เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fic: Thor x Loki] LIEnarscel
[Fic: Thor x Loki] LIE - Ep12 : Panic
  • Author’s Note : ไม่พูดพล่ามทำเพลงละค่ะ ตอนที่12 แล้ว ('0 ',,)/ เฮ!!!

    Pairing : Thor x Loki

    Rate : G

    Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok

    ………………………………………………………………..

    LIE – Ep. 12 : Panic

    ………………………………………………………………..


              เสียงฝีเท้าหนักๆก้าวมาหยุดตรงหน้าประตูห้องซึ่งเปิดอ้าไว้เรียกให้ราชินีฟริกก้าหันกลับไปมอง ก่อนจะยิ้มต้อนรับการมาของบุตรชายคนโตของนาง

              “ท่านแม่...”

              รัชทายาทแห่งแอสการ์ดยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเดินก้มหน้าเข้ามาในห้อง

              ฟริกก้ายกมือขึ้นโอบใบหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ และยกตัวขึ้นหอมแก้มเขาอย่างอ่อนโยน

              “ท่านจะลงไปคุกใต้ดินอีก?”

              มารดาแห่งเหล่าทวยเทพยิ้มบางกับคำถาม ก่อนก้มลงมองหนังสือหลายเล่มในมือบุตรชาย

              “...นี่สำหรับโลกิ?”

              ธอร์ระบายลมหายใจออกยาว เสมองไปทางอื่นแต่ก็พยักหน้ารับ

              ฟริกก้ายิ้ม พลางส่ายหน้าเบาๆอย่างอ่อนใจ

             “ทำไมเจ้าถึงไม่เอาไปให้เอง?... ลูกก็รู้ว่าน้องชายจะดีใจถ้าได้เห็นหน้าเจ้า”

              หลังจากอนุชาของเขาพากองทัพเอเลี่ยนนอกจักรวาลไปบุกอาละวาดในมิดการ์ดเสียเละเทะ จนต้องโทษคุมขัง ในคุกใต้ดินของพระราชวังทองคำแห่งแอสการ์ดมาได้พักใหญ่ ธอร์ก็มักมีหนังสือหรือบางทีก็เป็นสิ่งของนั่นนี่ซึ่งเขาเลือกหามาด้วยความตั้งใจ ฝากไปถึงอนุชาในนามของมารดาเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่ามารดาของเขาจะพูดจาหว่านล้อมเช่นไร เขาก็ไม่เคยยอมกล้ำกรายลงไปยังคุกใต้ดินเลยสักครั้ง

              รัชทายาทแห่งแอสการ์ดฝืนยิ้มแล้วก้มหน้าต่ำ ทำเป็นมองหนังสือในมือ

              “ข้ารู้แต่... โลกิเกลียดข้า...”

              “ธอร์... ลูกก็รู้ว่านั่นไม่จริง”

              “ข้าลืมเล่าไปกระมัง ว่าการไปมิดการ์ดครั้งล่าสุด น้องเกือบฆ่าข้าสำเร็จ เขาหลอกข้าไปขังในกล่องกระจกของมิดการ์เดี้ยน และปล่อยให้ข้าร่วงจากยานเหาะลงโหม่งโลก!”

              น้ำเสียงของธอร์เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้น หากแต่ขมระคนอยู่ในลำคอ เมื่อนึกถึงความทรงจำครั้งนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

              เขาเคยเชื่อว่าโลกิทำร้ายเขาด้วยอารมณ์น้อยใจ แต่ไม่เคยตั้งใจทำจริงจัง แต่มาครั้งหลังนี้กลับไม่ใช่ เขาเกือบได้ตายจริงๆ หากหนีออกมาจากห้องขังนั้นไม่ทัน

              ฟริกก้าลูบแก้มลูกชายของตนอย่างปลอบโยน นางรู้จักบุตรชายทั้งสองของนางดี และรู้ว่าคนตรงหน้านางตอนนี้รู้สึกเช่นไร

              “อนุชาของเจ้าไม่ได้หลักแหลมตลอดเวลา...ธอร์ เราต่างก็รู้ว่าในยามที่เขาอ่อนแอหรือไม่มั่นใจ เขามักทำผิดพลาด ด้วยการเลือกตัวเลือกแย่ๆอยู่บ่อยครั้ง... และเฝ้ารอการให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไขจากเจ้า... เพื่อยืนยัน...”

              “ข้าอาจให้อภัยเขาได้ตลอด! แต่โลกทั้งเก้าล่ะ? ...ทั้งนิวแม็กซิโก! โยธันไฮม์!  นิวยอร์ก!...”

              เทพเจ้าสายฟ้ามองตอบมารดาของเขาด้วยแววตาเจ็บปวด

              เขาพยายามแล้ว... แต่ทั้งหมดที่ให้ไปก็ยังไม่ดีพอ... ไม่มากพอจะหยุดน้องชายคนเดียวของเขา ไม่พอจะดึงอีกฝ่ายให้กลับมาเป็นคนเดิม...

              “ข้าปกป้องเขาจากคนทั้งจักรวาลไม่ได้ตลอด ถ้าเขาไม่หยุดคิดเรื่องครอบครองโลก!”

              “อนุชาของเจ้า... ต้องการอะไร... ข้าคิดว่าเจ้ารู้เสียอีก”

              พระมารดาฟริกก้ายิ้มระคนขบขัน นางมองดูบุตรชายตน และโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยน

              …ใช่เขาอาจจะรู้...

              ‘ข้าไม่ได้ต้องการบัลลังก์! ข้าต้องการเพียงทัดเทียมเจ้า!’

              ...ครั้งหนึ่งโลกิเคยตะโกนใส่หน้าเขาเช่นนั้น... ถ้านั่นคือสิ่งที่โลกิต้องการจริงๆ...

              ธอร์กลืนก้อนจุกในลำคอลงไป ก่อนเสมองทางอื่น หลบเลี่ยงสายตามารดา เมื่อนางผละออกและมองดูเขาอีกครั้ง

              “อนุชาเจ้าไม่ได้ต้องการการปกป้องธอร์...”

              มารดาทอดเสียงอ่อนลง

              “…สิ่งที่เขาต้องการจากเจ้า... คือสิ่งอื่น...”

    --- ---


              ...มันสายเกินไปเสียแล้ว...

              ธอร์ โอดินซันยืนทอดสายตามองยานควินเจ็ทจากหน้าต่างห้องพัก

              ...ท่านแม่ฟริกก้าอาจพูดถูก...

              ...แต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง...

              โลกิไม่ได้ต้องการการปกป้องจากเขา...

              ...สิ่งอื่นที่ว่านั่นก็ด้วย...

              ตอนนี้อนุชาของเขาได้รับมันมากจนเกินพอแล้ว... ที่นี่... ที่ซาคาร์...

              ...เสียดายแค่ว่า...จากคนอื่น...

     --- ---


              เช้าวันนี้ โลกิ ลอเฟย์ซัน ตั้งใจจะปล่อยตัวซุกเตียงนุ่มให้นานกว่าปกติเสียหน่อย สายๆค่อยลุกมาแช่น้ำร้อนให้ตัวเบา และละเลียดอาหารเช้าสบายๆ แต่แผนที่วาดไว้กลับพังครืนไม่เป็นท่า

              เพราะเพียงพ้นรุ่งสางมาไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงประกาศจากแกรนด์มาสเตอร์ดังกึกก้องไปทั่วซาคาร์

              [ข่าวร้าย... ข่าวร้าย... ชาวซาคาร์ที่รักของข้า ข้ามีข่าวร้ายจะมาบอก แชมเปี้ยนนักสู้ขวัญใจของข้าหายตัวไปอย่างลึกลับ... ]

             บุตรแห่งลอเฟย์สะดุ้งเฮือก แล้วผุดลุกนั่งทันที

              ...ธอร์!...

              สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำเอาใจเขาหล่นวูบ โลกิรู้ว่าเชษฐาของเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ๆ ไม่มากก็น้อย และใช่... เขาคิดไม่ผิด...

              […อาชญากรจอมวางแผน เจ้าแห่งสายฟ้า ขโมยตัวเขาหนีไป…]

              และทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ หน้าห้องของเขาก็ปรากฏทหารกลุ่มนึงรับคำสั่งมานำตัวเขาเข้าพบผู้ปกครองแห่งซาคาร์

    --- ---


              บุตรแห่งลอเฟย์รับรู้ได้ว่าบรรยากาศโดยรอบตึงเครียดขึ้นมากแค่ไหน เหล่าทหารยาม และหน่วยรักษาความปลอดภัยเดินกันขวักไขว่ และเหมือนจะเพิ่มมากกว่าปกติถึงสามเท่าได้

              เขาเดินมาถึงทางเดิน ก็พบสาวสวยท่าทางทะมัดทะแมงนางหนึ่งตรงทางเดิน และดูเหมือนนางเองก็ถูกเรียกตัวมาพบแกรนด์มาสเตอร์เช่นเดียวกัน

              เช่นนั้น ตามคำบอกเล่าของทหารที่ไปรับตัวเขามา นางคงเป็นสแคปเปอร์ 142 คนที่จับเชษฐาเขามามอบให้แกรนด์มาสเตอร์ และเป็นคนเดียวกับที่ช่วยธอร์หลบหนีไปเมื่อเช้า

              “ข้าหงุดหงิด!... ข้าหงุดหงิดมากๆ!”

              ผู้เป็นเจ้าของดาวซาคาร์กำลังบ่นอย่างหัวเสีย ขณะที่แท่นยืนลอยได้ใต้เท้าของเขาค่อยๆลอยตัวต่ำลงมาหาผู้ซึ่งถูกเรียกตัวมา

              “รู้ไหมเวลาหงุดหงิดข้าชอบทำอะไร?... หาคนผิด! และตอนนี้ข้าก็เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว... รู้ไหมข้าโทษว่าใครผิด?...”

              “แกรนด์มาสเตอร์... ข้า...”

              “เฮ้! เฮ้ๆ อย่าเพิ่งขัดคอสิ!”

              โทแพซผู้ทำหน้าที่เสมือนมือขวาของแกรนด์มาสเตอร์ ยื่นคฑาละลายส่งให้แกรนด์มาสเตอร์แทบจะทันที แต่ก็โดนดุกลับ

              “ส่งคฑาละลายมาทำแป๊ะอะไร? เขาก็แค่ขัดคอข้า ความผิดไม่ถึงตายซะหน่อย”

              โทแพซส่ายหน้าเบาๆ อดท้วงในใจไม่ได้

              ...ก็อย่างกับคนก่อนๆที่โดนใช้คฑาละลายทำผิดอะไรใหญ่โตนักหนา... มันก็แค่ความหลงใหลในตัวเจ้าเทพหนุ่มตรงหน้าเสียมากกว่า ที่ทำให้เจ้านายของหล่อน เหยาะแหยะกับการตัดสินโทษ

              “นักสู้ตัวทำเงินของข้าหายไป... ที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าแห่งสายฟ้า! มันเป็นเพราะเขาเลย พี่ชายเจ้า! จะเป็นพี่อะไรก็ช่างเหอะ พี่บุญธรรมซับซ้อนกันยังไง ข้าแน่ใจว่าประวัติมันยาว”

              โลกิได้แต่ฟังอีกคนโวยวายใส่อย่างเถียงไม่ออก

              “และนักสู้ของเจ้า!”

              แกรนด์มาสเตอร์หันไปเล่นงานสแคปเปอร์ 142 บ้าง ซึ่งนางก็ได้แต่ยอมรับตาปริบๆ

              “สหายข้า ถ้าท่านให้ข้าสิบสองชั่วโมง ข้าจะพาทั้งคู่กลับมาเป็นๆ”

              เทพจอมเจ้าเล่ห์รีบยื่นข้อเสนอ

              “ข้าขอสองชั่วโมง”

              หญิงสาวคนข้างๆเอ่ยขัด ตัดราคาต่อรองขึ้นมาซะนี่

              และในเมื่อมันกลายเป็นการแก่งแย่งชิงดีกันขึ้นมา โลกิก็แทบไม่มีทางเลือก เพราะถ้าใครคนหนึ่งได้รับภารกิจไป เขาก็ยังไม่รู้ว่าคนที่เหลือจะโดนอะไรนี่สิ

              “...ข้าขอชั่วโมงเดียว...”

              ทั้งคู่หันไปจ้องหน้าอย่างรู้กัน ว่างานนี้มันก็แค่ยื้อเวลาตายออกไปเท่านั้น

              “อย่าเถียงกันน่า รู้มะ เช้านี้ข้าตื่นมา นึกว่าจะต้องตัดหัวประจานซะแล้ว”

              ผู้พูดกลับมามีสีหน้าอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นความตื่นเต้นชอบใจกับเกมการแข่งขันของสองคนตรงหน้าเขา

              “แต่ตอนนี้ข้าก็คิดว่า... นี่ๆๆๆๆๆ แข่งกันว่าใครจะเจอเขาก่อน... เพราะงั้น... เอ่อ... ทำเวลาแข่งกัน”

              เจ้าแห่งซาคาร์ทำมือไล่เป็นสัญญาณจบการสนทนา

              ขณะที่โลกิ และสแคปเปอร์ 142 สาวเท้ายาวๆ ก้าวออกมาจากห้องแกรนด์มาสเตอร์อย่างเร่งรีบแข่งกับเวลา โลกิก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเอาเรื่องทันที

              “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

              “ข้าไม่ใช่ลูกไล่ใคร... โลกีย์…”

              นั่นทำเอาเทพหนุ่มซึ่งกำลังหงุดหงิดมากพออยู่แล้วฉุนขาด และหันไปคว้าข้อมืออีกคนหมับ

              “ข้าชื่อ ‘โลกิ’ และเจ้าเป็นลูกไล่ของแกรนด์มาสเตอร์”

              สแคปเปอร์ 142 ตอบโต้กลับทันทีด้วยความว่องไว และฝีไม้ลายมือนางก็จัดจ้านพอจะซัดหมัดใส่บุตรแห่งลอเฟย์จนหน้าหงายได้

              “ฮึ...”

              สแคปเปอร์ 142 แค่นหัวเราะเย้ยหยัน และนั่นก็เป็นเหตุยั่วยุมากพอให้โลกิชักมีดสั้นออกมาชี้หน้าอีกฝ่าย

              “ทำไมเจ้าช่วยพี่ชายข้าหนีไปกับเจ้ายักษ์เขียวตัวนั้น?”

              “ข้าไม่ได้ช่วยเหลือใคร”

              ในมือของหญิงสาวชาวแอสการ์ดตอนนี้ปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งเช่นกัน และพริบตาเดียวทั้งคู่ก็เข้าต่อสู้กันอย่างไม่มีการออมมือ คมมีดในมือโลกิถากเอาปลอกแขนอีกคนขาดเผยให้เห็นสัญลักษณ์ของนักรบสาววาลคิรี่บนแขนของสแคปเปอร์ 142

              “เจ้าเป็นวาลคิรี่!”

              โลกิอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ และจังหวะต่อสู้ต่อมาเขาก็ถูกอีกฝ่ายถีบจนกระแทกเข้ากับผนัง

              แม้ฝีมือการต่อสู้โลกิจะสู้ไม่ได้ แต่เรื่องฝีปากปั่นหัวใคร เทพแห่งคำลวงแน่ใจว่าเขาไม่เป็นรองใคร

              “ข้านึกว่าวาลคิรี่ตายอนาถไปหมดแล้วซะอีก”

              จบประโยคเข่าของวาลคิรี่ก็กระแทกเข้ากดอกเขาติดผนัง พร้อมด้วยมีดในมือซึ่งชี้เข้าที่ลำคอเจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ด

              “ช่วยเลือกคำพูดต่อไปให้ดีนะ”

              “ขอโทษด้วยจริงๆ... ความทรงจำอันเจ็บปวดรวดร้าว!”

              เทพแห่งคำลวงทำเป็นสุภาพก่อนจะใช้เวทเรียกความทรงจำเลวร้ายของอีกฝ่ายขึ้นมา แทนการจู่โจม

              ภาพสงครามนองเลือด ระหว่างวาลคิรี่และเทพีแห่งความตาย พลันฉายชัดขึ้นในหัวของวาลคิรี่ และนั่นก็ทำให้เธอถูกโลกิผลักลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างง่ายดาย

              แต่ก่อนที่โลกิจะตามเข้าซ้ำได้ทัน วาลคิรี่ก็จัดการถีบร่างอีกคนลงไปนอนแล้วหมัดลุ่นๆก็กระแทกเข้าเต็มหน้าทำเอาสติของโลกิแห่งโยธันไฮม์พลันดับวูบลง

    --- ---


              บุตรแห่งลอเฟย์รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่าเขานอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น และแขนของเขาถูกมัดไพล่หลังติดกับลำตัวด้วยโซ่ เช่นเดียวกับข้อเท้าทั้งสองข้าง

              โลกิกวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนเขาจะถูกจับมาขังไว้ในห้องพักของใครสักคนซึ่ง แม้สไตล์การตกแต่งจะฉูดฉาดไม่แพ้ห้องพักของแกรนด์มาสเตอร์ แต่ห้องๆนี้ก็คับแคบกว่า และดูไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร

              โลกิสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไป ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ

              “...วาลคิรี่เดนตาย...”

              โลกิสบถลอดไรฟันออกมา ขณะเดียวกันก็พยายามงอเข่าเข้าหาตัวเพื่อยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นมือของใครคนหนึ่งก็ดึงโซ่ด้านหลัง และลากให้เขาลุกขึ้นไปนั่งบนกล่องใบหนึ่งต่างเก้าอี้

              คงเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากวาลคิรี่ซึ่งเขาเพิ่งสบถด่าไปในระยะเผาขน

              “ครบสองชั่วโมงที่เจ้าคุยโวไว้รึยังล่ะ... วาลคิรี่... สำนึกถึงความปากพล่อยของเจ้าขึ้นมาบ้างไหม? คราวนี้เราสองคนได้รวมอยู่ในลิสต์ถูกหมายหัวของเจ้าแห่งซาคาร์สมใจเจ้าแล้ว?”

              โลกิอดค่อนขอดและประชดประชันอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะยังหงุดหงิดไม่หายที่หล่อนเสนอหน้าขัดแผนการของเขา แทนที่จะมีเวลาครึ่งวันในการตามหาธอร์และวางแผนหลบหนี เขากลับเสี่ยงต้องกลายมาเป็นพวกหลบหนีในสายตาของแกรนด์มาสเตอร์ไปด้วย ถ้าหายหัวไปเป็นเวลานาน

              “ยัง... แต่เกินหนึ่งชั่วโมงที่เจ้าคุยโวไว้แล้ว”

              วาลคิรี่แสยะยิ้มกลับพลางยกขวดเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด

              “และข้าไม่ว่างมาเล่นลิ้นกับเจ้า... บาย...”

              พูดจบหญิงสาวก็โบกมือลาอีกฝ่ายแล้วเดินไปทางประตู

              “เฮ้! เดี๋ยวสิ! เจ้าจะทิ้งข้าไว้แบบนี้ไม่ได้!”

              “แน่นอนว่าได้”

              วาลคิรี่หันมาส่งยิ้มกวนให้โลกิอีกครั้งแล้วประตูห้องก็ปิดลงตามหลัง

    --- ---


              มันเป็นเวลาหลายชั่วโมงทีเดียว ที่โลกิต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ภายใต้พันธนาการจากโซ่ตรวนนี่

              อากาศในห้องซึ่งถูกปิดเริ่มอบอ้าวขึ้นในช่วงเที่ยงวัน และเขาก็เริ่มกระหายน้ำจนลำคอแห้งผาก ตอนนั้นเองที่โลกิได้ยินเสียงของวาลคิรี่อีกครั้งบริเวณหน้าประตู และถ้าความร้อนไม่ได้เล่นตลกกับเขาจนหูฝาดไป...

              ...เขาได้ยินเสียงของธอร์...

              “เซอร์ไพรซ์!”

              เทพแห่งคำลวงตีหน้าชื่นมื่นใส่ หลังประตูห้องพักถูกเปิดออก ใบหน้าคุ้นเคยเป็นไปตามคาดหมาย ความรู้สึกในอกตีตื้นขึ้นมาจนอธิบายไม่ถูก เขาแทบจะนึกขอบคุณวาลคิรี่ด้วยซ้ำที่นางตามตัวธอร์จนเจอ อีกใจก็นึกเคืองที่เชษฐาตัดสินใจหลบหนีโดยไม่ใยดีเขาเลย

              ดวงตาสีฟ้ามองมายังเขา ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือคำทักทายใดๆ แล้วขวดพลาสติกเปล่าข้างประตูก็ถูกหยิบมาปาใส่หน้าผากเขาอย่างเหมาะเหม็ง

              !!

              “เช็คเพื่อความชัวร์”

              คนพูดเดินตามวาลคิรี่เข้ามาในห้อง และไม่แม้แต่จะเหลือบแลมาทางเขาอีก

              ผู้ที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายกลับเป็น ดร. บรูซ แบนเนอร์ อีกร่างหนึ่งของอสุรกายตัวเขียวซึ่งเคยจับเขาฟาดเกือบตายมาแล้ว แม้จะยังรู้สึกขยาดกลัวฮัล์ค แต่โลกิก็ยังโล่งใจและรู้สึกรับมือได้ง่ายกว่าเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในร่างบรูซ

              “หวัดดี บรูซ”

              โลกิเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

              “ครั้งหลังสุดที่เห็นนาย นายพยายามฆ่าทุกคน... เดี๋ยวนี้เปลี่ยนนิสัยแล้วรึยัง?”

              บรูซเอ่ยถามอย่างเกร็งๆ

              “ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์...”

              เมื่อรอยยิ้มจอมปลอมเลือนหายจากใบหน้า แววตาเย็นชา กอปรกับความหงุดหงิดของโลกิก็ทำเอาบรูซรีบถอยห่าง และตามไปสมทบกับธอร์และวาลคิรี่ ทิ้งเขาไว้คนเดียวตรงมุมห้องอีกครั้ง

              ธอร์ยังคงทำเหมือนเขาไม่อยู่ในห้อง และเอาแต่ถกกับวาลคิรี่เรื่องแผนเดินทางออกจากดาวซาคาร์ ด้วยยานอวกาศผ่านทางประตูใหญ่ หรืออีกชื่อก็คือ ‘ทวารปีศาจ’

              และเมื่อในแผนของเชษฐา จำเป็นต้องมียานอวกาศเจ๋งๆสักลำ โลกิก็นึกถึงยานคอมมอดอร์ขึ้นมา

              “ไม่อยากจะขัดคอนะ…แต่..!!”

              !! เพล้ง!!

              แค่ประโยคแรกที่เขาเอ่ยปาก ขวดแก้วในมือของวาลคิรี่จอมโหดก็ลอยหวือเฉียดหัวเขาไปกระแทกผนังห้องด้านหลังจนแตกกระจาย และสายตาทุกคู่ของคนในห้องก็มองตรงมายังเขา

              โลกิกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่ และตัดสินใจพูดข้อเสนอของเขาต่อให้จบ

              “…คือว่า... แกรนด์มาสเตอร์มียานล้ำๆเยอะ...ข้าอาจขโมยรหัสเปิดระบบความปลอดภัยของเขาได้...”

              แน่นอนล่ะว่าเกมลอบขึ้นยานคอมมอดอร์ซึ่งเขากับแกรนด์มาสเตอร์เคยท้าทายกันก่อนหน้านี้ กลายเป็นประโยชน์ทันที เพราะเขามีข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนกะเวรยามไปจนถึงรหัสเปิดประตูแต่ละบานเพื่อไปที่ท่าปล่อยยานลำนั้น

              “อยู่ๆ เจ้าก็เอาชนะด้านมืดมาเป็นคนดีได้เหรอ?”

              วาลคิรี่เท้าเอวมองจ้องเขาอย่างไม่เชื่อใจ

              “อ๋อ เปล่าเลย ข้าไม่ใช่คนโปรดของแกรนด์มาสเตอร์แล้ว และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับรหัส ข้าจะขอเส้นทางปลอดภัย... ผ่านประตูทวาร...”

              “เจ้าหมายถึงสามารถพาเรา เข้าโรงจอดยานได้ โดยไม่ทำให้ สัญญาณเตือนภัยดังงั้นเหรอ?”

              “ใช่ พี่ชาย... ข้าทำได้”

              บรูซ แบนเนอร์ รีบเรียกอีกสองคนในทีมประชุมลับตรงนั้นแทบจะทันที แต่ละคนล้วนกระซิบกระซาบเอ่ยถึงความไม่น่าไว้วางใจในตัวเขา และนั่นทำให้โลกิแทบจะหลุดขำออกมา

              “...เขาเกือบจะฆ่าข้า”

              “ข้าก็เกือบ หลายหนแล้วด้วย มีอยู่ครั้งนึงตอนเราเป็นเด็ก เขาแปลงร่างเป็นงู เขารู้ว่าข้าชอบเล่นกับงู ข้าเข้าไปอุ้มงูมาเล่น แล้วเขาก็คืนร่างกลับมาเป็นตัวเอง แล้ว ‘ใช่ข้าเอง!’ แล้วก็แทงข้า! และนั่นเพิ่งจะ...แปดขวบเอง...”

              ทุกคนหันมองมาทางโลกิเป็นตาเดียวด้วยความพรั่นพรึงในวีรกรรมวัยเด็กของเขา

              จะมีก็แต่เจ้าคนที่โดนพูดถึงล่ะมั้ง ที่ลอบอมยิ้มอย่างอดไม่อยู่ เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำซึ่งเขาเพิ่งได้มันกลับมาเมื่อไม่นานมานี้...

              ...แม้ว่าผู้เป็นเชษฐาในวันนี้จะกลับเป็นฝ่ายลืมเลือนเรื่องราวในตอนนั้นไปมากแล้ว ถึงหลงเหลือแต่ความคิดหวาดระแวงในตัวเขา...

              “ถ้าเราจะขโมยยาน เราต้องหลอกล่อยามให้ออกมาจากวังล่ะสิ?”

              นักรบสาวตั้งข้อสงสัย

              “ทำไมไม่ปล่อยอสูรออกมา?”

              โลกิยังคงอดไม่ได้ที่จะเสนอความคิด

              “ชู่! หุบปากนะ!”

              ธอร์รีบเอ่ยห้าม

              “เจ้ามีอสูรเหรอ?”

              วาลคิรี่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ และทั้งธอร์และ ดร.แบนเนอร์ ก็รีบปฏิเสธขึ้นพร้อมกัน

              “ไม่ ไม่มีอสูรหรอก”     “ไม่ ไม่มีอสูรหรอก”

              “เขาพูดพล่อยๆ...”

              ธอร์รีบบอกปัดก่อนจะเสนอแผนอื่น

              “พวกเราจะก่อการปฏิวัติ...”

    --- ---


              หลังจากทั้งสามคนหายเข้าไปวางแผนกันอย่างละเอียดในห้องด้านหลัง ทิ้งให้เขานั่งเงกอยู่คนเดียวด้านนอก

              เมื่อ บรูซ แบนเนอร์ เป็นคนเดียวที่เดินออกมาจากห้อง โลกิก็ตัดสินใจเอ่ยปากขอน้ำดื่มกับบรูซ เขาอยู่ในสภาพนี้มาพักใหญ่แล้ว และอากาศอบอ้าวชวนอึดอัดในห้องก็ทำให้เขาเริ่มไม่สบายตัว

              หรือไม่... บางทีก็อาจจะตั้งแต่ปาร์ตี้เมื่อคืน

              โลกิพอรู้ว่าแกรนด์มาสเตอร์จงใจมอมเหล้าเขา และโชคดีเหลือเกินที่ในห้องนั้นมีคนเมาจำนวนมากพอจะฉุดแกรนด์มาสเตอร์ไปเสพสังวาสแบบมะรุมมะตุ้ม เปิดโอกาสให้เขาแสร้งทำเป็นปลีกตัวไปหาเครื่องดื่ม และลอบกลับห้องโดยอ้างว่าไม่สบาย... ถึงกระนั้นเขาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มทีกว่าจะหนีออกมาได้อย่างเฉียดฉิว

              บรูซรับคำอย่างเกร็งๆ และเดินไปรื้อหาเครื่องดื่มมารินให้

              ในเมื่ออีกฝ่ายถูกมัดมือไว้ บรูซก็เป็นคนช่วยเทป้อนเครื่องดื่มในขวดใบใหญ่ใส่แก้ว ให้คนถูกมัดดื่มเข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่าจนเกือบหมดขวด

              !!

              “เจ้าเอาอะไรให้ข้าดื่ม?”

              โลกิถามอย่างหงุดหงิดหนักขึ้น เมื่อของเหลวที่เขารีบดื่มลงไปซะเยอะด้วยความกระหาย กลับไม่ใช่น้ำอย่างที่เขาหวัง และมันกำลังเริ่มออกฤทธิ์ตรงกันข้าม

    --- ---


              “ธอร์! เฮ้! มานี่หน่อย เร็วเข้า!”

              เสียงของ บรูซ แบนเนอร์ ตะโกนเรียกเขาอย่างตื่นๆ ทำให้ทั้งธอร์และวาลคิรี่รีบผลุนผลันออกจากห้องไปดู

              “เจ้าทำอะไรเขา แบนเนอร์?!”

              ธอร์ออกจากห้องด้านในมา เห็นอนุชาของเขานั่งหน้าซีดเผือดหลับตาเอนพิงแบนเนอร์อยู่ ก็รีบตรงเข้าไปคว้าไหล่ดึงตัวออกมาดู

              “เขาขอน้ำดื่ม... ฉัน..ฉัน... ก็เลยเทในขวดตรงนั้นให้”

              “ให้ตาย! ขวดนั่นข้าตั้งใจเก็บไว้กินวันสิ้นโลกเลยนะ!”

              วาลคิรี่แทบจะกรีดร้องอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่าขวดที่บรูซว่า คือขวดเหล้าหมักอายุหลายหมื่นปี หนึ่งในคอลเลคชั่นเลอค่าซึ่งหล่อนอุตส่าห์หามา กลับถูกโลกิดื่มไปเกือบหมดขวด

              “ฉันไม่รู้หรอก เห็นอันนี้มันดูใสๆ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ก็คิดว่าเป็นน้ำ... ไม่ใช่เหรอ?”

              แบนเนอร์ถามอย่างตกใจ

              ในขณะที่บุตรแห่งลอเฟย์ตกอยู่ในอาการร้อนวูบไปทั้งใบหน้า ลำคอ และท้อง อุณหภูมิในกายของเขาตอนนี้มันวูบวาบขึ้นเรื่อยๆ อย่างอธิบายไม่ถูก และร่างกายของยักษ์น้ำแข็งอย่างเขาต้องมาเจอกับความร้อน ทั้งภายนอกและภายในพร้อมๆ กันแบบนี้ก็ยิ่งอาการไม่ดีหนักขึ้น

              “….”

              ธอร์ไม่ถามอะไรให้มากความอีก เขาช้อนอุ้มร่างอนุชาจนตัวลอย แล้วพาเข้าไปในห้องนอนด้านใน เขาถือวิสาสะวางอีกคนลงบนเตียง แล้วหันไปเอ่ยปาก

              “ขอน้ำดื่มหน่อยวาลคิรี่! น้ำดื่มจริงๆ แล้วก็ผ้าสักผืน ข้าต้องลดอุณหภูมิให้เขา”

              “ขอโทษด้วย ไม่มี... ข้าไม่ดื่มน้ำ”

              วาลคิรี่ยักไหล่ เธอมองดูเทพหนุ่มชาวแอสการ์ดด้วยความคิดแค่ว่า

              ...เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดช่างคออ่อนนัก ส่วนรัชทายาทองค์โตก็โอ๋น้องชายเกินเหตุ จะอะไรนักหนากะอีแค่เมา...

              “นี่ผ้า”

              หล่อนยื่นผ้าผืนเล็กให้ธอร์ผืนหนึ่งก่อนจะถอยห่าง

              “ข้ากับแบนเนอร์จะออกไปหาอาวุธให้พวกปฏิวัติ ระหว่างนี้เจ้าก็เฝ้าเขาดีๆ อย่าให้หนีไปเปิดโปงแผนเราได้ก็แล้วกัน”

              “เฮ้!”

              ธอร์ถึงกับหันขวับไปมอง

              “เจ้าจะทิ้งให้ข้าดูเขาคนเดียวแบบนี้เหรอ?”

              วาลคิรี่ไหวไหล่ เหมือนมันเป็นเรื่องเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

              “ในเราสามคน มีเจ้าคนเดียวที่ถูกทหารไล่ล่าอยู่ เพราะงั้นเรื่องการเตรียมการก็ต้องเป็นหน้าที่ข้ากับเขาอยู่แล้ว หรือไม่จริง?”

              นักรบสาวตบหลังมือเข้าที่อกแบนเนอร์ แล้วเพยิดหน้าให้ตามหล่อนออกไป

              ธอร์ถึงกับเถียงไม่ออก เพราะฟังดูมันก็สมเหตุสมผลดี ปัญหาเพียงข้อเดียวก็คือ... เขาไม่คิดว่าโลกิจะดันมาอาการไม่ดีเอาตอนนี้ ตอนที่เขาไม่พร้อมรับมือเอาเสียเลย...

              เสียงประตูด้านนอกห้องพักปิดลง และทั้งห้องก็เหลือแค่เขากับอนุชาซึ่งนอนหลับตา สีหน้าเหมือนกำลังทรมานอยู่บนเตียง

    ==TBC.==

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
threecubedj (@threecubed01)
กะว่าจะแวบมาดูเฉยๆแต่แบบ ไรท์อัพแล้วววววว ฮือออออ อยากรู้ว่าพี่หมีจะดูแลน้องยังไง อิๆๆๆๆๆ
threecubedj (@threecubed01)
ปล. สวัสดีปัีใหม่ค่า (///▽///)
narscel (@narscel)
@threecubed01 สวัสดีปีใหม่ค่า นี่ก็แบบ.. ตอนนี้ดูไม่ค่อยหน่วง พอจะส่งท้ายปีเก่าได้ 5555 ว่าจะแต่งให้หวานขึ้น... มันก็ยังหน่วงอยู่ดี แงงง รอพ้นปีใหม่ไปก่อนเน้อ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ไว้มาคุยกันอีกน้า ดีใจๆ (. .,,)
Alpaca Vi (@fb1860248053229)
อิพี่ท่อกล้าดียังไงปาของใส่เหม่งน้อง
narscel (@narscel)
@fb1860248053229 ความในใจที่อยากหวีดตั้งแต่ดูหนังเลยช่ะคะ 55555 เราแต่งๆก็... อืม... หมีแม่ม.. ตะไมไม่อ่อนโยนนนน !!! 55555
Nion Philin (@fb1910338935951)
พี่ท่อจริงๆห่วงน้องสินะแต่แกล้งทำเป็นเมิน 555555 สูดกาวหนึ่งเฮือก
narscel (@narscel)
@fb1910338935951 มาค่ะ มาเข้าแก๊งคนซึน 5555555 นี่แจกกาวเขาไปแล้วมานั่งเครียด พี่ท้อตุทำไรน้องได้มั่งเนี่ย 5555 แม่ๆโลกิเต็มเลย