Author’s Note : เราลงควบทีเดียว2ตอนเลย 22-23 ตอน23นี้ ก็เป็นตอนจบแล้วววว \('0 ',,)/ ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆที่อ่านกันมายาวนานนะคะ 2ตอนสุดท้ายเป็นคูลดาวน์มันก็เลยแค่กุบกิบๆ ไม่รู้ว่าจะชอบกันรึเปล่า แต่ในใจอยากให้เป็นแบบนี้แหละนะ หวังว่าจะเป็นจบที่ทุกคนรับได้นะคะ และแน่นอนว่า เมื่ออเวนเจอร์4มา เราจะมากาวต่อแน่นอน เนื่องจากเราแต่งเรื่องนี้เป็นแนว side story จึงไม่อยากให้มันขัดกับงานหนัง ออฟฟิเชี่ยล เลยจำต้องรอให้รู้สตอรี่จนจบภาค4ก่อนค่อยกาวรวดเดียวค่ะ ลุ้นๆเรื่องน้องมาก แล้วไว้มากาวด้วยกันอีกนะคะ รักคนอ่านมากๆค่ะ ทั้งที่ทักมาคอมเม้นท์มาและที่แอบอ่านเงียบๆน้า แต่ว่า ถ้าคอมเม้นท์มาบ้างก็จะดีใจมากเลยล่ะค่ะ ^^
Pairing : Thor x Loki
Rate : 18+ Explicit จริงๆตอนนี้ก็ไม่หวือหวาเท่าไหร่แต่ด้วยเป็นคนภาษาตรงๆ แปะ 18+ ไว้ละกันน้า
Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
“ข้ารู้ไฮม์ดัล ว่าเจ้าบอกข้าแล้วว่ามันเป็นดาวดวงเล็กๆ แต่ตอนฟังเจ้า ข้าไม่คิดว่ามันเล็กถึงขั้นยานสเตทส์แมนเข้าเทียบจอดไม่ได้แบบนี้”
กษัตริย์องค์ใหม่แห่งแอสการ์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงปนหอบ หลังจากเขาและคนอื่นๆ ช่วยกันขนถ่ายเสบียงลังแล้วลังเล่า มาวางบนลานจอดยานขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวของดาวดวงนี้เป็นที่เรียบร้อย
เหลือก็แต่รอยานคอมมอดอร์บินกลับมา เพื่อลำเลียงทั้งหมดนี่กลับขึ้นยานสเตทส์แมนเป็นเที่ยวสุดท้าย ภารกิจนี้ก็เป็นอันเสร็จ
“มันเป็นเสี้ยวของดาวอันรกร้างที่แตกมาจากดาวดวงใหญ่ ฝ่าบาท และเพราะเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกว่าลูกหนูแฮมสเตอร์ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามีเสบียงอาหารและน้ำเหลือเฟือสำหรับขายให้เรา”
เจ้าของดวงตาสีทองตอบเรียบๆ ขณะทำหน้าที่ตรวจนับสินค้าเป็นครั้งสุดท้าย
“กว่าวัลคิรี่จะกลับมาพร้อมยานคอมมอดอร์อีกครั้งน่าจะกินเวลาอีกพักใหญ่ ไหนๆ ก็ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ท่านไม่เดินเล่นดูรอบๆ ฆ่าเวลาเล่า”
ไฮม์ดัลเสนอ ธอร์เองก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน เขาจึงพยักหน้ารับ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่ทันไรก็ถูกทักขึ้นโดยผู้มีดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง
“ข้าเห็นอนุชาท่านเดินไปทางชายป่าด้านนั้น แดดเริ่มแรงขึ้นแล้ว ข้าคิดว่าเขาอาจไปที่บ่อน้ำร้าง”
--- ℑ ---
ดาวดวงนี้ชื่อนาร์ช เป็นเศษเสี้ยวดาวขนาดเล็กอันอุดมสมบูรณ์ ที่แตกออกมาจากดาวแม่สักดวงในจักรวาล แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ และเศษซากสถาปัตยกรรมอันสวยงาม หลงเหลือให้เห็นร่องรอยอารยธรรมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน
หากแต่เผ่าพันธุ์ซึ่งดำรงชีพอยู่บนดาวดวงนี้ในปัจจุบัน กลับมีขนาดเล็กเกินกว่าจะใช้งานอาคารต่างๆ เหล่านี้ได้ จนมองเผินๆ ดูคล้ายเป็นดวงดาวอันรกร้างก็ตามที
ชาวนาร์ชเป็นมิตรและมีน้ำใจ ตกลงราคาเท่าที่พอแลกเปลี่ยนกันได้ กับอุปกรณ์เทคโนโลยีจากซาคาร์เท่าที่มีบนยาน พวกธอร์ก็ได้รับเสบียงอาหารและน้ำดื่มในปริมาณที่น่าพอใจ
มีข้อเสียอยู่หน่อยก็ตรงการลำเลียง ที่ต้องใช้ยานคอมมอดอร์บินกลับไปกลับมาเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า ทำให้กินเวลาอยู่หลายวันทีเดียว
..แถมเป็นเวลาหลายวันที่โลกิดูจะมึนตึงใส่เขาชอบกล..
ธอร์ไม่แน่ใจว่าเขาทำอะไรให้อนุชาโกรธ รู้แค่มันเริ่มตั้งแต่พวกเขาคุยกันเรื่องวันคริสต์มาสนั่นล่ะ..
‘ครอบครัว! ประดับต้นไม้! หิมะ! ของขวัญ!’
ฮัล์คเป็นโต้โผใหญ่ในการอธิบายให้ผู้คนบนยานเข้าใจ และธอร์เป็นคนช่วยเสริมเท่าที่รู้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคยมีประสบการณ์ผ่านช่วงเทศกาลนี้มาบ้าง สมัยที่เขาลงไปอยู่ที่มิดการ์ด
‘ข้ากับเจน เราจะมีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับไว้ในบ้าน ข้าเป็นคนแบกต้นสนกลับบ้าน ส่วนเจนเป็นคนเลือกซื้อของตกแต่งมัน เราต่างก็แอบเตรียมของขวัญให้กันและกันด้วย แต่จะไม่ให้อีกฝ่ายรู้จนกว่าจะถึงตอนเช้า’
‘ข้านึกว่า.. มันเป็นเทศกาลสำหรับ ‘ครอบครัว’ เสียอีก’
โลกิถามเขาแต่กลับมองเมินไปทางฮัล์ค
‘มันก็จริงอยู่ที่ข้ากับเจนเป็นแค่คนรักกัน แต่ในอีกความหมายนึงคนรักก็คือครอบครัวเดียวกันในอนาคตใช่ไหมล่ะ ข้าคิดว่ามันไม่ต่างกันหรอก’
ธอร์จำได้ว่าเขาพยายามอธิบายเต็มความสามารถแล้ว
‘ก็เหมือนเจ้ากับข้าไง เจ้าก็เป็นคนในครอบครัว’
‘เหมือนกันเหรอ?’
ใบหน้าหวานเชิดขึ้นนิด หากแต่แววตาที่ปรายมองกลับมาทางหางตาและน้ำเสียงของอนุชากลับเย็นเยียบขึ้นมากจนน่ากลัว แล้วตั้งแต่วันนั้นมา โลกิก็ดูจะมึนตึงใส่เขามาตลอด
..ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปทำอะไรให้โกรธ พอแอบถามวัลคิรี่ รายนั้นก็กลอกตาเป็นเลขแปดใส่ แล้วไล่เขาไปหาของขวัญมาง้อโลกิซะนี่..
บุตรแห่งโอดินเดินมาทางบ่อน้ำร้างตามที่ไฮม์ดัลบอก ก็เจอตัวคนที่กำลังตามหา
โลกิ ลอเฟย์ซันกำลังพับถกแขนเสื้อของเขาขึ้นถึงศอก จากนั้นก็ใช้น้ำในถังที่ตักมาจากบ่อ ลูบไล้ประพรมตั้งแต่ช่วงข้อมือสวยขึ้นมาตามท่อนแขนเพื่อดับร้อน ผิวขาวซีดยามนี้ขึ้นสีฝาดจางน่ามอง จนธอร์เผลอหยุดยืนมองเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายรู้ตัว และดวงตาสีเขียวน้ำทะเลนั่นปรายมองมาทางเขาแล้วนั่นล่ะ
--- ℑ ---
‘โลกิ.. คือ.. ข้าเห็นว่าอีกนานกว่ายานคอมมอดอร์จะกลับมารับ บางที ถ้าเจ้ามีเวลา ข้าอยากพาเจ้าไปดูที่ที่นึง อยากให้เจ้าได้เห็น..’
โลกิ ลอเฟย์ซันนึกอยากให้เขาเป็นคนใจแข็งกว่านี้เสียจริงๆ แต่พอเห็นเชษฐาเดินมาหาด้วยท่าทางประดักประเดิด อยู่ต่อหน้าเขาก็มายืนลูบเขี่ยแขนเขาด้วยแพนิ้วด้านหลังอย่างเกรงๆ ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้า ทำมาเป็นหูตกหางลู่ใส่เหมือนสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ๆ ไม่มีผิด แม้จะยังขุ่นเคืองอีกฝ่ายอยู่บ้าง เขาก็ปฏิเสธคำขอเชษฐาไม่ลงอยู่ดี ยิ่งเห็นอีกคนดูดีอกดีใจขนาดนั้นตอนที่เขาตกปากรับคำยอมไปดูสถานที่ที่ว่าด้วยแล้ว.. ก็ได้แต่ถอนใจในความแพ้ทางของตัวเขาเองนี่แหละ
บุตรแห่งลอเฟย์ก้าวย่างไปตามการนำพาของอีกคน ด้วยเขามีผ้าผืนหนึ่งผูกปิดตาไว้ตามที่อีกฝ่ายขอ ดีที่ดาวดวงนี้ไม่กว้างใหญ่เท่าใดนัก เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนที่จูงพาเขามา ร้องบอกให้เขาเปิดผ้าผูกตาออกได้
“ถึงแล้ว..”
ธอร์ โอดินซันวางสองมือลงข้างเอวอนุชา ยามโน้มหน้าเข้ามากระซิบบอกข้างหูจากทางด้านหลัง
พอผ้าผูกตาตาถูกเลื่อนลง ภาพตรงหน้าก็ทำเอาบุตรแห่งลอเฟย์ตาโตด้วยความประหลาดใจ
สถานที่ที่เขาทั้งคู่ยืนอยู่คือซากปรักหักพังของห้องสมุดขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งยังพอหลงเหลือผนังบางส่วน แสงแดดอ่อนรำไรสาดเป็นลำ ลอดผ่านโครงหลังคาอันเกิดจากกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์ในป่า ซึ่งงอกงามขึ้นมาทดแทนโครงหลังคาเดิมซึ่งพังไปแล้ว บางส่วนยังคงเปิดโล่ง แต่หากแหงนมอง จะเห็นภาพของท้องฟ้าโปร่งสีฟ้าจัด ประดุจผืนภาพวาดในกรอบรูปที่ทำจากกิ่งไม้
แม้ฤดูกาลของที่นี่จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่อากาศที่นี่กลับเย็นสบายกว่ามาก คงเพราะได้รับอิทธิพลจากความชุ่มชื้นของพืชพันธุ์โดยรอบ
“.....”
โลกิเม้มปากแน่น เขาหันไปมองคนข้างๆ อีกฝ่ายก็รีบเล่าอย่างกระตือรือร้น
“ข้าเจอที่นี่เข้าเมื่อวันก่อน.. หนังสือบางส่วนเสียหาย แต่มีอีกเยอะเลยที่ยังอยู่ในสภาพดี ข้ารู้ว่าขลุกอยู่แต่กับข้าในยานเจ้าคงเบื่อ เลยกะว่าจะหาหนังสือไปให้เจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะชอบเล่มไหน ข้าเลยต้องพาเจ้ามาเลือกเองนี่ล่ะ”
“ข้าไม่ได้เบื่อ.. ข้าเคยบอกท่านแล้ว..”
โลกินึกอยากเถียงออกไป.. ว่าการได้อยู่ข้างกายเชษฐา มันคือความสุขของเขา.. แต่เสียงของเขากลับอ่อนลง พอๆ กับที่ใจอ่อนยวบยอมใจอ่อนให้พี่ชายจอมทึ่มของเขาอีกครั้ง
เขาเดินหนีอีกฝ่าย เข้าไปเลือกหยิบดูหนังสือตามตู้ ในส่วนที่ลึกเข้าไปหนังสือส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพดีไม่ถูกทำลายมากนัก
ธอร์ได้แต่มองตามไป เห็นอีกคนดูจะพอใจเขาก็ยิ้มกว้าง แล้วรีบเดินตามไปวอแวอย่างเคยชิน
“ข้าคิดจะเก็บที่นี่ไว้เป็นของขวัญคริสต์มาสให้เจ้า แต่เราดันนัดฉลองคริสต์มาสกับทุกคนหลังขนถ่ายเสบียงอาหารเสร็จ ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีโอกาสพาเจ้ามาที่นี่แล้ว”
“..ข้าเกลียดคริสต์มาส”
พอได้ยินเชษฐาพูดถึงเทศกาลนั้นขึ้นมาอีก โลกิก็ย่นจมูก
แน่ล่ะโลกิไม่ได้เกลียดเทศกาลคริสต์มาสหรอก ที่เขาเกลียดคือการนั่งฟังเชษฐาเล่าถึงเรื่องราวที่ทำร่วมกันกับของคนรักเก่า ในขณะที่ตัวเขาถูกลืม ปล่อยให้นั่งกินองุ่นเหงาๆ คนเดียวในร่างโอดินที่แอสการ์ดต่างหาก
..ใครกันแน่คือคนที่สมควรจะถูกเรียกว่า ‘ครอบครัว’..
แต่พอได้ยินที่เขาพูด ธอร์กลับหลุดขำออกมา
“เจ้าทำให้ข้านึกถึงเจ้ากริ๊นช์ ตัวเขียวๆ ในหนังของพวกมิดการ์เดี้ยนขึ้นมาเลย.. กริ๊นช์น่ะเกลียดคริสต์มาสเหมือนเจ้าเลยล่ะ”
“ท่านพี่ดูจะชื่นชอบหลงใหลในทุกอย่างของมิดการ์ดซะจริงนะ”
โลกิหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดู แต่ไม่วายจงใจกล่าวเหน็บแนมเชษฐาตนอย่างขุ่นเคือง แต่เจ้าพี่ชายจอมทึ่มก็ยังไม่เอะใจ
“มันก็ใช่นะ.. แต่เจ้าน่ารักกว่าเดอะกริ๊นช์เยอะเลย.. เฮ้! นี่! โลกิ เจ้าจำนิทานมิดการ์ดที่เจ้าเคยอ่านให้ข้าฟังตอนเด็กๆ ได้ไหม? เรื่องนกสีฟ้าแห่งความสุขน่ะ”
โลกิปรายตามองกลับไปทางเชษฐาแวบนึงแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“เจ้าเหมาะกับสีฟ้ามากกว่า เจ้าเป็นนกสีฟ้าแห่งความสุขของข้าแทนดีไหม”
โลกิแค่นขำแล้วผลักบ่าพี่ชายออกห่างอย่างหงุดหงิด เขารู้จักนิทานเรื่องนั้น นกสีฟ้าไม่เคยมีอยู่จริง มันเป็นแค่คำลวงหลอกล่อเด็กน้อยให้ออกเดินทางแสวงหา ไม่ต่างจากเรื่องราวของเขาที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแต่งโดยโอดิน
ร่างของโลกิพลันเปลี่ยนกลับไปเป็นตัวเขาในร่างยักษ์น้ำแข็งแห่งโยธันไฮม์ เขาหันกลับไปสบตาเชษฐานิ่ง นัยย์ตาสีเลือดจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“ถ้าท่านหมายถึงร่างนี้ของข้าล่ะก็.. ตลกมาก โอดินซัน”
เจ้าชายแห่งโยธันไฮม์หมุนปลายเท้า เตรียมเดินหนีให้ไกลจากเจ้าหมีน่าโมโห แต่อีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมาคว้าแขนเขาไว้ เล่นเอาโลกิสะดุ้งเฮือก
“อย่าแตะ!”
ภาพฝันร้ายที่ผ่านมา ยังคงประทับติดตราไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ โลกิรีบสะบัดมืออีกคนทิ้งด้วยความตกใจ เพราะเกรงเจ้าคนสิ้นคิดจะได้รับบาดเจ็บ ยังดีที่ธอร์คว้าตรงต้นแขนของเขาที่ยังอยู่ภายใต้เสื้อหนังทำให้อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แต่เจ้าพี่โง่ไม่เพียงไม่ปล่อยเขา กลับฉุดร่างสีฟ้าของเขาจับดันจนหลังชิดตู้หนังสือ ร่างกายใหญ่โตของเชษฐาก้าวเข้ามายืนตระหง่านง้ำเบื้องหน้ายกแขนอีกข้างคร่อมร่างเขาไว้ ปิดกั้นทางหนีของเขาจนหมดสิ้น
“ทำไมถึงแตะไม่ได้?..”
ธอร์ก้มมองลงมาพลางขมวดคิ้ว
“ธอร์นี่มันบ้าไปแล้ว!!”
“ช่างมันสิ..”
เพียงแวบเดียวท่ามกลางความตื่นตระหนกของโลกิ ก่อนที่เขาจะร่ายเวทกลับร่างแอสการ์เดี้ยนได้ทัน บุตรแห่งโอดินก็กดใบหน้าลงมาบดจูบริมฝีปากเขาลึกซึ้ง ทำเอาเจ้าชายแห่งโยธันไฮม์ถึงกับช็อคตาเบิกค้าง
เจ้าของร่างสีฟ้ารู้สึกหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างพลันแข็งค้างอยู่เช่นนั้นด้วยความตกใจสุดขีด กระทั่งจูบร้อนแรงเนิ่นนานของอีกคนค่อยๆ หลอมละลายร่างกายของเขาจนกลับมาอุ่นและอ่อนยวบลงอีกครั้ง โลกิค่อยๆ ตอบรับจูบของเชษฐาอย่างกล้าๆ กลัวๆ กระทั่งอีกฝ่ายยอมถอนริมฝีปากออกแล้ว เขาค่อยพอจะมีสติรีบเงยหน้ามองสำรวจ
เมื่อเห็นว่าเชษฐาไม่ได้รับบาดเจ็บ จากการแตะต้องร่างกายเขา ดวงตาสีแดงก็รื้นคลอด้วยหยาดน้ำตา กำปั้นสีฟ้าทุบอั้กๆ ลงบนอกพี่ชาย ทั้งด้วยความโมโหและความตกใจก่อนหน้านี้ แต่ที่ท่วมท้นขึ้นมามากกว่าคือความโล่งใจ..
ความกลัวที่สั่งสมมายาวนาน พอได้ปลดปล่อยคลี่คลาย น้ำตาก็พาลไหลไม่ยอมหยุด
ธอร์ลูบเส้นผมดำขลับเป็นประกายของอีกคนเพื่อปลอบโยน แม้ไม่แน่ใจว่าอีกคนร้องไห้ทำไม แต่เขาทนดูหยดน้ำใสร่วงพราวอาบแก้มคนรักไม่ได้ เขาจึงได้แต่ไล่จูบซับน้ำตาให้อีกคนเบาๆ ไปทั่วทั้งแก้มนิ่มสีฟ้า ธอร์กระซิบเพรียกชื่อ และปลุกปลอบคนในอ้อมกอดไม่ขาดปาก
“โลกิ.. อย่าร้องเลยนะ คนดี.. ที่ข้าอยากบอกเจ้าก็คือ.. ไม่ว่าจะเป็นร่างไหน เจ้าก็เป็นนกสีฟ้าแห่งความสุขของข้ามาตลอด.. เป็นความสุขเรียบง่ายอันมีค่า แต่ใกล้ตัวเสียจนคนเรามักลืมไขว่คว้ามากอดไว้ แต่จากนี้ไปข้าจะกอดเจ้าในทุกๆ วัน จะไม่ปล่อยเจ้าให้ห่างหายไปไหนอีกแล้ว..”
ร่างกายที่เคยคิดว่าต้องสาป ไม่มีวันได้รับความรัก.. ยามนี้ถูกกกกอด อิงแอบไปกับอกกว้างเปลือยเปล่าของพี่ชายดั่งคำสัญญา อ้อมกอดอบอุ่นอ่อนหวานอันชวนให้เขาหลงใหลเคลิ้มไปในทุกๆ สัมผัส ราวกับตัวเขากำลังท่องอยู่ในก้อนเมฆแห่งความฝันกลางฤดูร้อน
--- ℑ ---
โลกิในร่างโยธันยามนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ได้แต่นอนทอดกายหลับตาซุกตัวหนุนต้นแขนเชษฐา ฟังเจ้าหมีทึ่มพูดพล่ามอะไรไปเรื่อยๆ ท่ามกลางตู้หนังสือรายล้อม และแสงแดดอ่อนที่ส่องทะลุเป็นลำสีทองลอดช่องว่างของแมกไม้ลงมา
“ให้วันนี้เป็นวันคริสต์มาสของเราสองคนดีไหม?”
ธอร์เป็นฝ่ายเสนอความคิดขึ้นก่อน
“ข้าเป็นยักษ์น้ำแข็ง ท่านเป็นเทพเจ้าสายฟ้า.. แต่วันคริสต์มาสของพวกเรากลับเป็นวันที่ไม่มีทั้งหิมะ ทั้งฝนฟ้าคะนอง แบบนี้จะดีเหรอ?”
เขาเปรยออกไปลอยๆ แต่ก็ไม่คิดจะคัดค้านอะไรจริงจังนัก เชษฐาฟังแล้วก็เพียงไหวไหล่ยิ้มๆ
“..ข้าว่ามันไม่เหมือนใครดีออก.. เป็นคริสต์มาสกลางฤดูร้อนแค่ของเจ้ากับข้า.. เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงธรรมดาๆ วันหนึ่ง.. ไม่รู้สิ.. ข้าว่าความสุขบางทีมันก็มาจากวันธรรมดาๆ.. เหมือนพวกเราเมื่อก่อนไง ได้ใช้ชีวิตสงบสุขเรียบง่าย อยู่ด้วยกันเป็นร้อยเป็นพันปี.. แบบที่เจ้าคงจะเบื่อ”
พอพูดแล้วธอร์ก็ส่ายหน้า ขำออกมานิดๆ ตอนท้าย คล้ายเดาเอาเองว่า สิ่งที่เขาพูดออกมาคงเป็นแค่ความคิดโง่ๆ ในสายตาอีกฝ่าย
โลกิเงยหน้าขึ้นมองธอร์ และทุกครั้งที่เขาเงยหน้า ธอร์จะก้มลงมาหาเหมือนรอฟังสิ่งที่เขาอยากจะพูด..
แต่ครั้งนี้พอธอร์ก้มลงมา โลกิกลับยกมือโอบเบาๆ ที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย
“ข้าชอบสีของท้องฟ้าในวันธรรมดาๆ กลางฤดูร้อนแบบนี้ มันสดใสและเป็นเหมือนความหวังในวันที่หม่นมัวสำหรับข้า.. และสีของมันเป็นสีเดียวกับตาของท่าน.. ธอร์..”
บุตรแห่งลอเฟย์เลื่อนมือไปแตะเบาๆ ที่ผ้าปิดตาข้างนั้นของพี่ชาย
“น่าเสียดายที่ข้ารักษาดวงตาข้างนี้ของท่านพี่ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรนี่.. ในเมื่อมีตาข้างเดียว เวลาอยากมองหน้าเจ้าชัดๆ ข้าก็แค่ก้มไปมองใกล้ๆ”
ว่าแล้วกษัตริย์องค์ใหม่แห่งแอสการ์ด ก็ยื่นหน้าเข้าไปหาอนุชาใกล้ขึ้นอีก.. ใกล้จนเกือบชิด..
“นี่มัน.. ใกล้ไปรึเปล่า?”
โลกิแห่งโยธันไฮม์เอ่ยถาม แต่ไม่ได้ถอยใบหน้าหนี
“ไม่นี่.. ใกล้ไปเหรอ?”
ธอร์ตอบกลับยิ้มๆ
“ก็ไม่..”
โลกิคลี่ยิ้มบางก่อนหลุบตาลง เขารั้งโอบใบหน้าอีกฝ่ายไว้ แล้วจรดจูบอ่อนหวาน ลงบนริมฝีปากผู้ได้ชื่อว่าพี่ชาย.. มันเป็นแค่จูบเรียบๆ ง่ายๆ แบบที่เขากับธอร์ชอบมอบให้กัน ในทุกๆ วันธรรมดาๆ ของพวกเขา
oo Fin oo
.
.
I assure you brother, the sun will shine on us again.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in