หลังจากบอกลาแก๊งค์คุณยาย และผิดหวังกับไร่ชาสามแสนห้าร้อยไร่ ที่ไม่มีฟูจิ ไม่โผล่มาให้เห็แม้แต่ตีนเขา ฉันเดินคอตกกลับมาเพื่อขึ้นกระเช้าไปศาลเจ้าคุโนซังโทโซกุ ก่อนขึ้นกระเช้าซื้อขนมดังโงะ กุ้งซากุระกิน 1 ไม้ถ้วน เพื่อปลอบใจตัวเอง
ถึงแม้ฉันจะไม่ได้อินกับเจ้าฟูจิอะไรขนาดนั้น ก็ผิดหวังเล็กน้อย ที่ไม่ได้เห็น ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่จะมีโอกาสได้เห็นเจ้าฟูจิซังเต็มๆ ตาซักครั้งหรือเปล่า แต่ก็ช่างเหอะ
ก็ไม่ได้อินเท่าไหร่หรอก…
แถมรสชาติเค็มปะแล่มๆ ของเจ้าดังโงะกุ้งซากุระก็ไม่ได้เยียวยาจิตใจของฉันได้เลยแม้แต่น้อย…
ฉันขึ้นกระเช้าที่ห้อยอยู่กับเส้นเคเบิลบางๆ ที่เคลมว่ารับน้ำหนักได้ถึง 55 คน และถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะมีคนอยู่ในกระเช้าไม่ถึง 10 คน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดเสียวลดน้อยลงเลย ลมที่พัดมาทำกระเช้าแกว่งเล็กน้อย แถมป้าข้างๆ ก็เปิดกระจกแล้วเอามือถือยื่นออกไปถ่ายรูปนอกหน้าต่าง ฉันหลบไปมองอีกฝั่ง ก็พบว่าตัวเองกำลังห้อยต่องแต่งอยู่เหนือหุบเหวลึก และป่าหนาทึบในกระเช้าครึ่งไม้ครึ่งกระจกที่จำลองมาจากเสลี่ยงของไดเมียวที่ถูกใช้ในสมัยโทกุงาวะ อิเอยาซุ บนสายเคเบิลเล็กจี๊ดเดียว
มือสั่น…
ประมาณ 5 นาทีก็แลนดิ้งสู่แผ่นดินซะที หัวใจจะวาย
เมื่อมาถึงสาลเจ้าแล้วเดินตามทางไปเรื่อยๆ ข้างทางเดิน ถูกตกแต่งไว้ด้วยปล้องไม้ไผ่เจาะรู และป่าไผ่
เดินตามทางมาเรื่อยๆ เพื่อเข้าสู่ศาลเจ้าที่สวยที่สุด และมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ในย่านนี้ โดยมีอายุกว่า 400 ปีเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงความสวยงามและสามารถถนุถนอมรายละเอียดต่างๆ ในศาลเจ้าไว้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเดินผ่านทางเข้ามาคุณจะได้รับแผ่นพับขนาดใหญ่พิมพ์ 4 ภาษา ไทย จีน อังกฤษ และญี่ปุ่น แน่นอนว่านักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยมอย่างอิฉัน
อ่านไม่จบหรอกค่ะ...
กิจกรรมภายในศาลเจ้าของฉันเป็นการเดินสำรวจ ไปรอบๆ ดื่มด่ำกับความเงียบสงบภายในศาลเจ้า และถึงแม้ว่าภายในจะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ แต่ก็หาได้ล๊งเล๊งเหมือนเวลาเราเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในบ้านเราไม่ ทุกคนค่อนข้างสำรวมกิริยากันมากๆ และเท่าที่เดินสำรวจอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงนั้น
ดูเหมือนจะมีแค่ฉัน ที่เป็นคนไทย…
ฉันพยายามอ่านป้ายที่ล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่น ด้วยวุ้นแปลภาษาคู่กาย เจ้า Google Translate โดยการเอาไปส่องกับป้ายแล้วให้แปลเป็นภาษาไทยเลย
แต่ก็...จับใจความอะไรไม่ได้ซักอย่าง…
ขณะที่ฉันกำลังยืนงงอยู่ใกล้ๆ ตู้ใส่เครื่องลาง โดยพยายามอ่านว่า มันต้องทำยังไงวะ อยากได้ซักอัน เก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็มีคุณลุงคนนึงเดินมาหยอดเหรียญลงไปในตู้แล้วบอกให้ฉันหยิบเครื่องลางมาอันนึง แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น ปนกับภาษามือ
ฉันก้มลงไปหยิบซองกระดาษอันเล็กๆ ได้มาอันนึง
Gift for you…
ลุงพูดด้วยสำเนียงญี่ปุ่น (นึกตั้งนาน ลุงพูดอะไรวะ _ _!) แล้วทำท่าทางให้ฉันเก็บไว้ ฉันกล่าวขอบคุณ ส่วนคุณลุงเดินจากไปแล้ว ฉันยังงงอยู่ที่เดิม สลับกับก้มดูซองกระดาษอันเล็กในมือ เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นลุงแล้ว คงเดินปะปนกับคนแถวนั้นหายลับไปแล้ว
ฉันเก็บมันใส่เป้โดยไม่ได้เปิดดูข้างใน อันมันเล็กมาก ของข้างในก็น่าจะเล็กมากๆ ด้วย เล็กจนกลัวว่าคนล่กอย่างฉันจะทำมันหายไป ถ้าเปิดออกมาตอนนี้
ซึ่งถ้าหายไปจริงๆ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ฉันก็แค่ไปหยอดเหรียญแล้วหยิบมาใหม่ แต่มันก็จะไม่ใช่ของขวัญจากลุงคนนั้นอีกแล้วนะ
ของขวัญสำหรับการมาที่นี่ ครั้งแรก ของฉัน
ฉันไม่ได้อินกับเรื่องเครื่องลางของขลังอะไรนัก ฉันเพียงแค่อยากได้อะไรที่มากกว่า รูปถ่ายมาเก็บไว้ เพื่อตอนที่ฉันไม่ได้ออกเดินทาง ฉันจะสามารถระลึกถึงความรู้สึก ต่างๆ เมื่อยามฉันได้ออกเดินทาง
ฉันตั้งใจว่าจะเก็บของขวัญทุกชิ้นที่ได้จากที่นี่ไม่ว่าจะเป็น ดอกลาเวนเดอร์ที่คุณยายเด็ดให้กับมือที่เนินนิฮงไดระ รสชาติขนมแสนอร่อยที่แก๊งค์คุณยายเอามาให้ลองชิม แล้วฉันก็ซัดเข้าไป 4-5 ชิ้น และเครื่องรางปริศนาที่ยังไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร ที่เพิ่งได้จากคุณลุงเมื่อกี้นี้
ฉันเดินสำรวจวนไปวนมา ถ่ายรูปนั่นนี่ อีกพักใหญ่ ศาลเจ้าแห่งนี้ใหญ่โตใช้ได้เลย นั้นอาจจะเป็นเพราะว่า ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของโชกุนคุโนซัง และหลุมฝังศพของโชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุ ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกในสมัยเอโดะ
ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในศาลเจ้าที่เงียบสงบแห่งนี้อยู่อีกพักใหญ่ จนตะวันเริ่มบ่ายคล้อยย้อยลงมา ก่อนจะเดินลงบันได 1,159 ขั้นลงมาทางฝั่งอ่าวซึรุกะเพื่อขึ้นรถบัสไป มิโฮโนะ มัตซึบาระ เจ้าหาดทรายสีดำ ท่ามกลางป่าสน ทะเลญี่ปุ่น และฟูจิซัง ที่เริ่มโผล่ตีนเขามาให้เห็นหน่อยๆ แล้ว...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in