ชายหนุ่มหลับตาตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงคนเจ็บอย่างใจเย็น ผิดกับเปลวไฟสงครามที่กำลังลุกโชนอยู่นอกที่กำบัง
“คาร์ล...อยู่ข้างนอก” สิ้นเสียง แพทย์ทหารชุดหนึ่งก็เข้ามายกเปลของชาเวย์ไป
อัสลานพยายามตีความคำพูดนั้น ขณะช่วยทหารแถวนั้นลำเลียงผู้บาดเจ็บเข้าเต็นท์แพทย์
คาร์ลอยู่ข้างนอก คือนอกเต็นท์พยาบาล หรือนอก... ยังไม่ทันคิดจบ อัสลานก็ได้ยินเสียงร้องแตกตื่นจากนอกกระโจม คลับคล้ายเป็นประโยคว่า “แกบ้าไปแล้วหรือ กลับเข้ามา!”
...นอกที่กำบัง
อัสลานรีบส่งร่างคนเจ็บให้แพทย์สนามจัดการต่อ ผลุนผลันออกไปนอกเต็นท์ เผื่อเขาคาดการณ์ผิด เผื่อคาร์ลจะอยู่นอกที่กำบังกับคนอื่น แต่ภาพที่เห็นทำให้หนังศีรษะของเขาชาวาบ
อลันกำลังปีนออกไปนอกที่กำบัง!
หมายความว่าคาร์ลอยู่ข้างนอก และอลันกำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอน ...ในแดนข้างนอกที่กว้างขวางไร้ผู้คน แต่มีคาร์ล
อัสลานไม่เสียเวลาคิดนาน เขารีบวิ่งฝ่าสายตาทหารผู้ตกตะลึงกับการกระทำของอลัน ไปยังจุดที่อลันเพิ่งปีนออกไป แต่กว่าจะถึงก็สายเกิน เพราะข้าศึกยิงระเบิดควันเข้ามาในที่กำบัง กว่าควันจะจาง อลันก็หายไปแล้ว
อัสลานสบถลั่นอยู่ในใจ
ชายหนุ่มสูดหายใจเต็มปอดระงับอารมณ์ เขาปลดปืนของตนลงจากบ่า ใส่กระสุนเข้าไปจนเต็ม ตรงไปที่บันไดทางออกกำบังตั้งท่าจะตามอลันออกไป แต่ชาร์ล เลโอนาร์ด นายทหารหมู่ 3 วัยเดียวกับชาเวย์ เจ้าของเสียงร้องตกใจยามอลันก้าวออกไปนอกกำบัง กลับจับไหล่ไว้เขาแน่น
ชาร์ลสำลักควันระเบิด และเขาไม่คิดเดินไปไหนมาไหนขณะที่ระเบิดควันปิดกั้นการมองเห็นเพื่อเพิ่มความโกลาหลในกำบัง ชายวัยกลางคนจึงไม่ได้ขยับไปไหนไกลจากบันไดนัก เมื่อเขาเห็นอัสลานทำท่าจะปีนออกนอกกำบังตามอลัน ผู้ที่เขาห้ามไว้ไม่ทัน ชายวัยกลางคนจึงรีบห้ามไว้
“แกออกไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้เราต้องรอคำสั่งจากผู้กองก่อน” ชาร์ลบอกชายหนุ่มด้วยเสียงแหบจากการสำลักควัน หน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเข้าใจอัสลาน เขาก็มีชีวิตมีหัวใจ ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากเสียใครทั้งนั้น จะเป็นครอบครัว หรือเพื่อน แต่นี่คือสงคราม และการสูญเสีย...เป็นชื่อเล่นของมัน
อัสลานนิ่ง
เขาเข้าใจทุกอย่างดี
ตอนนี้สิ่งที่ควรทำ คือรอคำสั่งอย่างใจเย็น และสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือวิ่งตามอลันออกไป แต่การกระทำใด คือสิ่งที่เขาทำแล้วจะไม่เสียใจภายหลัง ยืนเฉยอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้ผู้อ่อนแอกว่าออกไปเผชิญโชคเพียงลำพัง ขณะที่เขาทำอะไรบางอย่างได้ ออกไปช่วยได้ หรือลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจ
ตอนอัสลานอายุสิบเอ็ด เขาทะเลาะกับกลุ่มเด็กวัยเดียวกันจากในหมู่บ้าน ตอนนั้นเขาคิดปล่อยหมัดของตนออกไปเต็มแรง หมายจะต่อยปากของเด็กปากเสียคนนั้นสักทีสองที แต่มาร์คัส เดวิส ปู่ของเด็กชายผมแดง ผู้มีโสตประสาทเฉียบคมเหนือมนุษย์ กลับได้ยินเสียงทะเลาะของอัสลานและเด็กกลุ่มนั้นเสียก่อน
ชายชราจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหลานชาย จึงออกมาจากบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านหรี่ตา ใช้ประสาทตาเฉียบคมผิดมนุษย์ของตน ที่แม้จะฝ้าฟางลงบ้างตามกาลเวลามองหาหลานชาย
เมื่อท่านเห็นเขากำลังง้างหมัดตั้งท่าจะต่อยเด็กอีกคนอยู่บนเนินเตี้ยหลังโบสถ์ ห่างจากบ้านไปราวยี่สิบกว่าเมตรด้วยดวงตาสีอำพันวาวโรจน์แทบจะกลายเป็นสีทอง ก็รู้ทันทีว่าอัสลานไม่คิดผ่อนแรงเป็นแน่!
ท่านเกรงว่าเด็กอีกคนจะมีอันตราย จึงออกวิ่งเช่นวัยหนุ่มด้วยสังขารชราภาพ ตรงเข้าแทรกกลางระหว่างหลานชายของตนกับเด็กเหล่านั้น
คู่กรณีของอัสลานตกใจหงายหลัง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีผู้เฒ่าร่างกายสูงใหญ่จากที่ไหนไม่รู้วิ่งมาแทรกกลางวง ขณะที่เด็กชายผมแดงตกใจกำปั้นของตนในอุ้งมือขวาของชายชรา
“วันนี้เจ้ากลับมาบ้านเร็วนะ” ผู้เฒ่าทักอัสลาน ดวงตาของท่านวาวโรจน์ใกล้เคียงกับดวงตาของเด็กชาย แต่ใบหน้าเหี่ยวย่นกลับซีดเซียวไร้สีเลือดจนผิดปกติ
ท่านปล่อยมือเขา หันไปบอกเด็กกลุ่มนั้นให้กลับบ้านเสียงเรียบ ก่อนเดินกลับบ้านพร้อมอัสลาน เย็นวันนั้นเด็กชายผมแดงรู้จากปากพี่สาวว่า กระดูกของชายชราร้าวตั้งแต่กระดูกมือถึงต้นแขนขวา คล้ายท่านใช้แขนรับน้ำหนักเกินกำลัง
หลังมื้อเย็นวันนั้น ปู่เรียกเขาไปพบในห้องนอนของท่าน
อัสลานทำตามแต่โดยดี เขาก้มหน้าเตรียมรับบทลงโทษจากปู่ของตนอย่างลุแก่โทษ
“ปู่รู้ว่าเจ้าโกรธ ปู่เป็นเจ้าปู่ก็โกรธ แต่เจ้าไม่ควรทำร้ายผู้อื่นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ โชคดีที่เจ้ายังเล็ก และปู่มาทัน หมัดของเจ้าจึงไม่ได้คร่าชีวิตใคร...” ปู่บอกเขา หลังเขาขอโทษปู่ เสียงของท่านเรียบนิ่ง แต่ทอดยาวกว่าปกติคล้ายจะปลอบโยน
ปู่ไม่ลงโทษเขา
ไม่บอกใครว่าเป็นเขาที่ต่อยท่าน และเพียงบอกหลานคนอื่น ๆ ว่าสะดุดขาตัวเองล้ม แล้วใช้มือขวารับน้ำหนักตัวไว้ กระดูกจึงร้าวเพราะแก่ชรา
ไม่แม้แต่จะดุ หรือมีอารมณ์โกรธ
เด็กชายก้มลงมองพื้นพยายามซ่อนน้ำตาของตนอย่างสุดกำลัง
ท่านถอนหายใจ ลูบหัวเขา แล้วถามเขาว่า “...แต่ในอนาคตเจ้าต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนจะกระทำอะไร อะไรควร ไม่ควร มิเช่นนั้นเจ้าจะเสียใจภายหลัง เหมือนที่เจ้ากำลังเป็น ผู้พิทักษ์...เราน่ะ...แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นนะอัสลาน จักรวาลให้กำเนิดพวกเราขึ้นมาแบบนี้ ออกแบบพวกเรามาแบบนี้ ทั้งปู่ พ่อ พี่น้องของเจ้า และตัวเจ้าเองต่างก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา”
อัสลานวันสิบเอ็ดกลืนก้อนกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ปู่ดึงเขาเข้ามากอด อ้อมกอดของท่านอบอุ่นกว่ากอดของใคร
อัสลานชอบให้ท่านกอด เพราะตัวท่านอุ่นเหมือนเตาผิงเคลื่นที่ได้ ผิดกับบิดาของเขา
อุณหภูมิกายที่สูงขึ้นของผู้พิทักษ์วัยชรา หมายถึงอายุขัยของพวกเขาใกล้สิ้นสุดแล้ว และเมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้พิทักษ์จะกลายร่างเป็นมังกรเช่นครั้งอดีต แม้ร่างกายอาจไม่ใหญ่โตเท่ามังกรตัวแรกของจักรวาล แต่ก็ยังเป็น มังกรที่เกรียงไกรไม่ต่างกัน จากนั้นอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นจากภายใน เผาไหม้ร่างกายจนหมดสิ้น จนกลายเป็นอณูให้ผู้ดูแลชีวิตพาเข้าวัฏสงสาร เหลือไว้เพียงกระดิ่งทองคำประจำกายเป็นของดูต่างหน้าเท่านั้น
พ่อของอัสลานอ่อนไหวต่อการสูญเสียมาก เขาไม่อาจรับความจริงข้อนี้ได้ จึงไม่ใคร่จะเข้าไปกอดมาร์คัส บิดาของตนนัก ด้วยกลัวว่าจะต้องนึกถึงเรื่องชวนหดหู่ใจ
อัสลานกอดร่างสูงใหญ่ของชายชรา พยายามซึมซับไอร้อนจากร่างนั้นเข้าตัว
“หากเจ้าคิดไม่ออก ก็จงทำในสิ่งที่ตนจะไม่เสียใจภายหลังเสีย” ท่านบอกเขา น้ำเสียงของท่านนิ่งเรียบ แต่อ่อนโยนยิ่งนัก
คำตอบง่ายนิดเดียวสำหรับอัสลาน...
“ผมจะไม่อยู่เฉย” อัสลานบอกชาร์ล สบตาชายวัยกลางคนอย่างเด็ดเดี่ยวปราศจากแววหวั่นเกรงไฟสงครามนอกกำบัง แวบหนึ่งชาร์ลคล้ายเห็นดวงตาของเขาทอประกายสีทองของสัตว์ร้าย...สัตว์ผู้ล่า ทุกอณูร่างกายของเขาหวั่นไหว คล้ายสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ที่ฝังแน่นในดีเอ็นเอ จดจำแววตาอันตรายแบบนั้นได้ ร่างกายจึงเกิดอาการตื่นตระหนกหวาดกลัว ราวกับเขาเป็นสัตว์เล็กจ้อยผวาหลบทางสัตว์ใหญ่
ชาร์ลพูดอะไรไม่ออก เขากัดฟันแน่นข่มอาการตื่นกลัว
ก่อนหน้านี้ที่ค่ายฝึกพลทหารใหม่ เขาแอบออกมาเอาเหล้ากลั่นในโรงครัวหลังแตรนอน ขากลับหอนอนวิ่งผ่านหน้าห้องทำงานของผู้กองสตีเฟนสัน ด้วยความอยากรู้ว่าเหตุใดจึงมีแสงไฟเปิดอยู่ในห้อง ทั้งที่ปกติเวลานี้ไม่มีใครอยู่ห้องแล้ว ชาร์ลจึงใช้ทักษะที่ทางกองทัพฝึกให้เขา แอบฟังเสียงพูดคุยในห้อง
ผู้กองคุยโทรศัพท์อยู่ในห้อง ชาร์ลคาดการณ์เช่นนั้น เพราะไม่ได้ยินเสียงใครเลย นอกจากเสียงของผู้กอง
เขาได้ยินผู้กองพูดถึงรายงานจากหน่วยเหนือกับคนปลายสายว่าอัสลาน เดวิสไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินชื่อคนในหมู่ ชายวัยกลางคนก็ยิ่งสนใจฟังมากขึ้น ผู้บังคับบัญชาของเขาเอ่ยว่า หลายประเทศขนานนามชายหนุ่มว่า สิงห์แดง เพราะชื่อของเขา ‘อัสลาน’ แปลว่าสิงโต และผมสีแดงอมน้ำตาลเป็นประกายอันโดดเด่นของเขา
ในรายงานประวัติทหารของชายหนุ่มที่ผู้กองสตีเฟนสันเอ่ยถึง ระบุว่าเขาเคยเป็นทหารรับจ้างมาแล้วหลายประเทศ เขามีชื่อเสียงเป็นพิเศษเรื่องการยุติสงคราม ด้วยการทำลายอาวุธของศัตรู
ชาร์ลแอบฟังคำพูดของผู้กองอยู่นานหลายนาที จนได้ยินเสียงผู้กองวางหูโทรศัพท์ ชายวัยกลางคนจึงนึกได้ว่าตนต้องรีบกลับหอนอน กลางดึกวันนั้นเขาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนในหมู่ฟัง แล้วถามอัสลานถึงเรื่องฉายา กับค่ายพักก่อนหน้าของชายหนุ่มด้วย
ผู้กองรู้ว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา ชาร์ลผู้แอบฟังอยู่นอกห้องก็รู้เช่นกัน แต่นายทหารชั้นผู้น้อยไม่คิดว่าอัสลาน เดวิสจะไม่ธรรมดาขนาดนี้
พูดจบอัสลานก็หันหลัง สะพายปืนขึ้นบ่า แล้วปีนออกไปนอกที่กำบัง
ชายหนุ่มออกไปได้ไม่กี่ก้าว วิทยุสื่อสารของผู้กองสตีเฟนสันก็ดังขึ้น แจ้งคำสั่งโจมตีจากผู้บัญชาการสูงสุด เพราะสายลับจากฝ่ายข้าศึก เพิ่งรายงานว่าทหารฝ่ายตรงข้ามกำลังไขว้เขวหนัก เพราะกับระเบิดที่ระเบิดติดต่อกันถึงสองครั้งโดยไม่มีร่องรอยการบุก
หมวกทหารของอัสลานหลุดไปนานแล้วตั้งแต่ตอนเขาวิ่งกลับมาเข้าที่กำบังเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนนี้ผมสีแดงเฉิดฉายของเขาจึงโดดเด่นที่สุดในสมรภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาวิ่งผ่านกองเพลิงจากระเบิดที่กำลังมอดไหม้สู้สายฝน
TBC
.....................................................................
ขอให้สนุกนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in