ฝนในฤดูร้อนคือความเฮงซวยสำหรับเราทุกคนในค่ายโลลา
หลังคาโรงนอนนั้นเก่าและทรุดโทรมมานานหลายปี ดังนั้นทุกครั้งที่ฝนตกมักจะต้องมีตัวแทนแต่ละหอวิ่งมาขอร้องให้ผมช่วยปีนขึ้นไปซ่อมหลังคาให้หน่อย ทันทีที่ได้ยินเสียงฝนกระทบหลังคา ผมจะเตรียมกล่องอุปกรณ์ซ่อมแซมเอาไว้ให้พร้อม หลังจากนั้นก็นั่งฟังเสียงกระดิ่งหน้าประตู เมื่อได้ยินฝีเท้าของเหล่าเด็กๆ วิ่งตรงมาทางนี้ ผมก็จะลุกขึ้น สวมเสื้อคลุมและหมวกแก๊ปเตรียมออกไปซ่อมหลังคาโดยที่พวกเขาไม่ทันพูดจบประโยค
“คริส! ซ่อมให้ผมก่อน! ซ่อมให้ผมก่อน!”
จอร์ช ทัคเกอร์ เด็กชายที่ตัวเล็กที่สุดในค่ายร้องบอกพร้อมกับกระโดดไปมา ถัดจากเขาคือปีเตอร์ หัวหน้ากลุ่มสิงโต และโอคอนเนอร์ หัวหน้ากลุ่มแรคคูนที่ไม่พูดมากนอกจากบอกว่าจะหาถังมารองน้ำฝนพลางๆ
“โอเค -- โอเค จอร์ช ฉันจะไปซ่อมให้นายก่อน”
ผมบอกเด็กชายที่เริ่มเบะปากเตรียมจะร้องไห้ จอร์ช ทัคเกอร์ร้องไชโยด้วยความดีใจแล้วจูงมือผมให้วิ่งฝ่าฝนไปโรงนอนของพวกเขา ในค่ายนี้มีโรงนอนสี่หลัง แต่ละหลังนอนได้ประมาณสิบคน หากปีไหนมีเด็กมากกว่าปกติก็อาจจะเบียดเสียดเป็นหลังละสิบสอง อึดอัดนิดหน่อย แต่ยังพออยู่ได้
“ตรงนี้ คริส ตรงนี้” เด็กๆ ในโรงนอนหมีป่าพร้อมใจกันชี้ไปที่รอยรั่วบนหลังคา “เราเอาแก้วมารองแล้ว แต่มันล้นเร็วมาก คุณช่วยซ่อมให้หน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ สบายมาก”
ผมรับปากพร้อมกับลากเก้าอี้มาไว้กลางโรงนอน จริงๆ ผมคงไม่ต้องตื่นกลางดึกเพื่อมาซ่อมหลังคาเลยถ้าค่ายโลลาเก็บเงินจากผู้ปกครองเพิ่มอีกหน่อย แต่เพราะปณิธานของคุณพ่อที่อยากช่วยเด็กๆ ทำให้เราต้องประหยัดเป็นพิเศษ อะไรที่ซ่อมได้ก็ซ่อม หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยซื้อใหม่ ซึ่งกว่าเราจะขยับไปหาคำว่า “ซื้อ” ก็ต้องผ่านการซ่อมมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง --
ผมขอยืนยันว่าไม่ต่ำกว่าสิบครั้งจริงๆ
ดังนั้นหากเรื่องไหนที่พอทำได้ ผมก็จะทำไปก่อน ไม่ว่างานซ่อม งานทำความสะอาด งานรีโนเวทเครื่องเรือนต่างๆ ล้วนผ่านมือผมมาแล้วทั้งสิ้น การซ่อมหลังคาโรงนอนก็เช่นกัน ผมเป็นคนเดียวในค่ายที่ยังมีเรี่ยวแรงและความรู้มากพอจะแก้ปัญหาให้เด็กๆ ไม่ต้องแปลกใจเลยเมื่อฝนตก ทุกคนจะได้ยินเสียง “คริส!” ดังระงมมาจากโรงนอนทุกทิศทาง
“เอาผ้ามาเช็ดหน่อยปีเตอร์” ผมสั่งหัวหน้ากลุ่มสิงโต “สงสัยเราต้องช่วยกันย้ายเตียงให้ฟิลแล้วล่ะเพราะฉันซ่อมหลังคานี่ไม่ได้”
“มีอะไรที่คุณซ่อมไม่ได้ด้วยเหรอ?” ราล์ฟถาม
“เยอะแยะ เช่นวิทยุของคุณพ่อไง”
ผมตอบขณะปีนลงบันไดแล้วเข้าไปช่วยเด็กๆ ย้ายเตียง ในเมื่อการซ่อมแซมเฉพาะหน้าไม่ได้ผล เราก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ด้วยการหนีน้ำแทน ผมวุ่นวายกับการช่วยเด็กทั้งสี่กลุ่มจากหลังคาผุพัง กว่าจะจัดการที่ทางให้พวกเขาได้หลับสบายก็เกือบเที่ยงคืน ผมบอกราตรีสวัสดิ์เด็กๆ ก่อนจะปิดประตูโรงนอน คราวนี้ถึงเวลาพักผ่อนของผมเสียที
ผมใช้มือเช็ดหยดน้ำออกจากใบหน้า สะบัดรองเท้าบูทสองสามทีแล้วกางร่มกลับบ้านใหญ่ เสียงโคลนเฉอะแฉะดังตามจังหวะเท้าที่ก้าวเดิน ฟ้าแลบเป็นระยะช่วยให้มองเห็นทางลางๆ โดยไม่ต้องพึ่งไฟฉาย ผมชินกับการเดินเตร่ในค่ายกลางดึกกลางดื่นแบบนี้เพราะต้องตรวจเด็กๆ ก่อนเข้านอนทุกคืน แต่ดูเหมือนคืนนี้จะแปลกไปจากปกตินิดหน่อยตรงที่มีแสงไฟหน้าของรถส่องมาจากด้านหลัง
ใครกันที่มาค่ายกลางดึกแบบนี้?
ผมย่ำเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นว่ารถจอดยนต์คันนั้นจอดหน้าบ้านพัก สุภาพตรีสวมเสื้อคลุมยาวลงจากรถก่อนจะเปิดประตูและฉุดแขนเด็กชายคนหนึ่งให้เดินไปด้วยกัน ผมรู้ในทันทีว่าค่ายโลลากำลังจะมีสมาชิกใหม่ แถมเป็นเด็กที่ถูกพามาตอนกลางคืนกะทันหันแบบนี้ เดาได้เลยว่าถ้าไม่แสบสุดๆ ก็คงหนีจากอะไรบางอย่าง
“สวัสดีครับ”
ผมเอ่ยทักทายเธอ สุภาพสตรีท่านนั้นรีบตอบกลับว่าสวัสดีค่ะ ดิฉันมาพบคุณพ่อจอห์น ดิฉันมีเรื่องยากรบกวนท่านนิดหน่อย
ผมตอบเธอว่าได้ครับก่อนจะเชิญเธอกับเด็กชายตัวผอมเก้งก้างเข้ามาข้างใน ท่าทีของเขาเหมือนม้าพยศไม่เชื่องต่อเจ้าของ แววตาแข็งกร้าวเย็นชา ไม่มีแม้แต่หวาดกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งสักนิด ผมปรายตามองเด็กใหม่แค่ชั่วครู่ก่อนจะเข้าไปตามคุณพ่อให้ลงมาดูสมาชิกใหม่ด้วยกัน
“สวัสดีครับ” คุณพ่อเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาในห้องนั่งเล่น ท่านส่งยิ้มอบอุ่นให้คุณผู้หญิงก่อนจะมองหน้าเด็กชาย “มีอะไรให้พ่อช่วยหรือ?”
หลังเสิร์ฟน้ำชาและของคุ้กกี้ลูกเกดบนโต๊ะ ผมก็ปลีกตัวไปนั่งเก้าอี้นวมด้านหลังคุณพ่อ ทันทีที่ได้รับโอกาสให้พูด สุภาพสตรีแสนสวยก็ร้องไห้โฮออกมา เธอบอกคุณพ่อว่ากลุ้มใจมากๆ จนไม่รู้จะทำอย่างไร เธอแต่งงานใหม่กับสามีที่เป็นผู้รับเหมา ส่วนนี่คือลูกชายของเธอกับอดีตสามี ปัญหามีอยู่ว่าพวกเขาเข้ากันไม่ได้ ชาร์ลส์ไม่ชอบทอมมี เขาแสดงอาการต่อต้านเสมอไม่ว่าเธอจะพยายามบอกให้เขาเป็นเด็กดีขนาดไหน ถ้าหากชาร์ลส์ดื้อเงียบคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่ทอมมี สามีใหม่ของเธอไม่ใช่คนใจดี
“วันนี้ชาร์ลส์ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยค่ะ” เธอลูบหัวลูกชาย จังหวะที่ฟ้าแลบ ผมแอบเห็นรอยช้ำจางๆ บนแก้มของเจ้าเด็กดื้อด้วย “ฉันจำเป็นต้องพาเขาหนี ไม่งั้นทอมมีต้องตีเขาตายคามือแน่ๆ”
“โถ่ เจ้าหนูน้อยชาร์ลส์” คุณพ่อมองอย่างเห็นอกเห็นใจ และแน่นอนคำตอบของท่านก็คือ “พ่อจะดูแลเจ้าหนูคนนี้ให้ชั่วคราวนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” เธอร้องไห้ก่อนจะหันไปกอดลูกชาย “แม่จะมารับลูกหลังซัมเมอร์นะเด็กดี”
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ --”
“ไม่กี่วันเองลูกรัก แม่รู้ว่าลูกชายของแม่เข้มแข็ง ลูกต้องชอบค่ายโลลาแน่ๆ”
“ผมไม่ชอบ”
“ที่ค่ายเรามีฮอตด็อกด้วยนะ” คุณพ่อพูดเสริมเพื่อหวังให้ชาร์ลส์อารมณ์ดี แต่เด็กคนนั้นเบือนหน้าหนี ไม่ยอมเปิดให้ท่านเข้าร่วมบทสนทนา “เรามีไอศกรีมทำเอง”
“ผมไม่ชอบไอศกรีม!”
“ชาร์ลส์!”
เธอตำหนิลูกชายเสียงดัง แต่คุณพ่อท่านส่ายหน้ายิ้มๆ บอกเธอว่าอย่าดุเด็กน้อยชาร์ลส์เลย เขาต้องใช้เวลาปรับตัวอีกนิดหน่อย ท่านเชื่อว่าไม่เกินสัปดาห์ ชาร์ลส์ต้องชอบค่ายคุณแม่โลลาแน่ๆ
“ดิฉันต้องกลับแล้ว ทอมมีกำลังรออยู่” คุณผู้หญิงบอก เธอหอมแก้มลูกชายครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนและบอกลาเรา “แม่จะกลับมารับนะชาร์ลส์”
เด็กชายชาร์ลส์จ้องบานประตูจนกระทั่งแม่ของเขาขับรถออกไป เสียงฟ้าร้องสลับกับเสียงฝนกระทบกระจกหน้าต่างดังแทนบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คุณพ่อจอห์นหันมาหาชาร์ลส์ก่อนจะบอกให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้ดึกเกินกว่าจะหาโรงนอนให้ ดังนั้นชาร์ลส์ต้องนอนกับผมซึ่งเป็นพี่เลี้ยงค่ายแทน
“มาเถอะ ฉันจะปูที่นอนให้”
ผมบอก เด็กชายชาร์ลส์ผู้เงียบขรึมเดินตามหลังมาติดๆ จนถึงห้องพักชั้นหนึ่ง ผมเปิดไฟตรงผนังก่อนจะยกกระเป๋าของเขาไปวางไว้ข้างเตียง เมื่อก่อนเตียงหลังนี้เคยเป็นของพี่เลี้ยงอีกคน แต่เขาลาออกไปนานแล้ว มันจึงกลายเป็นที่นอนสำหรับแขกผู้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมสะบัดผ้าคลุมลายตารางสีน้ำเงินออก ตบหมอนอัดนุ่นสองสามทีเพื่อไล่ฝุ่นและหยิบผ้าห่มมาให้ เด็กน้อยชาร์ลส์ยืนใบ้ไม่พูดขอบคุณเมื่อผมเตรียมทุกอย่างให้เขาเรียบร้อย แต่ไม่เป็นไร เรื่องมารยาทไว้เราค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้ก็ได้
“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ” ผมบอกชาร์ลส์ที่ตัวเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนจนหยดติ๋งๆ เขาไม่ตอบสนองคำสั่งแต่ตวัดตามองแทน “นายมีปัญหาอะไร?” ผมถามเมื่อเห็นเขายืนใบ้
“กระเป๋าของผมไม่มีอะไรเลย” เขาบอกแล้วก้มมองต่ำ “แม่รีบมากจนลืมจัดกระเป๋าให้”
ผมเลิ้กคิ้วก่อนจะเปิดกระเป๋าของเด็กชาย มันเป็นจริงตามที่เขาว่า ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลไม่มีอะไรอยู่เลย มีแค่รองเท้าหนังหนึ่งคู่ที่ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ของชาร์ลส์ แต่เป็นของพ่อเลี้ยงของเขา
“ฉันจะให้นายยืมก่อนก็แล้วกัน”
ผมหยิบชุดนอนของตัวเองออกมาจากตู้และผ้าขนหนูอีกหนึ่งผืน เด็กชายชาร์ลส์รับมันมาถือโดยปราศจากคำขอบคุณเช่นเคย เขาก้มหน้ามองชุดนอนสีดำของผมด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะเงยหน้า และขอให้ผมออกไป
“นายเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ นี่มันห้องของฉันนะ” ผมเน้นคำว่าห้องของฉันเพื่อบอกเด็กชายชาร์ลส์ว่าคนที่ควรออกไปน่าจะไม่ใช่ผมมากกว่า
“ผมรู้ แต่ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ก็เปลี่ยนสิ”
“ผมจะเปลี่ยนได้ไงถ้าคุณยืนอยู่ตรงนี้”
“แต่เราเป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน อีกอย่าง ฉันไม่แคร์หรอกถ้านายจะแก้ผ้าหรือวิ่งล่อนจ้อนไปทั่วทั้งค่าย”
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะขึ้นนอนบนเตียงและหันหลังให้ เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมไม่แอบดูเด็กเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าถูกับชั้นผิวดังขึ้นแผ่วเบา ชาร์ลส์ใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถามผมว่าเขาควรจัดการกับชุดที่เปียกยังไง
“ใส่ในตะกร้าเลย” ผมบอก “พรุ่งนี้เอาไปซักด้วยล่ะ”
“เฉพาะของผมใช่ไหม?”
“นายอยากซักให้ฉันด้วยหรือไง?”
“ไม่” ชาร์ลส์ตอบเสียงแข็ง “ในตะกร้ามีกางเกงในด้วย ผมไม่ซักกางเกงในให้ใครหรอก”
ผมหัวเราะขำ เด็กชายชาร์ลส์นั้นแสนซื่อและพยศเหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ผมบอกเขาว่าไม่ต้องห่วงหรอก ในค่ายนี้เด็กๆ ทุกคนต้องรับผิดชอบข้าวของของตัวเอง เว้นแต่งานครัวและงานทำความสะอาดสถานที่เท่านั้นที่ต้องช่วยกัน
“ฉันไม่แน่ใจว่านายต้องอยู่บ้านไหน นายมากะทันหัน ตอนนี้โรงนอนเต็มทุกหลังแล้ว”
“ดี งั้นปล่อยผมไป ผมก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
“บอกแม่ให้มารับสิ คุณพ่อไม่อนุญาตให้ออกข้างนอกโดยไม่มีผู้ปกครอง”
“ผมนั่งรถบัสกลับเองได้”
“แถวนี้ไม่มีป้ายรถบัส นายก็รู้” ผมบอก “อีกอย่างรอบๆ ค่ายเป็นป่าทั้งหมด ถ้านายมั่นใจว่าจะไม่เจอหมาป่าไคโยตี้ก็เอาเลย เดินไปสุดถนนจนกว่าจะถึงเขตเมืองก็ได้”
“ผมไม่กลัวหมาป่า”
“ก็ดี อย่าวิ่งมาหาฉันล่ะถ้าได้ยินเสียงหอนของมัน”
บรู๋ววววว
พูดจบ ไมนัส หมาเฝ้าค่ายของเราก็หอนขึ้นมาทันที ผมรู้ว่าไมนัสเป็นหมาบ้านธรรมดาๆ ที่คุณพ่อเลี้ยงไว้เพื่อความปลอดภัย แต่ชาร์ลส์ไม่รู้ เขาคงคิดว่าเสียงของไมนัสคือเสียงหมาป่าแน่ๆ ไม่งั้นเด็กชายคนเก่งคงไม่มุดผ้าห่มจนหายไปทั้งตัวแบบนี้หรอก
“รู้ไหมว่ากลางคืนหมาป่ามักจะออกมาวนเวียนรอบบ้าน” ผมกุเรื่องขึ้นเพื่อขยี้ให้ชาร์ลส์สติแตก “เคยมีเด็กถูกหมาป่าขย้ำด้วย”
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก”
บรู๋วววว
เยี่ยมมากไมนัส
“เดี๋ยวนายก็รู้ว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า” ผมดึงผ้าห่มถึงคอแล้วแกล้งทำเป็นขนลุกขนพองกับเรื่องที่ตัวเองเล่า “หมาป่าน่ะ – ชอบกินเด็กอายุเท่านายมากๆ”
เปรี้ยง!
ฟ้าผ่าจนบ้านสะเทือนทั้งหลังพอดิบพอดี ผมได้แต่กลั้นขำเมื่อเด็กชายชาร์ลส์จมหายไปในผ้าห่มมากกว่าเดิม จังหวะที่กำลังจะแกล้งขู่ให้เขากลัว จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงท้องร้องดังมาถึงเตียง ทั้งๆ ที่ระยะห่างของมันค่อนข้างไกล แต่เสียงประท้วงขออาหารกลับดังชัดจนได้ยินเต็มสองหู
“นายหิวเหรอ?”
“ผมเปล่า” ชาร์ลส์โกหก แต่ท้องของเขาส่งเสียงร้องอีก “ผมไม่หิวนะ”
“ฉันว่าจะชวนกินคุ้กกี้ด้วยกันซักหน่อย”
“ผมบอกว่าไม่หิวไง”
“โอเค งั้นฉันกินคนเดียวก็แล้วกัน”
ผมเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ชาร์ลส์นั่งเหวอคนเดียวบนเตียงในห้องพัก ผมตรงดิ่งไปที่ครัวเพื่อหยิบโหลคุ้กกี้ช็อกโกแลตชิปออกมาจากตู้ไม้ รินนมใส่แก้วและถือเข้าไปในห้องที่เราแชร์ร่วมกัน
“เอาหน่อยไหม?”
“ไม่”
“คุ้กกี้นี่เราช่วยกันอบเอง เนื้อฉ่ำแน่นอย่าบอกใครเชียวล่ะ” ผมพูดลอยๆ ก่อนจะกัดคุ้กกี้ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือแล้วส่งเสียงในลำคอเพื่อยั่วให้ชาร์ลส์รู้สึกว่ามันอร่อย และเขาต้องกิน “อืม – สุดยอดมาก”
ชาร์ลส์มองผมสลับกับคุ้กกี้ เขาแกล้งทำเป็นไม่สนใจด้วยการดึงผ้านวมมาคลุมจนมิดแล้วนอนหันหลังให้ ผมพูดทิ้งท้ายว่าถ้าหิวก็ลุกขึ้นมากินก่อนจะออกไปแปรงฟันแล้วเข้านอน เสียงฟ้าร้องคำรามเป็นพักๆ สลับกับฟ้าแลบ ในห้องนอนที่มีเราสองคนนอนอยู่คนละด้านของกำแพง เด็กชายชาร์ลส์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง รีบย่องมาหยิบคุ้กกี้และแก้วนมไปดื่มจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะปีนกลับขึ้นเตียงแล้วร้องไห้เงียบๆ เพียงลำพัง
☀
ผมตื่นนอนตอนตีห้า แต่ชาร์ลส์ยังคงหลับอยู่ ในเตียงเก่าที่มีกลิ่นอับ ชาร์ลส์ฝังหน้าลงบนหมอนใบใหญ่จนแทบมองไม่เห็นองค์ประกอบของใบหน้า เสียงหายใจเข้าออกแผ่วเบาของเจ้าเด็กแสบกำลังฟ้องว่าเขาอยู่ในห้วงนิทราที่ไม่ควรขัดจังหวะ ดังนั้นผมจึงห่มผ้าให้เขามิดชิดและออกจากบ้านพักเพื่อเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน
วันอังคารนี้เป็นเวรของบ้านสิงโต
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมรองเท้าผ้าใบและถือตะเกียงตรงดิ่งไปโรงนอนสิงโต ในเวลารุ่งสางหลังคืนฝนตกแบบนี้ไม่มีเด็กคนไหนอยากตื่นเลยซักคน ดังนั้นผมจึงต้องออกแรงเคาะตรงเสาเตียงให้มากกว่าปกติ ผมตะโกนบอกพวกเขาว่าเช้าแล้ว! ตื่นได้แล้ว! วันนี้เวรทำอาหารของพวกนายนะ! ก่อนจะเดินปลุกเจ้าหนูขี้เซาทีละคนๆ หกโมงเช้าถึงจะพร้อมสำหรับงานครัว แต่ก็ยังมีบางคนงัวเงียจนต้องหิ้วเหมือนถุงแป้งไปจนถึงโรงอาหารเหมือนกัน
แต่ละวันมื้อเช้าถูกกำหนดไว้โดยมาดามแมรี่ เธอเป็นหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ที่อาสาสมัครมาช่วยพวกเราดูแลเด็กเจ้าปัญหาพวกนี้ทุกปี ด้วยกำลังของเธอเพียงคนเดียวคงไม่สามารถทำอาหารให้เพียงพอสำหรับคนทั้งห้าสิบคนได้ ดังนั้นเธอจึงต้องการแรงของเด็กๆ วัยกำลังซนให้ช่วยทำงานหน่อย ซึ่งการทำครัวถือเป็นหนึ่งของการฝึกของที่นี่ เด็กทุกคนในค่ายโลลาต้องเรียนรู้วิธีปลูกผักจนกระทั่งแปรรูปเป็นอาหาร แม้ว่าฝีมือการปรุงจะย่ำแย่ถึงขั้นไม่สามารถตักใส่ปากได้ แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ ต้องทำเป็น ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ตามความคาดหวังที่พ่อแม่ของพวกเขาส่งมา
“มื้อเช้าวันนี้คือไข่คนนะ เอาล่ะเด็กๆ ตอกไข่ใส่ชามและโรยเกลือลงไป อย่าให้เยอะมากนักล่ะ คงไม่อยากให้เพื่อนของเราต้องเจ็บป่วยเพราะไตวายใช่ไหม?”
เธอพูดติดตลกพลางสอนเด็กชายทั้งสิบคนอย่างใจเย็น เด็กเหล่านั้นสนใจฟังบ้างไม่ฟังบ้างขึ้นอยู่กับความดื้อของแต่ละคน เมื่อเวลาล่วงเลยจนเจ็ดโมงเช้า ตัวแทนของนักเรียนเวรทำครัวก็จะวิ่งไปกดออดเพื่อปลุกเด็กคนอื่นๆ ในค่าย เสียงออดที่แผดลั่นจนนกแตกรังทำเอาพวกเด็กขี้เซาถึงกับหัวเสีย บางคนก็ตะโกนโวยวาย บางคนก็ยกหมอนขึ้นอุดหูไม่ยอมลุกจากเตียง จึงเป็นหน้าที่ของผมและพี่เลี้ยงอีกสี่ต้องตระเวนตามโรงนอนต่างๆ เพื่อลากเด็กเหล่านั้นให้ตื่นมาทานมื้อเช้า
หลังงานครัวในวันนี้เสร็จสิ้นลง เราทุกคนช่วยกันยกอาหารไปวางบนโต๊ะยาวตัวใหญ่ พวกเด็กๆ เรียงถาดเป็นชั้นๆ เตรียมแจกจ่าย เวรตักอาหารประจำวันยืนประจำที่ เตรียมทัพพีและขนมปังพร้อมเสิร์ฟเพื่อนๆ ทั้งค่าย ส่วนผมเดินกลับบ้านพักใหญ่ สวนทางกับคุณพ่อจอห์นที่กำลังมุ่งหน้าไปโรงอาหารกลาง คุณพ่อบอกว่าชาร์ลส์ไม่ยอมตื่นซึ่งไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ ท่านดูหนักใจกับเด็กคนนี้พอสมควร อาจเป็นเพราะเขามีบาดแผลทางใจที่ไม่สามารถบอกใครได้ เราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการคุยกับเขา
“ผมจะปลุกเขาเองครับ คุณพ่อ”
ผมก้มหัวก่อนจะขึ้นบันไดบ้านพัก เคาะทรายออกจากรองเท้าสองสามครั้งแล้วเปิดประตูห้องนอนซึ่งมีเด็กชายชาร์ลส์นอนหลับอยู่ ผมเริ่มจากการเปิดผ้าม่านเพื่อให้แสงธรรมชาติปลุกนาฬิกาชีวิตของเขา เมื่อเห็นเด็กขี้เซานอนบิดเร้าใต้ผ้านวม ผมจึงปลุกต่อด้วยการใช้เสียง และเมื่อชาร์ลส์ยังคงดื้อรั้นไม่ยอมลืมตาง่ายๆ ผมจึงเริ่มใช้มือเขย่าตัวเขาเบาๆ แต่ชาร์ลส์กลับดิ้นไปมา ถีบแข้งถีบขาอย่างเอาแต่ใจ ผมถอยกลับมายืนกอดอกมองม้าพยศใหม่
“ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
“ผมไม่หิว”
“แน่สิ นายกินคุ้กกี้จนเกลี้ยงโหล นายจะหิวได้ยังไงกันล่ะ”
“ผมกินแค่ห้าชิ้นเอง”
“เหรอ?”
“ครับ” ชาร์ลส์ที่ง่วงงุนยังมีกะจิตกะใจขานตอบอย่างน่ารัก “ผมกินแค่ห้าชิ้นเอง บนจานนั่นไง --” เขาชี้นิ้วไปที่โต๊ะข้างเตียง
ผมมองตามปลายนิ้วเล็กๆ นั่นก่อนจะถอนหายใจ และเริ่มใช้กำลังเพื่อปลุกชาร์ลส์ให้ลุกจากเตียง เขาออกแรงขัดขืนตามประสาเด็กเอาแต่ใจ ปากก็ร้องโวยวายให้ปล่อยจนแสบแก้วหู แต่แรงเด็กหรือจะสู้แรงคนที่ตัวโตกว่าอย่างผม ในที่สุดชาร์ลส์ก็ออกมายืนนอกเตียงในสภาพผมเผ้าชี้โด่เด่ ใบหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์พร้อมอาละวาดใส่ทุกคนที่อยู่ใกล้ แต่ผมไม่สนใจภาษากายที่แสนจะไม่น่ารักนั้น ผมกอดอกมองชาร์ลส์ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่านายต้องไปแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยว – นี้ –
“ผมไม่มีเสื้อผ้า! ไม่มีแปรงสีฟัน! ไม่มีอะไรทั้งนั้น คุณเองก็รู้!”
เขาตะคอกเสียงดัง ผมเห็นเส้นเลือดขึ้นตรงคอของเขาด้วย
“ผมไม่ได้เต็มใจมาที่นี่! ทำไมคุณต้องยุ่งกับผม ปล่อยผมอยู่เงียบๆ จนกว่าแม่จะโผล่หัวมาไม่ได้หรือไง!”
“เฮ้! ระวังคำพูดหน่อย!” ผมเตือนเขา ในขณะที่ชาร์ลส์โมโหจนเลือดขึ้นหน้า ผมกลับเข้าใจความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งที่เด็กคนนี้ต้องแบกไว้ ผมจึงถอนหายใจและกล่าวขอโทษ “ฉันผิดเองที่ไม่ใส่ใจนายเท่าที่ควร ไว้ช่วงสายวันนี้ ตอนบ้านแรคคูนไปซื้อของที่ซูเปอร์ ฉันจะพานายไปซื้อเสื้อผ้าก็แล้วกัน”
ชาร์ลส์สงบลงเมื่อผมยอมขอโทษและเป็นฝ่ายใจเย็น เขากอดอกด้วยท่าทางแสนดื้อรั้นตามประสาเด็กเอาแต่ใจอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน ผมจึงบอกให้เขาไปแปรงฟันและทานมื้อเช้า
“วันนี้มีไข่คน ขนมปัง และนม หวังว่านายจะชอบนะ”
ผมบอกพลางเปิดตู้เก็บของเพื่อหยิบแปรงสีฟันราคาถูกออกมา ชาร์ลส์ตั้งท่าจะฉวยมันไปจากมือแต่ผมไหวตัวทัน จึงยกแปรงสีฟันขึ้นและถามเขาว่า
“เวลามีใครซักคนให้ของแก่นาย นายควรพูดว่ายังไง?”
“ขอบคุณ”
“เก่งมาก”
ผมยิ้มและส่งแปรงสีฟันให้เขา ชาร์ลส์รับมันมาถือก่อนจะถามว่าห้องน้ำอยู่ทางไหนและหายไปประมาณห้านาที เขากลับเข้าห้องนอนอีกครั้งในสภาพใบหน้าเปียกชุ่ม ผมเผ้ายุ่งฟูไม่เป็นทรงจนผมทนดูไม่ได้ ต้องหยิบหวีขึ้นมาช่วยจัดแต่งให้ใหม่
“มาเถอะ เพื่อนๆ รอนายอยู่”
ผมบอกชาร์ลส์ก่อนจะเดินนำเขาไปโรงอาหารใหญ่ ในนั้นเด็กๆ ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย บนถาดอาหารของพวกเขามีไข่คนและขนมปังวางอยู่ คุณพ่อจอห์นที่กำลังจะเริ่มสวดอธิษฐานขอบคุณสำหรับอาหารหันมาเห็นเราพอดี ท่านจึงกวักมือเรียกชาร์ลส์ให้เดินเข้ามาใกล้ๆ และกล่าวแนะนำเขาแก่เด็กทุกคนในค่าย
“นี่คือ ชาร์ลส์ เขาจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของค่ายเราในปีนี้”
เสียงซุบซิบเซ็งแซ่ดังขึ้นทันที เด็กๆ ต่างเอียงหน้าเข้าหากันเพื่อคุยกันว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใคร ทำไมถึงโผล่มากะทันหันหลังค่ายเปิดไปแล้วตั้งสัปดาห์ ชาร์ลส์ที่ยืนข้างคุณพ่อดูอึดอัดและอับอายเมื่อถูกเด็กคนหนึ่งหัวเราะเพราะชุดนอนที่ไม่พอดีตัว คุณพ่อจอห์นจึงต้องอบรมเด็กพวกนี้เสียยกใหญ่ก่อนจะยกเวทีให้ชาร์ลส์ที่เรายังไม่ทราบนามสกุลได้แนะนำตัวเอง
“ฉัน ชาร์ลส์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้และแผ่วเบา “เรียกฉันว่าชาร์ลส์”
“นามสกุลล่ะ?” เจเรมีตะโกนถามอย่างใคร่รู้
“แค่ชาร์ลส์เฉยๆ”
“แต่นายต้องมีนามสกุลนะ”
“ฉันไม่มี” ชาร์ลส์ตอบเสียงแข็งท่ามกลางเด็กในค่ายที่เริ่มจอแจกันอีกครั้ง
“นี่มันบ้าอะไรกัน” หนึ่งในนั้นสบถเสียงดัง “ใครมันจะชื่อชาร์ลส์ แค่ชาร์ลส์เฉยๆ วะ ตลกเป็นบ้าเลย”
“เด็กๆ เงียบหน่อย!” คุณพ่อจอห์นปรามอีกครั้ง “เอาล่ะ หลังจากตอนนี้ไป ชาร์ลส์จะอยู่บ้านแรคคูน”
“โถ่ อะไรกัน แค่นี้ก็แน่นจะแย่อยู่แล้ว!” แพทริคบ่น
“พ่อเคยบอกว่ายังไงแพทริค?”
“เราต้องมีน้ำใจและแบ่งปันซึ่งกันและกันครับ”
เด็กน้อยประจำบ้านแรคคูนตอบเสียงจ๋อย เขาละอายใจที่เผลอแสดงออกว่าผิดหวังกับการมาถึงของชาร์ลส์ ผู้ไม่ประสงค์จะระบุนามสกุลของตัวเอง เมื่อคุณพ่อเห็นถึงความรู้สึกผิดนั้น ท่านก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะส่งถาดอาหารให้ชาร์ลส์ไปนั่งร่วมกับเพื่อนๆ ในบ้าน และเริ่มอธิษฐานขอบคุณสำหรับอาหารเช้าทันที
☀
บ้านโลลาให้เวลาเด็กๆ ทานอาหารมื้อละสามสิบนาที หากใครมัวแต่เล่นจนทานไม่หมด จะต้องถูกลงโทษด้วยการทำเวรล้างจานพิเศษเพิ่มหนึ่งวัน และแน่นอนว่าคนแรกที่ได้ลองของประจำค่ายหนีไม่พ้นชาร์ลส์ซึ่งเป็นเด็กเลือกกินอย่างน่าเหลือเชื่อ เขากัดขนมปังแค่คำเดียว ไข่คนสองช้อน แต่ดื่มนมหมดแก้ว หลังจากนั้นเขาก็นั่งกอดอกปั้นหน้าบูดบึ้งไม่พอใจจนมาดามต้องเดินเข้าไปเช็กด้วยความเป็นห่วงว่าชาร์ลส์ไม่ชอบใจอะไร
“ผมไม่เรียกสิ่งนี้ว่าไข่คนหรอกนะ ก็แค่เศษไข่ก้นกระทะที่ไม่มีรสชาติน่าพิศวาสอะไรเลยนอกจากรสเค็มของขี้เกลือและกลิ่นเหม็นไหม้จากไม้ฟื้นเท่านั้น”
คำพูดของชาร์ลส์ทำให้เด็กหลายๆ คนในบ้านสิงโตไม่พอใจ รวมถึงมาดามแมรี่ด้วย เธอโกรธถึงขั้นยืนกอดอกกดดันชาร์ลส์ให้ทานมื้อเช้าจานนี้ให้หมดไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าเมืองไปซื้อของกับเพื่อนๆ ผมได้แต่มองเหตุการณ์นั้นโดยไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ชาร์ลส์ อย่างน้อยถ้าจะต้องอยู่ที่นี่ เขาควรเรียนรู้คุณค่าของอาหารและวิธีถนอมน้ำใจคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นเด็กไม่น่ารักและไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
แต่ชาร์ลส์ไม่ใช่หมากฝรั่งสำหรับเราทุกคนที่นี่
เขามีความดื้อพยศในตัวเองสูงเกินว่าที่เราคาดคิดไว้ เขาเอาแต่ใจ ถือตัว อวดดี เย่อหยิ่งและจองหอง ทุกคุณสมบัติของเด็กมีชาติตระกูลแต่นิสัยเสียรวมอยู่ในตัวเขาคนเดียว ชาร์ลส์ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาไม่ขอ ‘กระเดือก’ สิ่งที่เพื่อนๆ ตั้งใจทำลงกระเพาะเด็ดขาด ต่อให้มาดามแมรี่ยัดไข่คนทั้งถาด เขาก็จะไม่เคี้ยวให้ลิ้นเสียรสชาติ ดังนั้นมาดามจึงลงโทษด้วยการสั่งงดอาหารจนถึงมื้อเย็น นั่นหมายความว่าเที่ยงนี้ที่เราไปซื้อของในเมือง เขาจะไม่มีโอกาสได้กินแซนด์วิชแสนอร่อยฝีมือมาดามเลยแม้แต่คำเดียว
บทลงโทษของเด็กเลือกกินคือการล้างจานกองโต ‘เพียงลำพัง’ ในเมื่อเขาเลือกที่จะขัดขืนและต่อต้านกฎของที่นี่ ชาร์ลส์จึงต้องยอมรับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย แต่เขาก็ทำให้มาดามปวดหัวอีกครั้งด้วยการหยิบจับอะไรไม่เป็น สองในสามของจานที่ต้องล้างจึงยังมีคราบตกค้างของไข่คนเหลืออยู่
“เพราะสิ่งที่คุณให้เรากินมันคือขยะ!”
ชาร์ลส์ยังคงเถียงต่อไป มาดามแมรี่ถึงกับกำมือแน่นด้วยความอดกลั้น เธอคงอยากกรีดร้องเต็มที แต่ด้วยภาพลักษณ์มาดามผู้แสนใจดี เธอจึงทำเพียงแค่ดึงสีหน้าให้ราบเรียบ และสั่งให้ชาร์ลส์ล้างใหม่จนกว่าจานทุกใบจะสะอาด
ผมไม่ได้ติดตามว่าเด็กชายชาร์ลส์แสดงอิทธิฤทธิ์อย่างไรต่อเพราะมีงานสำคัญต้องทำ ช่วงสายผมต้องขึ้นไปซ่อมหลังคาโรงนอนให้เด็กๆ ด้วยแผ่นไม้เก่าๆ และตะปูกล่องเดิม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะป้องกันฝนได้อีกนานเท่าไหร่ แต่เดาว่าอีกไม่นาน คุณพ่อคงต้องควักเงินก้อนใหญ่จ่ายเป็นค่ารื้อหลังคาทั้งหลังแน่ๆ หลังทำหน้าที่ตัวเองเสร็จก็สิบโมงพอดี มาดามแมรี่เดินมาเรียกผมให้เตรียมตัวไปซื้อของในเมืองด้วยกัน ผมจึงได้เห็นหน้าเด็กชายชาร์ลส์อีกครั้ง
“ล้างจานสะอาดหรือยัง?” ผมแซวยิ้มๆ แต่ชาร์ลส์ไม่เล่นด้วย เขาหน้าบูดบึ้งเหมือนจะร้องไห้ และแสดงออกชัดเจนว่าความอดทนของเขาต่ำจนเกือบถึงจุดระเบิดแล้ว “คราวหน้านายก็กินให้หมดเสียสิ จะได้ไม่ต้องล้างจานทั้งหมดคนเดียว”
“ผมไม่กินอาหารเกรดต่ำ”
“ต้องขอโทษด้วยนะที่ค่ายของเราไม่มีเงินมากพอจะซื้อของดีๆ ให้นายกิน ลำพังค่าใช้จ่ายและเงินหมุนเวียนก็แทบไม่พอแล้ว”
“ก็ค่ายคนจนนี่นะ”
“ใช่ ค่ายคนจน” ผมแสร้งทำเป็นเห็นด้วย “ที่นี่มีแต่เด็กจนๆ ทั้งนั้น รวมถึงนายด้วย”
ชาร์ลส์ตวัดตามองด้วยความโกรธ แก้มและใบหูทั้งสองข้างของเขาแดงเถือกเหมือนมะเขือเทศในสวนที่เราช่วยกันปลูก ผมไม่สนใจอาการไม่ได้ดั่งใจของเด็กคนนั้นนอกจากเช็กจำนวนเด็กๆ ที่ต้องไปซื้อของวันนี้ หากรวมผม มาดามแมรี่ และชาร์ลส์ด้วยก็จะมีทั้งหมดสิบสามคน เราเดินออกจากค่ายเป็นระยะทางกว่าหนึ่งไมล์ถึงจะเจอป้ายรถเมล์ หลังจากนั้นก็ต้องรอจนสิบเอ็ดโมงกว่าที่รถบัสประจำทางซักคันจะขับผ่านมา เมื่อรถคันใหญ่สีเหลืองจอดเทียบท่า ผมกับมาดามแมรี่ก็ช่วยกันต้อนเด็กๆ ขึ้นรถและจ่ายค่าโดยสาร มุ่งหน้าสู่ร้านรวงในเขตเมืองเพื่อจับจ่ายใช้สอยข้าวของเครื่องใช้ประจำสัปดาห์
วันนี้เป็นวันซื้อของประจำเดือน ผมกับมาดามมีลิสต์สินค้าที่ต้องซื้อยาวเป็นหางว่าว เราแบ่งเด็กๆ ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งซื้อของสด อีกกลุ่มหนึ่งซื้อของใช้เช่นยาสีฟัน ผงซักฟอก หรือของจำเป็นอื่นๆ ตามที่คุณพ่อจดไว้ให้ ผมปล่อยให้มาดามดูแลเด็กทั้งสิบคนและพาชาร์ลส์ไปเลือกซื้อเสื้อผ้า เราอาจจะมีเงินไม่มาก แต่คุณพ่อก็แบ่งเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้ชาร์ลส์ได้มีเสื้อผ้าและกางเกงเป็นของตัวเอง ผมพาเขาไปที่ร้านขายเสื้อผ้ามือสอง และเด็กชายเจ้าปัญหานี่ก็แสดงสีหน้าไม่ชอบใจกับกลิ่นสาปของเสื้อผ้าที่เคยมีเจ้าของมาก่อน
“ผมไม่ใส่เสื้อเหม็นๆ พวกนี้หรอกนะ”
“แค่ซักก็หายแล้ว”
ผมบ่นพลางรื้อหาเสื้อผ้าสำหรับเด็กอายุประมาณสิบสามปีให้เขา ชาร์ลส์ยังคงหน้าบึ้ง ปฏิเสธไม่เอาเสื้อทุกตัวที่ผมเลือกให้ ดังนั้นผมจึงต้องเดินทั่วร้านเพื่อหาสิ่งที่เขาถูกใจ แต่ไม่ว่ายังไงชาร์ลส์ก็ไม่เอาจนผมเริ่มหงุดหงิดโมโห
“งั้นนายก็กลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าเสียสิ”
“ถ้าทำได้ ผมก็จะไป”
ชาร์ลส์ตอบอย่างอวดดี เขาปรายตามองเสื้อผ้าที่ผมหยิบใส่ตะกร้าด้วยแววตาหยามเหยียด ผมส่ายหน้าเอือมระอากับเจ้าเด็กหัวสูงไม่เจียมตัว แม่ของเขาหอบหิ้วตัวเขามาค่ายกลางดึกกลางดื่น เงินสนับสนุนก็ไม่จ่ายเลยซักเหรียญ แถมเอาแต่พูดว่าขอความเมตตา ขอความเมตตาจากคุณพ่ออีก ผมไม่รู้จริงๆ ว่าบ้านของชาร์ลส์มีฐานะร่ำรวยตามที่เจ้าเด็กนี่แสดงออกหรือเปล่า เพราะรสนิยมของเขาช่างสูงส่งขัดกับการกระทำของแม่ ผมได้แต่หวังว่าเด็กคนนี้ก็แค่ล้อเล่นขำๆ เดี๋ยวเขาก็คงเผยตัวตนของตัวเองออกมาเร็วๆ นี้ ทว่าระหว่างที่กำลังเลือกหาชุดที่เข้ากับชาร์ลส์ ผมก็ได้ยินเสียงกระดิ่งร้านดังขึ้น บานประตูกระจกค่อยๆ ปิดตามแรงดึงดูดพร้อมกับเสียงเจ้าของร้านตะโกนบอกว่า
“เด็กคนนั้นหนีไปแล้ว!”
TBC
______________________________
#summerkissky
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in