ต่อจากโพสต์ที่แล้วที่ได้แนะนำให้ทุกคนลองไปดูช่อง BuzzFeed Unsolved ตามลิงก์นี้
เนื่องจากเราดูวนทุกเอพิโสดจนจำได้เกือบหมดแล้ว (ติดมากจริง ๆ ค่ะ55555) และรู้สึกว่าเอพิโสดทั้งหมดมีเยอะมาก ๆ ถ้าให้วนดูจนครบคงต้องดูกันเป็นเดือน เลยอยากมาแนะนำเอพิโสดที่พลาดไม่ได้สำหรับทั้งซีซั่น Supernatural กับ True Crime ค่ะ โดยขอเลือกมาซีซั่นละ 5 เอพิโสดเด่น ๆ ที่ไม่ว่าจะดูจบไปนานขนาดไหน ก็ยังคงจำได้ขึ้นใจและวนกลับไปดูบ่อย ๆ อยู่เสมอ
BuzzFeed Unsolved - Supernatural
No.5 : The Haunted Quarters of The Dauphine Orleans Hotel
: เป็นโรงแรมสามดาวใน New Orleans ที่มีสภาพค่อนข้างดีนะคะ ต่างจากที่ส่วนมากที่โฮสต์ทั้งสองคนเคยเข้าไปสำรวจกันมา แต่ตามจริงคือมีอายุถึงราว 300 ปีมาแล้วค่ะ มีการรายงานเกี่ยวกับประตูที่ล็อกเอง เสียงรอยเท้าที่เดินไปมา แต่ที่ได้รับการรายงานบ่อย ๆ คือมักจะมีคนเห็นทหารที่เคยสู้ในสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาเดินวนอยู่รอบ ๆ โรงแรมค่ะ ซึ่งในช่วงท้ายของเอพิโสด Ryan และ Shane ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่ระเบียงห้องชั้นบนตอนประมาณตีสี่ Ryan รีบวิ่งออกไปดูแต่ก็ไม่เจอใครเดินอยู่เลย พอเช้าวันรุ่งขึ้นเลยไปถามห้องข้างบน ปรากฏว่าไม่มีใครเข้าพักห้องข้าง ๆ แล้วพวกเขาก็ยังได้ยินเสียงเหมือนกันอีกด้วย
ที่ให้เป็นที่ 5 เลยเพราะปกติโฮสต์ทั้งคู่ไม่ค่อยอัดเสียงเดินไปมาได้เลยค่ะ น้อยครั้งมาก แล้วครั้งนี้พออัดได้ มันก็ไม่ได้มีแค่เขาสองคนที่ได้ยิน แต่ห้องข้าง ๆ ก็ได้ยิน พอออกไปดูก็ไม่มีใครออกไปเดินกลางดึกแบบนั้นอีก Ryan ลองไปถามไกด์ทัวร์แถวนั้นเขาก็เล่าให้ฟังว่ามีวิญญาณของทหารเก่าเดินไปมาอยู่ที่โรงแรมนั้น คนเจอบ่อยค่ะ แล้วก็ยังมีเรื่องแปลก ๆ อีกเล็กน้อยแทรกตลอดทั้งเอพิโสดด้วย ถึงแม้หลักฐานไม่หนักแน่นพอ แต่ก็ถือเป็นอีกตอนหนึ่งที่เราประทับใจมาก ๆ เลยล่ะค่ะ (ซึ่ง Shane ก็ปัดตกเหมือนเคย)
No.4 : The Horrors of Pennhurst Asylum
: เพนเฮิร์สท์เคยเป็นโรงพยาบาลและโรงเรียนรัฐมาก่อนค่ะ สำหรับเด็กพิเศษราวร้อยปีที่แล้ว แล้วถูกทิ้งร้างกลายมาเป็นสถานที่ที่ผู้คนแอบเข้ามาในวันฮาโลวีน เรียกชื่อใหม่กันว่าเป็นอะไซลั่ม (โรงพยาบาลสำหรับคนวิกลจริต) คนไข้ที่นี่ไม่ค่อยได้รับการดูแลที่ดีค่ะ ถูกทำร้ายโดยหมอที่ประจำอยู่ที่นี่บ่อยครั้ง ภายหลังถูกฟ้องโดยคนไข้ที่เข้ามารักษาตัวและถูกสั่งให้ปิดตัวลงในที่สุด Shane และ Ryan ได้ใช้เครื่อง Spirit Box ที่สแกนผ่านคลื่นวิทยุทั้งหมดข้ามไปมาด้วยความถี่ที่สูงมาก ๆ ซึ่งมันจะสร้าง White Noise สามารถจับคลื่นเสียงจากสิ่งที่มองไม่เห็นออกมาเป็นคำ ๆ ได้ค่ะ (อ้างอิงจากคำอธิบายของโฮสต์) ซึ่งในเอพิโสดนี้เป็นเอพิโสดที่ Ryan ต่อบทสนทนาได้ยาวที่สุดตั้งแต่เราเคยดูมาเลย คุยกันรู้เรื่องด้วยค่ะ
ให้เป็นที่ 4 เพราะปกติเวลาใช้ Spirit Box ทีไรจะจับได้แต่คำแปลก ๆ หรือคำที่ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่าต้องการจะสื่ออะไร ครั้งนี้ดูถามแล้วก็พอตอบได้ ค่อนข้างน่าสนใจเลยแหละค่ะ เครื่องอัดเสียงก็อัดติดเสียงแปลก ๆ ตลอดทั้งเอพิโสดอีกเช่นเคย
No.3 : The Haunted Halls of Waverly Hills Hospital
: เป็นหนึ่งในเอพิโสดที่เป็นที่น่าจดจำมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ Waverly Hills เป็นโรงพยาบาลที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับคนไข้ในช่วงที่วัณโรคระบาด ตัวโรงพยาบาลถูกตั้งขึ้นบนเนินสูงเพื่อแยกคนไข้ออกมาและเพื่อให้ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์จากตำแหน่งที่ตั้งที่ค่อนข้างสูง ภายหลังโรงพยาบาลก็ปิดตัวลงเมื่อมีวัคซีนต้านวัณโรคเกิดขึ้นค่ะ แต่ก่อนจะเจอวัคซีน คนไข้ภายในโรงพยาบาลก็เสียชีวิตกันไปเป็นจำนวนมากจนต้องสร้างทางเดินใต้ดินเพื่อเอาศพของผู้เสียชีวิตไปฝังโดยไม่ให้คนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เห็นค่ะ ก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณที่มักจะปรากฏตัวบ่อย ๆ แต่ที่ปรากฏตัวในเอพิโสดนี้คือ "ทิม" วิญญาณของเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นลูกบอลค่ะ Ryan ก็ทดลองโยนลูกบอลลงทางเดินที่ทิมปรากฏตัวบ่อย ๆ ไป แต่ก่อนที่ลูกบอลจะหยุด มันกลับมาเด้งขึ้นอีกสองรอบทั้ง ๆ ที่แรงควรจะหมดลงไปแล้ว แปลกกว่านั้นคือลูกบอลไปหยุดอยู่ตรงกำแพงที่มีเขียนคำว่า "Ryan" ชื่อของโฮสต์รายการอยู่อีกด้วยค่ะ
ให้เป็นที่ 3 เพราะความบังเอิญที่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบังเอิญจริงไหม ในหลายเอพิโสดก็มักจะเกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่บังเอิญจนมาตรงกับชื่อโฮสต์แบบนี้มาก่อน บรรยากาศรอบ ๆ โรงพยาบาลก็น่ากลัวอยู่พอตัวเลย แฟนรายการส่วนมากก็ยกเอพิโสดนี้ให้เป็นหนึ่งในเอพิโสดที่พลาดไม่ได้เหมือนกันหมดเลยค่ะ อยากให้ได้ลองไปดูกันนะคะ
No.2 : The Chilling Exorcism of Anneliese Michel
: เอพิโสดนี้จะต่างออกไปเพราะไม่ได้ลงสำรวจสถานที่จริงเนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมันค่ะ เป็นเรื่องราวของ Anneliese Michel ที่ผ่านพิธีการไล่ผีตามหลักศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกหลายครั้งมากเพราะเชื่อว่าถูกปีศาจเข้าสิง จนในที่สุดเธอก็เสียชีวิตลงทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อยและที่บ้านก็เคร่งศาสนามาโดยตลอด เรื่องราวของเธอถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์เรื่อง "The Exorcism of Emily Rose" ด้วยค่ะ ไม่ได้อิงตามเรื่องจริงแบบเป๊ะ ๆ แต่ก็ดึงเค้าหลังมาจากเหตุการณ์จริงค่ะ จุดที่ทำให้เซอร์ไพร์ซเกี่ยวกับเคสนี้มาก ๆ คือได้มีการบันทึกเสียงตอนที่ 'เชื่อกันว่า' Anneliese ถูกควบคุมโดยปีศาจขณะทำพิธีอยู่ค่ะ ถามตอบรู้เรื่องแต่เสียงไม่ใช่เสียงของเด็กผู้หญิงเลย ออกเป็นเสียงแหบ ๆ แปลก ๆ มากกว่าด้วยซ้ำ นอกจากนี้เมื่อถูกถามว่าปีศาจที่เข้ามาสิงเธอเป็นใคร ก็ไล่ตอบมาว่ามี Judas, Nero, Cain, Hitler (?), Fleischmann ค่ะ Fleischmann เคยเป็นบาทหลวงในโบสถ์มาก่อนตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 และถูกขับไล่เพราะพฤติกรรมที่ไม่ดี ซึ่งเธอสามารถตอบรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลนี้ได้อย่างละเอียดและถูกต้องจนบาทหลวงที่ทำพิธีให้ยังแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเด็กอย่างเธอจะรู้จักค่ะ
ให้เป็นที่ 2 เลยเพราะตอนฟังเราก็รู้สึกแปลก ๆ รูปถ่าย คลิปเสียงทุกอย่างมันยังคงมีอยู่ให้เห็นเป็นหลักฐาน หลังจากดูเสร็จเราก็ไปหาข้อมูลต่อ ส่วนมากเขาก็จะวิเคราะห์ว่า Anneliese อาจจะป่วยเป็นโรคทางจิต และเพราะด้วยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เคร่งศาสนามาก ๆ มีแต่คนพูดกับเธอว่าเธอถูกปีศาจร้ายเข้าสิง คำพูดเหล่านี้อาจมีผลต่อตัวเธอทางด้านจิตใจจนทำให้เธอแสดงอาการประหลาด ๆ ออกมาได้ค่ะ แล้วก็ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่สามารถมาโต้แย้งได้ ส่วนตัวเราไม่ได้เชื่อขนาดนั้น แต่ถึงยังไง คลิปเสียงในเอพิโสดนี้ก็ยังคงทำให้เราประหลาดใจไม่น้อยและจำเคสนี้ได้มาโดยตลอดเลยค่ะ
No.1 : 3 Horrifying Cases of Ghosts and Demons (Sallie House)
: จริง ๆ ในเอพิโสดนี้ โฮสต์ของเราแวะไปถึง 3 ที่ด้วยกันนะคะ ได้แก่ Winchester Mansion, The island of dolls, Sallie House แถมยังแวะเข้าโบสถ์ไปคุยกับบาทหลวงก่อนด้วย แต่จุดที่น่าตกใจจริง ๆ อยู่ช่วงท้ายของเอพิโสดที่ทั้งคู่เข้าไปกันที่ Sallie House บ้านที่เชื่อว่ามีปีศาจอาศัยอยู่ค่ะ ในเอพิโสดนี้โฮสต์ทั้งสองได้ทำการทดลองโดยวางไฟฉายเอาไว้ แล้วลองสื่อสารกับสิ่งที่อยู่ในบ้านนั้นดู โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิ่งลี้ลับหรือแปลก ๆ มาช่วยดูอยู่ด้วยค่ะ Shane ก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ ไฟฉายแล้วพูดว่า
"ถ้าคุณไม่อยากให้เราอยู่ที่นี่ ช่วยเปิดไฟฉายหน่อย"
แล้วไฟฉายก็เปิดขึ้นทันทีค่ะ แต่ Shane ก็ยังไม่หยุดและลองใหม่อีกครั้ง
"ถ้าคุณไม่ชอบพวกเราช่วยเปิดไฟฉายหน่อย... ฉันว่าเขาไม่มีพลังจะเปิดมันอีกครั้งหรอก คิดว่านะ"
แต่ไฟฉายก็เปิดขึ้นอีกครั้งค่ะ แล้วพวกเขาก็ลองอีกครั้ง (ใช่ค่ะ ยังลองอีก55555)
"ช่วยปิดไฟฉายให้หน่อยได้มั้ย"
แล้วก็ปิดจริง ๆ ตามคำขอเลยค่ะ นอกจากนี้ตัวไฟฉายยังกลิ้งไปมาเองด้วย และกล้องก็ถ่ายติด ทำเอา Ryan ตะโกนลั่นไม่หยุดอยู่สักพักส่วน Shane ก็นั่งขำอย่างเดียวเลยค่ะ
เป็นที่ 1 สำหรับเราและคิดว่าสำหรับหลาย ๆ คนที่ตาม BFU มาตลอดด้วยเหมือนกันเพราะจังหวะมันลงล็อกไปหมด เราไปลองหาอ่านเพิ่มเติมมาคือก่อนที่เขาจะทดลองเปิดปิดไฟ เขาได้หมุนตัวข้อไฟฉายให้มันหลวม ๆ เอาไว้อะค่ะ คือมันสามารถเปิดปิดได้ง่ายกว่าเดิม แค่มีแรงนิดหน่อยก็ดันไฟให้เปิดหรือปิดได้ เช่น ลม แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคือถึงแม้จะเป็นลมจริง ๆ มันก็มาได้ถูกจังหวะทุกครั้งทันทีที่ Shane พูดจบ ก็มองได้แบบนึงว่าเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างหนักแน่น กับอีกแบบคือลมพัดมาถูกจังหวะเฉย ๆ อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนเลยค่ะ
BuzzFeed Unsolved - True Crime
No.5 : The Incredible Alcatraz Prison Break
: เป็นเรื่องราวการแหกคุกที่น่าสนใจมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยค่ะ Alcatraz เคยเป็นเกาะที่ใช้เป็นฐานทัพมาก่อนค่ะ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนให้เป็นคุกที่มีการคุ้มกันที่แน่นหนามากที่สุดแห่งหนึ่งเลย เนื่องจากตั้งอยู่กลางทะเลห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ น้ำแถวนั้นก็เชี่ยวและเย็นมาก ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่นักโทษจะแหกคุกและหนีออกมาจากคุกแห่งนี้ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นกับนักโทษกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย John Anglin กับ Clarence Anglin สองพี่น้อง, Frank Morris และ Allen West ความพิเศษของคดีนี้คือแผนที่ทั้งสี่คนวางเอาไว้ คือการหลอกผู้คุมโดยการทำหน้ากากปลอมเสมือนจริงของตนซึ่งทำจากวัสดุที่หาได้ภายในคุก นำไปวางเอาไว้บนเตียง ทำเป็นว่าพวกเขายังนอนอยู่ในห้องขังทั้ง ๆ ที่จริง ๆ หลบหนีกันออกมาแล้ว Allen West ถูกจับได้ แต่อีกสามคนสามารถหนีออกจากตัวเกาะไปพร้อมกับแพยาง หลบหนีการจับกุมไปได้ค่ะ แต่ก็ไม่ถูกพบอีกเลย ศพก็ไม่เคยถูกพบ ญาติและครอบครัวก็ไม่เจอตัวค่ะ ตอนจบมีข้อมูลที่ทำให้ดูเหมือนคดีจะพลิกได้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงอยู่ดีค่ะ
ให้เป็นที่ 5 จาก True Crime ทั้งหมดค่ะ ส่วนตัวเราเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนที่จะดูเอพิโสดนี้แล้ว แต่โฮสต์รายการทำการบ้านมาดีมาก คือข้อมูลเป๊ะ เล่าได้อย่างละเอียด แถมทฤษฎีที่วิเคราะห์ออกมาก็เป็นเหตุเป็นผลมาก ๆ อยากให้ลองได้มาฟังดูกันค่ะ
No.4 : The Mysterious Disappearance of the Sodder Children
: เป็นคดีเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็ก 5 คนของครอบครัว Sodder ค่ะ คืนนั้นเป็นคืนก่อนวันคริสมาสต์ ฤดูหนาว แต่จู่ ๆ กลับเกิดไฟไหม้ขึ้นในบ้าน จากที่สันนิษฐานในตอนนั้นคือไฟฟ้าเกิดลัดวงจรขึ้นค่ะ ลูกคนอื่นในครอบครัวสามารถหนีออกมาได้ เหลือก็แต่ 5 คนที่นอนอยู่บนบ้านชั้น 2 คุณพ่อวิ่งเข้าไปจะพาออกมาแต่ก็ฝ่าเพลิงตรงบันไดขึ้นไปไม่ได้ โทรหารถดับเพลิงก็มาช้าไป 7 ชั่วโมง ตอนนั้นบ้านก็ไหม้จนเหลือแต่ผงไปแล้วค่ะ จุดที่น่าสงสัยคือหาร่างกายหรือร่องรอยของเด็ก ๆ ไม่เจอเลย บางคนเสนอว่าอาจจะถูกไหม้จนกลายเป็นผงไปแล้วหรือเปล่า แต่ตามความเป็นจริง ไม่ว่าไฟจะร้อนขนาดไหน ก็ต้องหลงเหลือกระดูกเอาไว้อยู่ค่ะ แถมยังต้องมีกลิ่นไหม้ด้วย แต่ในเหตุการณ์ไม่มีทั้งร่องรอยและกลิ่นเลย ครอบครัวเริ่มเชื่อว่าเป็นการลักพาตัวเด็กที่แสร้งวางเพลิงให้วุ่นวายกันมากกว่าค่ะ
ให้เป็นที่ 4 ด้วยความแปลกของตัวคดีและเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นค่ะ แล้วทุกวันนี้ก็ยังตามหาเด็กที่หายไปไม่เจอ ไม่รู้ว่าใครจับไป เคยมีคนส่งเบาะแสมาให้ว่าพบชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาคล้ายกับลูกเขาที่หายไป พอส่งนักสืบไปตาม ตัวนักสืบก็หายไปและไม่ส่งข่าวกลับมาอีกเลย เรียกได้ว่าแปลกตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายสิบปีเลยค่ะ
No.3 : The Disturbing Murders at Keddie Cabin
: เกี่ยวกับฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านพักตากอากาศในเมือง Keddie ซึ่งเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่มีผู้คนอยู่เพียง 66 คนเท่านั้น ครอบครัว Sharp เข้าพักในบ้านพักหลังนี้และเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้น เสียชีวิตทั้งหมด 4 คน มี 3 ศพที่ถูกพบในบ้าน อีก 1 ศพถูกพบเหลือเป็นโครงกระดูกหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 3 ปี โดยมีบุคคลไม่ประสงค์นามโทรมาบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตามดู ในคืนวันเกิดเหตุมีเด็กน้อยอีก 3 คนนอนหลับอย่างสนิทภายใต้หนังคาเดียวกันโดยไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องข้าง ๆ และรอดชีวิตมาได้
เอพิโสดนี้ต่างจาก True Crime ทั่วไปคือได้มีการลงพื้นที่จริงค่ะ คือขับไปดูสถานที่จริง ๆ ที่เกิดเหตุขึ้นเลยในเมือง Keddie รัฐ California เลย เรื่องราวและรูปคดีก็แปลกด้วยตัวของมันเอง เนื่องจากเป็นเพียงแค่เมืองเล็ก ๆ ผู้คนไปมาหาสู่กันได้ง่ายและรู้จักกันดี หลายคนเชื่อว่าอาจจะมีการบิดเบือนรูปคดีหรือปกปิดตัวผู้ทำผิดขึ้นด้วย
No.2 : The Grisly Murders of Jack the Ripper
: เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักคดีนี้กันอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกและไม่สามารถตามจับผู้กระทำผิดได้เลย จึงขอข้ามเกี่ยวกับรายละเอียดเบื้องต้นของคดีไปเลยนะคะ ความพิเศษของเอพิโสดนี้คือ นี่เป็นอีกหนึ่งเอพิโสด True Crime ที่ทั้งคู่ลงพื้นที่จริงค่ะ นั่งเครื่องบินไปถ่ายกันถึงที่อังกฤษเลย ชี้ถึงสถานที่ที่เกิดเหตุในแต่ละครั้ง เรียกได้ว่าข้อมูลแน่นและละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ
ถึงแม้จะเป็นคดีที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันอยู่แล้ว เราแนะนำให้ลองไปดูกันนะคะ เนื่องจาก Ryan ค่อนข้างเก่งในด้านการวิเคราะห์และหาทฤษฎีรวมไปถึงหลักฐานมาเล่าอยู่แล้ว พอเป็นคดีใหญ่แบบนี้ทำให้เราได้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวคดีเยอะมากขึ้น ได้ฟังการวิเคราะห์จากหลาย ๆ มุมด้วยค่ะ
No.1 : The Creepy Murder in Room 1046
: เป็นคดีที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนค่ะ แต่ฟังจบแล้วรู้สึกสนใจมาก ๆ ต้องวนกลับมาฟังใหม่เรื่อย ๆ อยู่ตลอดเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนนึงที่เข้าพักในห้อง 1046 และมีพฤติกรรมแปลก ๆ ค่ะ พอแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดก็กำชับเอาไว้ว่าอย่าล็อกประตูเพราะเดี๋ยวเพื่อนเขาจะมาหา ตอนอยู่ในห้องก็ปิดผ้าม่าน ปิดไฟ เปิดเพียงโคมไฟหัวเตียงดวงเดียวแล้วนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง นอกจากนี้ยังเอาสายโทรศัพท์ออก พอพนักงานจะเข้าไปดูประตูก็ถูกล็อก เปิดเข้าไปไม่ได้ จนพอสายโทรศัพท์หลุดอีก พนักงานโรงแรมก็เอากุญแจไขเข้าไปดูในห้อง เห็นห้องเลอะเลือดไปหมด ตัวผู้ชายคนนั้นก็นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ท้ายที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลค่ะ
อยากให้ทุกคนได้ไปฟังเต็ม ๆ นะคะเพราะมีรายละเอียดยิบย่อยที่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกประหลาดขึ้นทุกที ไม่มีหลักฐานที่จะชี้ตัวคนร้ายได้เลย อีกทั้งชื่อของผู้เสียชีวิตที่ใช้เช็คอินที่โรงแรมก็เป็นชื่อปลอมอีก กว่าจะตามหาชื่อจริง ๆ เจอก็นานพอสมควรค่ะ ยกให้เป็นที่ 1 ในใจเราสำหรับซีซั่น True Crime เลย
ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ ยังไงก็ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ :-)
All credits go to BuzzFeed Unsolved Network
— themoonograph
wednesday. 20:46.
may 1, 2019.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in