บ่ายวันหนึ่งผมปีนขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกที่ผมพักอยู่มันเป็นบ่ายที่แดดสาดไปทั่วบริเวณสลับเงาดำทึบที่พาดไปตามพื้นด้านหลังของส่วนเว้านูนด้านบนตึกแห่งนี้
ผมเดินลัดไปตามพื้นที่ว่างเพื่อหาที่ทิ้งตัวลงนั่ง ขณะที่ผมเดินอ้อมไปด้านหลังตรงที่เงาของถังเก็บน้ำพาดผ่านผมพบเข้ากลับผู้ชายหนึ่งคน เขานั่งอยู่ใต้เงาสีดำยกขาพาดไปกับราวเหล็กที่ยึดอยู่กับพื้น มือข้างหนึ่งถือหนังสือเล่มเล็กส่วนอีกข้างกำลังยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นจรดปากผมยืนมองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอยู่ครู่ใหญ่ และดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะรู้ตัวถึงการมาเยือนโดยไร้การรับเชิญของผม
เขาขยับตัวเบี่ยงไปทางซ้ายเล็กน้อยจากนั้นก็หยุดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมสังเกตเห็นพื้นที่ว่างที่เขาสร้างขึ้นจากการขยับตัวและรู้สึกราวกับเขากำลังเชื้อเชิญผม
ผมก้าวอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆ เขา
‘
‘
‘
สามครั้ง นั้นมันค่อนข้างเยอะนะ ผมคิดและเริ่มค้นซอกหลืบความทรงจำเท่าที่จะค้นได้แต่ไม่มีเศษเสี้ยวไหนบ่งบอกได้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริง
‘
‘
‘
‘
‘
‘...
‘
‘
‘
เขาพับหนังสือแล้วลดมันวางไว้ข้างตัว
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา มันไม่มีแววของการล้อเล่นเลยสักนิด
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
เขาพูดจบแล้วพรูลมหายใจออกมาก่อนเงียบไปทั้งๆแบบนั้น ผมมองดูแสงบนท้องฟ้าค่อยๆ อ่อนลง มองดูฟ้าที่เปลี่ยนสีไปทีละเล็กทีละน้อยเงาที่พาดทับเป็นที่กำบังแสงให้เราค่อยๆถูกดูดกลืนและแปลเปลี่ยนไปเป็นสีเดียวกับแสงรอบตัว
ผมปล่อยตัวเองนั่งมองมันอยู่อย่างนั้น
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
เขาไม่แม้จะยกโทรศัพท์โทรสั่งทำเพียงเดินวนไปอีกด้านและไม่นานนักโต๊ะญี่ปุ่นขนาดกลางตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาบนโต๊ะมีพิซซ่าอยู่สามถาด ด้านข้างมีแก้วสองใบกับโค้กขวดใหญ่ที่จับไอตั้งอยู่
เขาเดินไปนั่งเหมือนมันเป็นเรื่องปกติและเริ่มเปิดฝากล่องพิซซ่าแต่ละถาด
‘
ผมมองเขาหยิบโค้กขึ้นเทใส่แก้วที่อยู่ๆ ก็มีน้ำแข็งใส่อยู่เต็ม ถึงมันจะดูแปลกประหลาดแต่ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
‘
ผมตัดสินใจนั่งลงและเริ่มกินพิซซ่าชิ้นแรกเช่นกัน
‘
‘
‘
เขาไม่พูดอะไรและหยิบพิซซ่าอีกชิ้นส่งเข้าปากผมมองเขาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพิซซ่าทั้งสามถาดถูกยัดลงกระเพาะของพวกเราจนหมด
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘
‘...
‘
‘
‘
‘
‘
เขาพูดตอนผมเดินไปเปิดประตู ผมดึงประตูเหล็กและค่อยๆก้าวลงไปด้านล่างทีละขั้นๆ
อีกสามขั้น
อีกสองขั้น
อีกหนึ่งขั้น
ขั้นสุดท้าย
ผมก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายที่ลงจากด้านฟ้าพร้อมกับภาพนับพันที่ไหลเวียนเข้ามาในหัวมันเชื่อมต่อกันเหมือนม้วนฟิล์มขนาดใหญ่ที่กำลังเล่นกลับหลัง
และเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องราวของผม... กับเขา
เขาที่นั่งอยู่ใต้เงาของถังน้ำ
เขาที่พาดขาลงบนราวเหล็กที่ยึดติดอยู่กับพื้น
เขาที่กำลังหัวเราะ
เขาที่กำลังยิ้ม
เขาที่กำลัง... ร้องไห้
และเขาที่กำลังหายไป
ผมก้าวขึ้นบันไดไปสุดแรงที่มีแต่ละก้าวขามันหนักอึ้ง
นี่
วันนี้นายสาย
หิวไหม อยากกินอะไร
งั้นหรอ
ฉันอยู่กับนายเสมอนั้นแหละ
กอดไหม
ไม่เป็นไรนะ
นายเก่งที่สุดอยู่แล้ว
น้ำตาที่ผมลืมไปแล้วว่าเคยร่วงหล่นมากเพียงไหนพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายจนขั้นบันไดพร่าเบลอไปหมด ผมใช้แรงสุดท้ายผลักประตูเหล็กที่ขว้างอยู่ข้างหน้า
อยากลืมอะไรล่ะ
เล่ามาเถอะ จะเรื่องไหนก็ไม่เป็นไรหรอก
นายจะจำไม่ได้อีกเลย
จะไม่เจ็บปวดเพราะมันอีก
ผมเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าสายตาพยายามสอดส่องไปทั่วบริเวณ
ถ้านายอยากจะจำมันได้ขึ้นมา มันจะเจ็บปวดมากๆ เลยนะ
ถ้าวันไหนที่อยากจดจำขึ้นมามันก็จะหายไปนะ
ผมวิ่งจนทั่วดาดฟ้าดูทุกซอกทุกมุมเท่าที่จะเป็นไปได้
ทั้งสถานที่แห่งนี้
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่เจอ
และฉัน
เขาหายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยการมีอยู่ผมปล่อยเสียงออกมาอย่างไม่อายใคร มันดังขึ้น และดังขึ้นอีก
นี่
ฉันบอกแล้วว่านายจะเจ็บปวด
เหมือนกับสายลมกำลังปลอบประโลมและโอบกอดผมอย่างอ่อนโยน
แต่มันจะไม่เป็นไร
นายจะไม่เป็นอะไร
เสียงแผ่วเบาลอยล่องมาตามสายลมแห่งการปลอบโยน
ฉันอยู่ตรงนี้ ข้างๆ นาย เสมอ
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่วันนี้ปะปนด้วยสีเหลืองนวลของดวงจันทร์
หวังเพียงว่านายจะไม่เจ็บปวดมากเกินไป
ราวกับว่าทุกตารางเมตรของพื้นที่ทุกอณูของมวลอากาศบนดาดฟ้า สีน้ำเงินเข้มเกือบดำของท้องฟ้าและแสงสีนวลจากดวงจันทร์กำลังพากันโอบล้อมตัวผมกอดผมที่ตัวสั่นเทา มันเหมือนกับเขาอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ด้านหน้าผม พร้อมกับทุกสรรพสิ่งที่โอบล้อมกอดประโลมผมอย่างที่เคยทำมาตลอด
หวังว่าในสักวัน...
กระทั่งร่างกายผมหยุดสั่นและมันค่อยๆกลับเป็นเหมือนปกติ น้ำตาที่ไหวอาบแก้มค่อยๆ จางจนเหลือเพียงคราบบางๆ บนใบหน้า
มวลความรู้สึกเหล่านั้นหายไปพร้อมกับสายลม
นายจะอยู่กับมันได้โดยไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
ที่รัก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in