ตอนแรกก็ตื่นเต้นอยู่หรอก พอกลับเข้าฝั่งปุ๊บก็รีบจัดการโหลดรูปจากกล้องโกโปรใส่มือถือ คือตอนว่ายน้ำมันปลื้มปริ่มจัด สมาธิทั้งหมดพุ่งไปอยู่ที่ฝูงโลมาตัวเป็นๆที่อยู่ข้างหน้าเลยไม่ได้มีกะจิตกะใจไปสนใจว่ากล้องมันจะโฟกัสเจ้าโลมาอยู่หรือเปล่า
ขณะเช็ครูปไป เราและเพื่อนก็กรี๊ดกร๊าดเม้ามอยไปถึงประสบการณ์อันน่าทึ่งที่เพิ่งไปพบเจอมาต่างคนต่างก็แย่งกันพูดเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองไปเห็นมา (คือกระโดดน้ำลงไปต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามความสามารถและความฟิตในการว่ายน้ำของแต่ละคน เลยเหมือนไม่ได้ไปด้วยกัน) เพื่อนหลายๆคนพากันเห็นพ้องต้องกันว่ามาเที่ยวแบบนี้ดีกว่าไปสวนสัตว์เป็นไหนๆ ไม่ต้องจับสัตว์มาขังในกรงแต่ได้ปล่อยให้สัตว์พวกนี้ได้ใช้ชีวิตและอยู่ตามธรรมชาติของมันไม่เหมือนกับสวนสัตว์ที่ต้องฝืนธรรมชาติและกักขังหน่วงเหนี่ยวสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ซึ่งขัดต่อศีลธรรมเป็นอย่างมาก แต่ดี๊ด๊ากันอยู่ได้ไม่นานพวกเราก็ถูก Reality Hit เข้าอย่างจังเมื่อพูดไปพูดมาก็เริ่มเกิดอาการกระดากปาก
นี่พวกเราเสียสติหรืออะไร พูดไปได้ไงว่าสิ่งที่พวกเราเพิ่งทำไปน่ะ “ธรรมชาติ” ?
ทำซ้ำไปเรื่อยๆ
กระโดดลง ว่ายน้ำ กระโดดขึ้น สตาร์ทเรือ
ซ้ำไปซ้ำมาตามใจนักท่องเที่ยวเพื่อให้คุ้มค่ากับทิปส์ที่คนขับเรือแสนจะเฝ้ารอ
อะไรในนี้หรอที่ “ธรรมชาติ”?
พวกเราได้มีโอกาสพูดคุยประเด็นนี้กับนักอนุรักษ์สัตว์ทะเลกลุ่มหนึ่งโดยได้ตั้งคำถามไปว่าการท่องเที่ยวแบบนี้ทำร้ายโลมาชัดๆ พวกเรามารบกวนวงจรชีวิตมัน สร้างความรำคาญและมารบกวนบ้านของมันดูเผินๆแล้วการที่พวกเราขับเรือต้อนโลมาก็ไม่ได้ต่างจากการที่สวนสัตว์จับสัตว์ขังกรงนี่นาที่ทำๆอยู่นี่ก็เหมือนกับการจับโลมาขังในกรง เพียงแต่ว่าทะเลเป็นกรงที่ใหญ่กว่าและไม่มีลูกกรงให้เห็นจะๆเท่านั้นเอง รู้ทั้งรู้แบบนี้ แล้วทำไมนักอนุรักษ์หลายๆคนจึงยังส่งเสริมธุรกิจประเภทนี้อยู่ล่ะ?
นักอนุรักษ์ให้คำตอบกับพวกเราว่าถ้าให้เลือก เขาก็ไม่อยากที่จะอุดหนุนกิจการแบบนี้หรอก แต่เราต้องจำไว้ว่ากิจการแบบนี้เป็น Sustainable Tourism ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่วิธีที่เลิศเลอถูกต้องเลยทีเดียว แต่อย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะถ้าเราไม่สนับสนุนไอ้ทัวร์โลมาบ้าๆนี่ โลมาก็จะไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ทีนี้มนุษย์ก็จะล่าโลมา ฆ่าแกงมัน เอาเนื้อมากินบ้าง เอาไปทำอย่างอื่นบ้าง ทำอะไรต่อมิอะไรที่แย่ไปกว่าการที่พวกเรากระโดดลงน้ำไปว่ายตามมัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ต่อไปเพื่อซื้อชีวิตโลมายังไงล่ะ
ฟังแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโคตรเศร้า มันทำให้รู้ว่ามนุษย์เรานั้นโลภเหลือเกินกำหนดชีวิตตัวเองคนเดียวไม่พอ ยังอยากจะกำหนดชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆอีก
ไม่นานมานี้เองก็เพิ่งมีข่าวของสวนสัตว์ใน Cincinnati ที่เลือกที่จะยิงกอริลล่าเพื่อช่วยชีวิตเด็กน้อยอายุ 3ขวบที่พลัดตกลงไปในพื้นที่ของมัน คำถามก็คือสวนสัตว์เลือกที่จะช่วยเด็กเพราะอะไร?
เพราะเด็กเป็นอนาคตของชาติหรอ?
หรือเพราะว่าถ้าเด็กเป็นอะไรไปผู้ปกครองอาจจะไม่พอใจและฟ้องร้องสวนสัตว์ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของสวนสัตว์ แต่ในทางกลับกันถ้ากอริลล่าเป็นอะไรไป ผู้ปกครองของกอริลล่าก็คงไม่ได้จะลุกขึ้นมาโวยวายเรียกร้องค่าเสียหาย การกำจัดกอริลล่าทิ้งซะจึงเป็นตัวเลือกในการตัดปัญหาที่ “ง่าย”กว่า
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าจริงๆแล้วเหตุผลไหนกันนะที่ทำให้สวนสัตว์ตัดสินใจปลิดชีวิตกอริลล่า
ไม่ว่าจะคน โลมาหรือกอริลล่าสิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งมีชีวิต
ทำไมนะ มนุษย์ถึงมีอำนาจมากมายเหลือเกินที่จะตัดสินว่าใครจะอยู่ ใครจะไป
รายละเอียดข่าวเรื่องกอริลล่าสามารถอ่านได้ที่ :
https://www.theguardian.com/us-news/2016/jun/01/cincinnati-zoo-gorilla-shooting-animal-conservation-experts
http://www.telegraph.co.uk/news/2016/05/29/ohio-zoo-kills-gorilla-to-protect-small-child-in-enclosure/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in