Author’s Note : ชื่อตอน Restraint หมายถึงความยับยั้งชั่งใจค่ะ มันก็จะมีความขัดอกขัดใจนิดนึง 55555 แต่คิดว่าอยากลงฟิคตอนนี้กลบภาพเทรลเลอร์อินฟินิตี้วอร์ที่ออกมามาก หวังว่าคนอ่านจะสนุกกันนะคะ ตอนนี้แอบแทรก Fendral x Loki มาเล็กน้อย คือใครจิ้นอะไร เราอ่านมาเราก็อดจิ้นตามไม่ได้ไง (. .,,)
Pairing : Thor x Loki
Rate : เอาเรทไรดี 15+ ละกัน เนอะ เบาๆกันไป
Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
Note : อีดิทคำเกลาประโยคใหม่นิดหน่อยเพื่อให้อ่านลื่นขึ้น 2/12/2017 @21:21
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
โลกิ ลอเฟย์ซัน เป็นเทพหนุ่มรูปงามอย่างหาตัวจับยาก เขามีทั้งสติปัญญาปราดเปรื่อง และวาจาอันแยบคายเฉียบคม จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ใครต่อใครจะชื่นชม และพร้อมจะมอบความไว้วางใจให้เขาหากแต่เจ้าตัวกลับเลือกใช้ความเฉลียวฉลาดนั้น เล่นตลกกับความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งได้ชื่อว่าเทพเจ้าแห่งคำลวง ทั้งที่เจ้าตัวเป็นได้มากกว่านั้นในสายตาเชษฐาอย่างเขา
ที่ผ่านมาธอร์อาจเลือกจะมองข้ามมันไป และมองว่านั่นเป็นเพียงความซุกซนเอาแต่ใจและคึกคะนองของอนุชาเท่านั้น ลึกๆแล้ว ไม่ว่าใครจะว่าเช่นไร เขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าน้องชายของเขาไม่ใช่คนเลวร้าย
ธอร์ยังเชื่อเสมอว่า รองจากท่านแม่ฟริกก้าแล้วโลกิรักเขามากกว่าใครๆ แม้เจ้าตัวจะพร่ำบ่นน้อยใจ และโกรธเคืองเขาบ้าง แต่ทุกครั้งที่คิดจะเลิกสนใจ เมื่อมองกลับไปดวงตาสีเขียวกระจ่างใสคู่นั้นก็ยังคงเฝ้ามองมาที่เขา
นานวันเข้าความเชื่อนั้นก็กลายเป็นความถือดี และผยองว่าตนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ เขาเคยคิดเอาเองว่าอนุชาองค์น้อยจะเฝ้ามองและติดตามแผ่นหลังของเขาเสมอไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟไปแห่งหนใดในเก้าโลก สุดท้ายก็ต้องรับรู้และยอมรับความจริงที่ว่า เขาต่างหากที่กลับเป็นฝ่ายไล่ตามอนุชา ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แม้จะถูกหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าและผ่านมันมาอย่างหนักหน่วงปางตายก็หลายครั้ง ถึงกระนั้นเจ้าของดวงตาสีเขียวสุกใสเบื้องหน้าก็ยังคงเป็นอนุชาคนเดียวของเขา ผู้ที่ธอร์ไม่เคยหักใจโกรธหรือเกลียดได้นาน
...แต่ครั้งนี้มันจะแตกต่างออกไป...
เมฆสีดำทะมึนกำลังก่อตัวปกคลุมเงื้อมผาที่ทั้งคู่ยืนอยู่อย่างผิดธรรมชาติ และเริ่มส่งเสียงครืนลั่นจนโลกิอดแหงนมองไม่ได้
“ท่านพี่...”
ดวงตาสีฟ้าจัดซึ่งเคยอบอุ่นราวท้องฟ้ากลางฤดูร้อน บัดนี้หันกลับมาขมึงมองอนุชาของตน
อารมณ์ธอร์กำลังก่อตัวรุนแรงราวพายุร้าย
เขายังไม่พร้อมรับมือกับความโศกเศร้าจากการสูญเสียพระบิดา... และยังไม่พร้อมจะรับช่วงต่อบัลลังก์แห่งแอสการ์ด ด้วยไม่เชื่อว่าเขาจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าโอดิน ในยามที่ต้องเผชิญกับแร็กนา ร็อก...คำทำนายแห่งกาลอวสานของเหล่าทวยเทพ
เทพเจ้าสายฟ้าได้รับการประสาทพรให้เขาไม่รู้จักความกลัว ถึงกระนั้นแม้แต่ผู้ที่โง่ที่สุดก็ยังรู้...ว่าโอกาสรอดของชาวแอสการ์ดจะเหลือน้อยลงเพียงใด เมื่อไม่มีพลังของโอดิน...
ธอร์พยายามระงับอารมณ์ในทุกถ้อยคำที่หลุดจากปาก ทว่าเขากลับไม่สามารถสะกดความเดือดดาลในใจตนยามนี้ลงได้
“นี่...เพราะเจ้า...เป็นต้นเหตุ…”
ที่ปลายนิ้วของเขาพลันบังเกิดสายฟ้าแล่นปราบไปมาหากัน
หากเขาเป็นโลกิ เขาจะนึกขอบคุณเฮล่าเทพีแห่งความตาย พี่สาวซึ่งเขาทั้งคู่ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ เพราะการปรากฏตัวของนางอย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งไม่ให้เขากระทำอะไรรุนแรงต่ออนุชาคนเดียว... ใครจะรู้...ครั้งนี้เขาอาจพลาดพลั้งฆ่าโลกิตายคามือด้วยอารมณ์ชั่ววูบก็ได้
แต่สุดท้ายผลลัพธ์ของมันก็ไม่ต่างกัน เมื่อเฮล่าจัดการกับทุกคนที่คิดขัดขวางการคืนสู่บัลลังก์ แอสการ์ดของนาง
…และเขาต้องสูญเสียโลกิไปอีกครั้งที่ไบฟรอสต์...
“โลกิ!!”
ธอร์จำได้ว่าเขาตะโกนบอกน้องชายทันทีที่เห็นว่าใครติดตามมาในไบฟรอสต์ด้วย แต่พริบตาเดียวร่างของอนุชาก็ลอยคว้างหายออกไปจากไบฟรอสต์เสียแล้ว
...ยังไงซะเขาก็จะต้องตามหาโลกิให้พบ ต่อให้ต้องพลิกโลกทั้งเก้าโลกก็เถอะ...
...และเขาคงไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ ถ้าคำพูดสุดท้ายของเขาจะไม่ใช่...
‘นี่...เพราะเจ้า...เป็นต้นเหตุ…’
...คำพูดในเสี้ยวหนึ่งของเวลา... เพียงพริบตาเดียวในอนาคตอันไม่แน่นอนก็กลับกลายเป็นยาพิษตามมากัดกร่อนจิตใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า...
…เขาต้องโง่งมขนาดไหนกัน ถึงเอาแต่ทำผิดพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆแบบนี้...
‘ท่านมันโง่งม...พี่ข้า’...
…‘ท่านมันก็แค่ตัวโง่งมที่ดีแต่ใช้กำลัง’
…เสียงของโลกิลอยขึ้นมาในหัว เมื่อนานมาแล้วครั้งหนึ่งหมอนั่นเคยพูดเช่นนั้นกับเขา...ในคืนก่อนวันพิธีแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทแห่งแอสการ์ด
---ℑ---
ก่อนวันพิธีแต่งตั้งธอร์ขึ้นเป็นเจ้าชายรัชทายาท มีการจัดงานเลี้ยงเป็นการภายในเพื่อเฉลิมฉลองก่อนวันจริงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆในพระราชวังทองคำแห่งแอสการ์ด แขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมีเพียงกลุ่มชนชั้นสูง คนสนิท และมิตรสหายร่วมรบเท่านั้น
ท่ามกลางเสียงดนตรีและการแสดงซึ่งถูกคัดสรรมาอย่างดี ทุกคนต่างดื่มกินกันเต็มคราบ และปล่อยตัวให้เมามายไปกับสุราอาหารเลิศรส
คืนนั้นเองที่ธอร์บังเอิญสังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้าไวน์ของเฟนดรัลจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงไม่วางตา
ธอร์ลอบยิ้มด้วยรู้จักนิสัยสหายรักเขาดี ได้ชื่อว่าเทพแห่งความสำราญ นั่นย่อมไม่ใช่จะได้มาอย่างไร้สาเหตุ
ว่าที่รัชทายาทแห่งแอสการ์ดเหลียวมองตามสายตาอีกคนไป คาดหวังว่าจะได้เห็นหญิงงามผู้ซึ่งเพื่อนตนหมายตาไว้
...หากแต่ตรงมุมห้องจัดเลี้ยงนั้น กลับเป็นร่างสูงโปร่งของอนุชาตนกำลังดื่มและคุยเล่นหยอกล้ออยู่กับพวกทหารองครักษ์...
นั่นทำให้ธอร์อดประหลาดใจไม่ได้ ในเมื่อเฟนดรัลเป็นผู้หนึ่งซึ่งพร่ำเตือนเขาให้ระวังอนุชาผู้ซึ่งอิจฉาริษยาเชษฐา และอาจหักหลังเขาในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่เคยใยดีต่อคำเตือนนั้น
ส่วนหนึ่งเพราะธอร์มองว่า เฟนดรัลกับโลกิเป็นคู่ปรับกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งสองคนเจอกันที่ใดเป็นต้องปะทะประคารมกันเสียทุกครั้ง อาจเพราะไหวพริบที่พอเท่าทันกันทั้งสองจึงถือเป็นคู่กัดที่สูสีสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ไม่วายเดือดร้อนให้เขาในฐานะคนกลาง ต้องคอยไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่ยอมลงให้กันอยู่หลายต่อหลายครั้ง นั่นทำให้ธอร์เชื่อว่าสองคนนี้ไม่มีวันเข้ากันได้เฉกเช่นน้ำกับน้ำมัน
...จนกระทั่งวันนี้...ที่ได้มาเห็นสายตาของเพื่อนรัก ในยามที่เจ้าตัวเมามายเกินกว่าจะควบคุมตัวเองอยู่...
“เฮ้!”
ธอร์หันกลับไปใช้หลังมือตบเบาๆลงบนแผงอกเพื่อนเพื่อเรียกสติ
“อะไร?!”
เฟนดรัลรีบเสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อน
นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ธอร์เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างที่ตนไม่เคยเข้าใจ...บางอย่างที่อยู่ใกล้ แต่เขากลับมองข้ามมันมาตลอด
“อย่าหาเรื่องน้องข้าในงานเฉลิมฉลองของข้า เฟนดรัล”
เขาเอ่ยปรามเรียบๆ แม้ในใจใช่ว่าจะไม่รู้... ว่าความหมายในสายตาของเฟนดรัลมันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยห้ามไปไกลคนละขั้ว
โลกิเรียนมายาเวทจากท่านแม่ฟริกก้ามารดาแห่งเทพทั้งปวง นั่นทำให้อนุชาของเขาสามารถเปลี่ยนร่างเป็นใครก็ได้ ...ไม่แน่...บางทีโลกิอาจเคยอยู่ในร่างซึ่งต้องตาพึงใจของเฟนดรัลเข้า หรือถ้ายิ่งกว่านั้น... บางทีอนุชาของเขาอาจจะเคยหาทางเอาคืนคู่ปรับด้วยการล่อลวงปั่นหัวเทพแห่งความสำราญมาก่อนหน้านี้ก็ได้ ใครจะรู้
...คำถามต่อมาที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาก็คือ...ตั้งแต่เมื่อไหร่?…
ธอร์พบว่า ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ... แถมไม่รู้ด้วยว่า เขาหงุดหงิดกับสิ่งใด หรือผู้ใด... จะเป็นสหายปากแข็งที่นั่งอยู่ข้างๆดี หรือเจ้าน้องชายซึ่งยืนหน้าระรื่นอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องดี...
“น้องชายท่านต่างหากที่กำลังหาเรื่องใส่ตัวเอง”
เฟนดรัลเพยิดหน้าไปทางโลกิซึ่งบัดนี้ยืนเอนตัวพิงบ่าองครักษ์นายหนึ่ง ยังไม่วายหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับนายทหารหนุ่มอีกคน
“เจ้าเมามากแล้วสหายข้า สีหน้าเจ้าดูแย่มาก ทำไมไม่กลับไปพักผ่อนเสีย”
ธอร์กล่าวด้วยสีหน้ามึนตึงกว่าทุกที ดวงตาสีฟ้าจัดยังคงจับอยู่ที่อนุชาตัวแสบของตน
เฟนดรัลไม่โต้แย้งอันใด เขาลุกขึ้นกล่าวยินดีกับธอร์อีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับไปยังที่พัก
ทันทีที่ร่างของสหายหายลับจากห้อง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งแอสการ์ดก็ลุกพรวด และสาวเท้ายาวๆไปทางอนุชาตนทันที
...ก็นี่มันงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้เขา ไม่มีเหตุผลที่โลกิจะไม่มาร่วมแสดงความยินดีดื่มกินกับเขา แล้วดันมัวมาเล่นหัว หยอกเอินอยู่กับเหล่าทหารนี่ จริงไหม...
...ใช่! นั่นล่ะที่มันน่าโมโห!...
---ℑ---
อนุชาแห่งธอร์กำลังยืนพิงบ่ากระซิบกระซาบเล่าเรื่องตลกให้ทหารองครักษ์นายหนึ่งฟังอยู่เลย ตอนที่ถูกมือใหญ่ตบลงมาบนต้นคอด้านหลังของเขา แล้วแทบจะเรียกได้ว่า ‘กระชาก’ ตัวเขาให้เอนกลับมาอีกด้าน ทำเอาคนตัวบางกว่าเซวูบ จนชนเข้ากับแผงอกกว้างของพี่ชาย
“ท่าน!!”
คนถูกคว้าถึงกับร้องอย่างแปลกใจ แม้จะพอเดาได้
...ก็คนที่ชอบทำกับเขาแบบนี้จะมีใครอื่นอีก...
โลกิเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย และพบว่าอีกคนก้มมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้ามึนตึง
“โลกิ...เจ้าเมา?”
ธอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งประหลาดใจ แต่ก็ยังฟังดูไม่สบอารมณ์นัก
ธอร์พบว่าใบหน้าของโลกิแดงเรื่ออย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และดูจากท่าทางแล้วที่เห็นยืนพิงทหารองครักษ์อยู่นั้น มาคิดดู...คงเพราะเจ้าอนุชาตัวดีของเขาแทบจะยืนทรงกายไม่อยู่แล้วมากกว่า
โลกิหัวเราะขำ เขาเงยขึ้นมองสบตาเชษฐา ดวงตาสีเขียวไหววูบเพียงครู่เดียวก็จางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นทุกที แต่ครั้งนี้ดูฉ่ำเยิ้มกว่าด้วยฤทธิ์น้ำเมา
“ข้าย่อมต้องเต็มที่กับการเฉลิมฉลองเพื่อท่านสิ พี่ข้า... ไม่สิข้าควรหัดเรียก ‘ฝ่าบาท’ ให้คุ้นลิ้นเสียแต่เดี๋ยวนี้”
พูดจบคนตัวเล็กกว่าก็เริ่มดันแผ่นอกเชษฐาตนออกเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ
ธอร์ลองตามใจอีกฝ่าย แต่พอปล่อยมือเท่านั้นแหละ คนในอ้อมอกกลับออกอาการเซจนเกือบล้มทั้งยืน เดือดร้อนให้คนเป็นพี่ต้องรีบคว้าโอบอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง
ธอร์ถึงกับขมวดคิ้วมองอนุชาตนอย่างดุๆ ในใจอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติแล้วแม้โลกิจะค่อนข้างคออ่อน แต่เจ้าตัวมักหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอันมีรสร้อนแรงเสมอ เขาจึงไม่เคยเห็นอนุชาของตนเมามายถึงเพียงนี้เลยสักครั้ง
ว่าที่รัชทายาทเหลือบมองทหารองครักษ์ที่ยิ้มแหยๆ คล้ายจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดพวกตนเลยที่เจ้าชายองค์รองอยู่ในสภาพนี้
ธอร์ไม่ได้สนใจจะคาดคั้นอะไร ตัดสินใจกึ่งโอบกึ่งหิ้วร่างเล็กกว่าของอนุชาออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง เพื่อพากลับไปยังที่พักของโลกิ
ตั้งแต่พ้นประตูห้องจัดงานเลี้ยงโลกิก็เอาแต่หัวเราะคิกคักชอบใจเหมือนสนุกอยู่กับความคิดบางอย่างในหัวตัวเองอย่างนั้น
ช่วงที่ธอร์กำลังเปิดประตูห้องนอนให้อีกคนอย่างค่อนข้างทุลักทุเล เจ้าของห้องก็ฉวยโอกาสใช้สองมือพาดบนบ่าเชษฐา โอบรั้งต้นคออีกฝ่ายไว้แล้วยกตัวขึ้นเลียริมฝีปากของอีกคนราวกับอดใจไม่อยู่ ต้องการลิ้มชิมรสขนมหวานเบื้องหน้าก็ไม่ปาน
“!!!”
เจอแบบไม่ทันตั้งตัวคนถูกชิมก็ถึงกับชะงัก
ไม่หยุดเพียงเท่านั้น โลกิยังเป็นฝ่ายทาบประกบริมฝีปากตนเข้ากับริมฝีปากของธอร์อีกด้วย เล่นเอาคนโดนขโมยจูบถึงกับรู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้า
...ธอร์สาบานได้ว่ามันไม่ใช่จูบแรกของเขา แม้จะไม่ได้ชื่นชอบการเสพย์สุขอยู่กับเหล่านารีเทพมากเท่าเฟนดรัล แต่เขาก็ผ่านการมีจูบแรกมานานหลายร้อยปีแล้ว...
...ถึงกระนั้น...เขาก็ยังประหม่าจนแทบอยากจะผลักเจ้าคนเล่นไม่เข้าเรื่องออกห่างด้วยความกระดากอายอันบรรยายไม่ถูก
“โล..!!!”
ธอร์เปิดปากจะเอ่ยห้าม กลับกลายเป็นเปิดทางให้อีกคนสอดลิ้นนุ่มตามเข้ามายั่วเย้าเขาถึงในโพรงปากทันที
...โอเค! พอ!!
ธอร์รีบดันอีกฝ่ายออกแต่ก็ยังมีสติพอจะไม่ผลักอีกคนจนลงไปก้นจ้ำเบ้าที่พื้น เขาเพียงพลิกตัวคว้าไหล่อีกคนดันให้หลังชนกำแพงไว้ แล้วใช้เข่าข้างหนึ่งยันเข้ากับผนังตรงกลางระหว่างขาสองข้างของโลกิเพื่อรับน้ำหนักอีกฝ่ายที่ค่อยๆไหลตัวลงมากึ่งนั่งกึ่งยืนคร่อมหน้าขาเขาไว้
...เดี๋ยวนะ...
ใบหน้าของเทพสายฟ้าแดงจัดจนลามไปถึงหูและลำคอ เมื่อตระหนักได้ว่าสภาพของเขาทั้งคู่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังทำอะไร
เขายังคงยืนแก้ๆกังๆด้วยไม่รู้จะทำยังไงดีกับคนเบื้องหน้า
ดีที่ทั้งห้องมีแสงจากดวงโคมเพียงลางๆ ทำให้อีกคนไม่น่าจะเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดนัก
“เจ้าทำบ้าอะไร โลกิ!”
ธอร์ดุอีกคนแต่กลับเป็นเสียงกระซิบกระซาบคล้ายกลัวใครจะมาได้ยินเข้าเสียอย่างนั้น
คนฟังมุ่นคิ้วเจ็บไหล่ แต่แล้วก็เงยกลับมายิ้มยียวนให้เชษฐาตนอีกครั้ง
“ข้าบอกท่านแล้ว...ว่าข้าจะหัดให้มันคุ้นลิ้นไง... ‘ฝ่าบาท’...”
“เจ้า!”
ธอร์คำรามออกมาในลำคอ พยายามนึกหาถ้อยคำสรรเสริญที่คู่ควรสาดใส่เจ้าคนช่างยอกย้อนตรงหน้า แต่ในหัวพลันนึกถึงแต่สัมผัสจากลิ้นนุ่มของอีกคนเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมล่ะ?... ข้าทำท่านพี่กระดากอายงั้นรึ? ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นใครก็ได้ ท่านอยากให้ข้าแปลงเป็นใครเพื่อฝึกลิ้นดีล่ะ ข้าจะให้จูบท่านเป็นของขวัญฉลองตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทไง...”
เทพแห่งคำลวงหัวเราะ และเหยียดยิ้มหยันที่ดูเศร้าและเหงาในคราเดียวกันให้เชษฐา
แล้วร่างกายของอนุชาก็เปลี่ยนเป็นเลดี้ซิฟ
“โลกิ!!”
เจ้าชายองค์โตยังคงดุอีกฝ่ายด้วยเสียงไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ
“ธอร์... บอกมาสิ ท่านชอบแบบไหน? สาวผมทอง?”
กระทั่งน้ำเสียงที่ถามก็ยังคงเป็นน้ำเสียงของเลดี้ซิฟ และสิ้นคำโลกิในร่างเลดี้ซิฟก็สะบัดผมไปมาเบาๆ ผมยาวสีทองเป็นประกายก็สัมผัสกับมือใหญ่ที่กำลังขยุ้มไหล่จับเขากดติดผนังอยู่
บัดนี้ใบหน้าเบื้องหน้าของธอร์กลายเป็นหญิงสาวผมทองนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้างดงามหวานหยดย้อยแทน
“ว่าไง...ท่านชอบแบบไหนล่ะธอร์... ไม่เอาน่า...พี่ข้า... จูบเมื่อกี๊ก็ไม่ได้แย่มากไม่ใช่เหรอ?”
กระทั่งเสียงเอ่ยถามของหญิงสาวยังอ่อนหวานดุจเสียงระฆังเงิน ไม่เหลือเค้าความยียวนเจ้าเล่ห์ของอนุชาตนสักนิด หากแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับฟังดูเศร้าๆ
“คืนร่างน้องชายข้า...”
ว่าที่รัชทายาทแห่งแอสการ์ดออกคำสั่งเสียงเรียบ แต่คงเพราะสัมผัสได้ถึงความเอาจริงในน้ำเสียง อีกคนเลยหน้าเสีย ก่อนจะยอมเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างเจ้าชายองค์รองของแอสการ์ดอีกครั้ง
“ก็ได้!… ไม่จูบก็ไม่จูบ... ปล่อยข้าเซ่!”
คนเมาหันหน้าหลบสายตาอีกคนซึ่งอยู่ในระยะใกล้ และยกมือปัดใส่ท่อนแขนของอีกคนที่ยึดตรึงเขาไว้
ธอร์เม้มปากแล้วก้าวถอยห่างออกไปนิด แต่พอคลายแรงมือที่กุมหัวไหล่อีกคนไว้ ร่างของโลกิซึ่งทำท่าจะก้าวเดินหนีจากตรงนั้นก็เซจนเกือบจะล้มทั้งยืนอีกจนได้ ดีที่ธอร์มือไวคว้าเอวอีกคนไว้ได้ทันก่อนอนุชาตัวดีของเขาจะได้ซ้อมจูบกับพื้นหินอ่อนของปราสาทแทน
“เจ้าไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้... เจ้าคอไม่แข็งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...”
ธอร์ระบายลมหายใจออกยาว แล้วยกรวบตัวอีกฝ่ายคว่ำพาดลงบนบ่าตนแล้วพาไปทางเตียง
“ข้าดูแลตัวเองได้...กลับไปสิ…มันเป็นงานเฉลิมฉลองของท่าน...”
เสียงของคนบนบ่าอ่อนลง แต่ด้วยธอร์ไม่สามารถเห็นใบหน้าอนุชาตน เขาจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก
“พวกเขายินดีให้ข้ามากพอแล้ว... มีก็แต่เจ้าเท่านั้น ที่ไม่โผล่มาให้ข้าเห็นหน้าครึ่งค่อนคืน”
คนถูกตัดพ้อปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ
ธอร์วางคนบนบ่าลงนอน ค่อยพบว่าดวงตาสีเขียวสว่างใสคู่นั้นยังคงมองจ้องเขา
“...เจ้าควรหลับได้แล้ว...”
ธอร์นั่งลงที่ขอบเตียงวางมือใหญ่ลงบนหัวอีกฝ่าย แล้วลูบหัวอีกคนเบาๆ แต่ที่ว่าเบาสำหรับเทพสายฟ้าก็ยังหนักจนอีกคนต้องแหงนหน้าตามแรงมือ
“…ข้าเกลียดท่าน...”
เทพแห่งคำลวงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบและแผ่วเบาเท่าเสียงกระซิบ
ธอร์ไม่ได้ตอบเขายังคงลูบผมอนุชาของเขาไปเงียบๆ
“…ข้าเกลียดท่าน ธอร์...”
ดวงตาสองคู่ยังคงประสานสายตากัน ไม่มีผู้ใดยอมเป็นฝ่ายละสายตาออกก่อน
“ข้ารู้แล้ว...”
ธอร์พรูลมหายใจออกอย่างเหนื่อยๆ แต่อีกคนคล้ายจะยังไม่พอใจในคำตอบเลยส่ายหน้าช้าๆ
“ท่านมันโง่งม...พี่ข้า...ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังได้ทุกสิ่ง...ข้าอิจฉาท่าน... ท่านพี่...ท่านมีทุกอย่างที่ข้าอยากได้ อยากมี...”
“โลกิ...ข้า...”
ว่าที่กษัตริย์แห่งแอสการ์ดพยายามนึกสรรหาถ้อยคำมาปลุกปลอบอนุชาซึ่งกำลังตัดพ้อน้อยใจ แต่กลับถูกอีกฝ่ายเอ่ยขัดขึ้น
“…ถ้าทั้งหมดนี่จะไม่มีสิ่งใดเป็นของข้า...”
ดวงตาคู่สวยไหวระริก และตรงขอบตาเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาสะท้อนแสงไฟจากดวงโคม
“ข้าอยากได้ท่าน...ท่านพี่... เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ข้า...ธอร์...”
บุตรแห่งโอดินปิดปากเงียบ เรือนผมยาวสีทองราวแสงแดดของเขาละลงสัมผัสใบหน้าของคนบนเตียง มีเพียงสัมผัสอุ่นกดประทับลงบนริมฝีปากนุ่มซึ่งกำลังสั่นไหวของผู้ได้ชื่อว่าเป็นอนุชา
สัมผัสนั้นอ่อนโยนเชื่องช้า แต่เนิ่นนานพอให้ริมฝีปากล่างของโลกิถูกบดเบียดกลืนกินซ้ำๆจนบวมช้ำ แต่เจ้าตัวไม่สนใจ เขายกแขนโอบรอบคออีกคนไว้แล้วหลับตาลง ปล่อยให้รสจูบหนักหน่วงของอีกฝ่ายช่วงชิงลมหายใจและสติของเขาไปจนสิ้น
ชั่ววินาทีที่ริมฝีปากผละจาก ยามสติอันน้อยนิดใกล้จะดับวูบไป โลกิพึมพำออกมาแผ่วเบา
“ท่านหลงกลข้าอีกแล้ว...ท่านพี่...ท่านมันก็แค่ตัวโง่งมที่ดีแต่ใช้กำลัง”
โลกิไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของอีกคนในตอนนั้น คนพูดหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์เหล้า แต่เขาทิ้งร่างใหญ่นั้นไว้กับความเงียบที่โรยตัวรายล้อม และแสงโคมที่สว่างเพียงเรื่อๆเท่านั้น
==TBC.==
ตอนนี้หวานดีจังค่ะ จูบนุ่มๆละมุนแม้จะแฝงไว้ด้วยความน้อยใจของน้อง ฮื่อ หายเมาแล้วรับผิดชอบพี่ด้วยนะ55555