ก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์สุดหดหู่ที่ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ มากมาย
12 Years a slave เป็นอัตชีวประวัติของ Solomon Northup (โซโลมอน นอร์ธัป) แต่งในปี ค.ศ. 1853 โซโลมอนถูกลักพาตัวและถูกขายเป็นทาส เขาทุกทนทรมานกับการเป็นทาสทั้งหมด 12 ปี จนในที่สุดเขาก็ได้รับอิสรภาพ
กำกับโดย : Steve Mcqueen (สตีฟ แม็คควีน)
เขียนบทโดย : John Ridley ( จอห์น ริดลีย์)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอออกตัวก่อนนะคะว่า ไม่เคยดูหนังประเภทนี้เลย(ฮา) แต่มีรุ่นพี่คนนึงแนะนำให้ดูค่ะ เราก็ไม่รอช้า ดูทันทีหลังจากที่แยกกับรุ่นพี่
ช่วง 10 นาทีแรกที่เราดู เรารู้สึกแย่มากค่ะ ไม่ได้แย่เพราะตัวหนังไม่ดีนะ แต่เรารู้สึกอินกับเนื้อเรื่องที่ปูมามากค่ะ หลาย ๆ คนอาจจะคิดนะคะ ว่าหนังประเภทดราม่าที่อิงชีวประวัติมาคงน่าเบื่อ ตอนแรกเราก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่พอได้ดูเรากลับรู้สึกอินมาก มันเริ่มจากความอิสระเสรีโซโลมอน(ชูอิเทล เอจิโอฟอร์แสดง)มี แล้วก็ค่อย ๆ ดิ่งลงเรื่อย ๆ จนเขามาเป็นทาส แล้วก็ได้รับความเป็นอิสระอีกครั้ง
หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าทาสในสมัยนั้นเป็นยังไง พวกเขาต้องโดนกับอะไรบ้าง ซึ่งทาสในสมัยนั้นก็จะเป็นคนผิวสี ทาสผู้ชายก็ถูกเอาไปแบกหาม ก่อสร้างต่าง ๆ ส่วนทาสผู้หญิงก็จะทำกับข้าว ทำความสะอาด ทาสผู้หญิงบางคนก็ถูกข่มขืนโดยนายจ้างตัวเอง ถ้าทำไม่ถูกใจนายจ้างก็จะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ หรือจริง ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรก็ถูกตีแล้ว
เราแทบไม่อยากเชื่อเลยค่ะ ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึึ้นจริงในช่วงปี1800 มันเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม คนเป็นทาสก็ต้องมาทรมานกับนายทาส ทาสคนไหนได้นายทาสใจบุญมีเมตตาก็ดีไป แต่คนไหนโชคร้าย เจอนายทาสที่โหดร้ายเฆี่ยนตีทาสของตัวเองก็แย่ไป สิ่งที่เราไม่ชอบที่สุดก็คือตรรกะความคิดของคนผิวขาวในสมัยนั้น มันสื่อถึงความไม่เท่าเทียมได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็เลือกที่จะโทษคนผิวสีไว้ก่อนเสมอ และทาสในสมัยนั้นก็เปรียบเสมือน "ทรัพย์สิน" ของนายทาสที่นายทาสจะทำอะไรก็ได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายฉากที่บีบหัวใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นฉากตั้งแต่ 10 นาทีแรก กลางเรื่อง หรือแม้แต่ตอนจบของเรื่องเองก็ตาม ฉากเหล่านั้นมันทำให้เกิดความคิดขึ้นมาในหัวของเราว่า เพียงแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้นเองหรอ ที่ทำให้คนเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ เรียกได้ว่าพอดูหนังเรื่องนี้จบถึงกับจิตตก ต้องหาหนังตลกดูแก้กันเลยทีเดียว
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่นอกจากหนังเรื่องนี้จะถ่ายทอดความโหดร้ายของคนสมัยนั้นที่มีต่อทาสผิวสี และการทารุณกรรมต่าง ๆ แต่หนังเรื่องนี้ยังแสดงถึงความหวังความหวังและมิตรภาพของทาสเองด้วย เช่น ตัวโซโลมอนเองที่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาของตัวเอง เขาเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ เพื่อที่จะได้กลับไปหาครอบครัวของเขาอีกครั้ง มีหลายฉากมากที่เพื่อน ๆ ร่วมชะตากรรมของเขาคิดที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง พูดต่าง ๆ นานา ว่ายังไงก็ไม่รอด แต่โซโลมอนก็ไม่ยอมแพ้ และสุดท้ายเขาก็เอาชนะมันได้ มันทำให้เราคิดนะคะ ว่าคุณโซโลมอนพบเจอความลำบากมามากขนาดนั้นยังผ่านมาได้ เราเองถ้ามีความอดทนต่อปัญหานั้น ๆ ก็จะสามารถก้าวผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้เหมือนกัน
และแน่นอนค่ะ ด้วยคุณภาพของตัวหนัง ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก จึงได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายเช่น "ภาพยนตร์ได้รับรางวัลออสการ์สามรางวัล ได้แก่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์ผิวดำเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว), สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (สำหรับลูปิตา ยองโง) และสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (สำหรับจอห์น ริดลีย์) นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดราม่าและรางวัลบาฟต้าสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (สำหรับชูอิเทล เอจิโอฟอร์)"
อ้างอิงจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%81_%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%99
Score : 8/10
สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับทาส หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่แนะนำเลยค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ไว้คราวหน้าเจอหนังดี ๆ จะมารีวิวให้ฟังอีก เจอกันค่ะ ☻
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in