วิชาการสรุปใจความสำคัญ 101
...เราสาบานว่าเราพิมพ์ข้อความข้างบนออกมาโดยที่ไม่เปิดกูเกิ้ลดูเลย พิมพ์ออกมาจากการฟังคุณครูที่กล่าวรายงานในพิธีไหว้ครูของโรงเรียนเมื่อเช้าวันนี้เอง ไม่รู้ว่าครบถ้วนรึเปล่า แต่คิดว่าใจความมันก็เท่านี้นะ จากที่ทำมาทุก ๆ ปี สมัยเป็นนักเรียน
เราเคยถือพานไหว้ครูด้วยนะ... สมัยอนุบาล ยังมีรูปอยู่เลย แค่ปีเดียวนั่นแหละ หลังจากนั้นก็ไม่เคยอีก
ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าทำไม ตอนอนุบาลปีที่เราเคยถือนั้น เราน่ารักมากเลยนะ เป็นเด็กผู้หญิงผมยาวหน้าม้า มัดแกะสองข้างที่น่ารักมาก ๆ แถมยังเป็นลูกครูอนุบาลในโรงเรียนอีก ตอนกีฬาสีก็ได้เป็นดรัมมิเยอร์ ก็ไม่แปลกใจที่ได้เป็นอ่ะ คือเราว่าเราน่ารักมากจริง ๆ แต่ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่เราได้เป็นเด็กกิจกรรมในตอนนั้น หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เป็นอีกเลย ไม่ว่าจะตอนประถม มัธยม หายไปเลย
ข้อเดียวที่ยังเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก มาถึงปัจจุบันคือ...
แม่เรายังเป็นครูอนุบาลที่โรงเรียนนี้อยู่ และคงเป็นไปถึงปีหน้าปีสุดท้าย เพราะถึงเวลาเกษียณ...
ชีวิตช่วงอนุบาลมันสั้นแหละเนาะ จำอะไรแทบไม่ได้ เอามาเปรียบเทียบกับตอนนี้ไม่ได้หรอก
ตอน ป.6 เราเคยมีครูในดวงใจ 1 คน เป็นครูประจำชั้นเราตอนนั้นเอง
ตลอดเวลาแห่งการเรียน เราแทบไม่ได้หรอกว่าครูเค้าสอนอะไรในวิชาของเค้าเค้าพูดอะไรกับเราบ้างในการเป็นครูประจำชั้น
เราจำได้แค่ว่า ครูเป็นครูประจำชั้น สอนวิชาภาษาอังกฤษ และเป็นครูที่ใส่ใจเรามาก ๆ เลย
จำไม่ได้จริง ๆ ว่า 1 ปีที่เป็นเด็กประจำชั้นของครูคนนี้ มันมีเรื่องอะไรบ้าง หน้าเพื่อนเรายังจำแทบไม่ได้แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในความทรงจำเรื่องนี้คือ ครู "ใส่ใจ"
ใส่ใจเราที่ตอนนั้นไม่เคยสอบได้ที่ต่ำกว่า 30 เลย ครูก็หาวิธีให้เราอยากเรียน จนเราสอบได้ไม่เกิน 20 เราลายมือไม่สวย แต่ลายมือครูสวยมาก ไม่รู้ว่าไปไงมาไง แต่สักพักเรารู้สึกว่าเราลายมือเหมือนครูเลยเราไม่เคยได้ไปเที่ยว ไปดูหนังกับเพื่อน และการขอพ่อแม่ตอนนั้นยากมาก และเหมือนจะไม่ให้ไป
เราก็เลยเอาเรื่องนี้ไปพูดในห้องกับเพื่อน และรู้ว่าครูประจำชั้นเราได้ยินที่เราพูดด้วย พูดแนวว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ปล่อยให้เราไป เราจะเป็นเด็กมีปัญหานะ อะไรเทือกนี้ คิดแล้วก็ตลกดี จำไม่ค่อยได้เลยว่าไปพูดยังไงบ้าง รู้แต่ว่า ตอนนั้นเรามั่นใจว่าถ้าครูของเราได้ยิน มันต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแน่ ๆ
วันต่อมา เราเห็นครูไปคุยกับแม่เราตอนเช้า แล้วหลังจากนั้น แม่ก็อนุญาตให้เราไปดูหนังได้
เจ๋งใช่ป่ะล่ะ...
คือเราเป็นเด็กเรียนปานกลางนะ ไม่ดี แต่ก็ไม่ได้แย่ชนิดที่อ่านไม่ออก แค่เรียนไม่รู้เรื่องอ่ะ
เหมือนตอนนั้นเราไม่รู้วิธีการเรียน ว่าเรียนคืออะไร เรียนไปทำไม ? แต่ครูให้เราไปนั่งข้างคนที่เรียนอ่อนกว่าเรา ช่วยอ่านให้เค้า พาเพื่อนคนนี้เขียน พาเรียน จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันตอนนั้น
เราเริ่มรู้สึกว่าเก่งขึ้นมาบ้าง แบบเออ ฉันมีดีว่ะ
สังเกตมั้ยว่าเด็กเรียนปานกลางมักจะไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของครูเท่าไหร่
นี่พูดจากสถานะการเป็นครูเองเหมือนกัน เรามักจะจำเด็กเรียนปานกลางไม่ได้
แต่จะจำเด็กเรียนเก่งมาก ๆ กับเด็กที่ดื้อมาก ๆ แบบไม่เรียน เกเร มีปัญหาได้แม่นเลย
และเด็กปานกลางก็มักจะชินกับการถูกละเลยแบบนั้น...
ครูประจำชั้นเราตอน ป.6 คนนี้ เราจำเนื้อหาที่ครูสอนเราไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงเรียนกับครูคนนี้แต่เราก็ไม่ได้เก่งอังกฤษขึ้นเลยในช่วงนั้น
แต่สิ่งที่เราจำได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับครูคนนี้คือ "ความใส่ใจ" ที่เค้ามีต่อเราจริง ๆ
ความใส่ใจ ทำให้เรารู้สึกมีค่า แม้จะยังไม่สามารถเรียนเก่ง เป็นอันดับของทุกอย่าง
แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากทำให้ครูคนนี้ผิดหวัง....
ถ้าในพิธีไหว้ครูเมื่อไหร่ เราก็จะนึกถึงความใส่ใจนี้... มันเรียกว่า "ความเมตตา" ได้มั้ยนะ
จริง ๆ เนื้อหาที่ตั้งใจไว้ใน EP2 ไม่ใช่เรื่องการไหว้ครูหรอก แต่พอดีวันนี้มีงานไหว้ครูที่โรงเรียนพอดี และนี่เป็นปีแรกของการเป็นครูมา 3 ปี ที่เราได้ไปนั่งให้เด็กไหว้
เราไม่ใช่ครูประจำชั้น เป็นครูพิเศษ แต่ได้เป็นครูเมทของครู ป.2 พอดีที่ผ่านมาก็เป็นครูเมทแหละ แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับคนเข้าร่วมบ้าง คาบสอนที่ตรงบ้าง ยิ่งตอนปีแรก... ปี 61 อ่ะ ตอนนั้นเราว่าง และตรงกับคาบที่เด็กที่สอนต้องเข้าร่วมพิธีพอดีเราไปร่วม ไปช่วยดูแล แต่ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปนั่งให้เด็กไหว้หรืออะไร เราไม่กล้า ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราเพิ่งมาเป็นครูของเค้า ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเลย เรายังไม่คู่ควรกับที่ตรงนั้น
แล้วมันก็ผ่านมา 3 ปี...
ปีนี้ ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองคงไม่ได้เข้าร่วมพิธี เพราะไม่ได้ใส่ผ้าถุงมา แต่ครูประจำชั้นร่วมบอกเราว่าชุดที่เราใส่มาก็ได้อยู่นะ ไม่ต้องคิดมาก แค่เด็กไหว้เราก็พอ...
อืม... แค่เด็กไหว้เราก็พอ
ขออนุญาตบันทึกไว้เป็นนาทีประวัติศาสตร์เลยได้มั้ยครั้งแรกที่เห็นเด็กถือพานมาไหว้เรา...
แงง ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงดีเลย
ไม่ว่าจะเพราะพวกเค้ายังเกร็ง ยังเขิน หรือเพราะยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไหว้ไปทำไม
ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของพวกเค้าเลยด้วย
ตอนที่เราไหว้ครู เราก็ยังจำไม่ได้เลย ว่าเรามีความรู้สึกอะไรร่วมกับพิธีมั้ย
แต่คนที่เป็นครูตอนนี้ บอกได้เลยว่ารู้สึกแน่นอน รู้สึกมาก ๆ
อยากบอกพวกเค้าว่า ไม่เป้็นไรนะคะ ที่ยังไม่เข้าใจตอนนี้ แต่ครูสัญญานะ ว่าจะพยายามเป็นครูที่มีเมตตากับพวกหนูให้มากที่สุด
โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันนึง... พวกหนูจะจำครูได้
แม้ไม่ใช่ในฐานะครูที่สอนดีที่สุด แต่เป็นในฐานะครูที่หวังดีต่อหนูที่สุดก็ได้
เราจะทำได้ไหม ?
จะทำให้เด็กรับรู้ถึงความเมตตา ความใส่ใจ ความปรารถนาดีต่อพวกเขาได้มั้ย ทำยังไงบ้าง พวกเค้าถึงจะรับรู้ และจดจำเราแบบนั้นได้
นี่คือสิ่งที่คนเป็นครูต้องรับผิดชอบตัวเองต่อคำถามนี้... เป็นความคาดหวังต่อตนเอง
ต่อตัวของเราเอง...
นี่คือมาตรฐานที่เราตั้งเราจะรู้สึกว่าเรามีค่า และชีวิตของเราไม่ใช่ loser ในเรื่องของการทำงาน
ถ้าเราทำสิ่งนี้สำเร็จ...
แต่วันนี้ เป็นเรื่องแย่ ๆ ของ EP2 ที่เรากำลังรู้สึกตอนนี้...
คือเราไม่รู้สึกถึงคุณค่าในงานของตัวเองตอนนี้เลย
มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างในงานที่เราทำ ที่เรารู้สึกว่า ผู้เรียนกำลังโดนเอาเปรียบ
ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยมาจากตัวเราเอง หรือปัจจัยภายนอก ถ้าอยากเรียกว่าเป็นอุปสรรคภายนอกก็ได้ เอาที่สบายใจ อุปสรรคที่ขัดขวางผู้เรียนจากการได้เรียนอย่างเต็มที่ สิ่งที่พวกเค้าสมควรได้รับ
และเราก็ทำให้พวกเค้าไม่ได้... ในตอนนี้
โควิดเหรอ
โควิดมันเป็นอุปสรรคภายนอก
แต่ผลกระทบของมันบางอย่าง ส่งผลต่อปัจจัยภายใน
สำหรับเรา เรารู้สึกว่า ปัจจัยบางอย่าง ถ้าเราจัดการเป็น
เราสามารถทำให้มันไม่ใช่อุปสรรคก็ได้... ในยุคที่ทุกฝ่ายกำลังเดือดร้อนกันหมด
ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการ หรือผู้รับบริการ
สำหรับตอนนี้ ในอาชีพที่จั่วหัวว่า "เห็นผู้เรียนเป็นสำคัญ" ต้องต่อสู้อย่างย้อนแย้งกับ ...
อะไรหลายอย่าง ... ที่ตรงกันข้ามกับการเห็นความสำคัญของผู้เรียนเป็นหนึ่ง
ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่งั้นผู้ให้บริการอย่างเรา ก็จะอยู่ไม่รอด ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
อือ... อ่านดูแล้วเราโคตรใช้คำอ้อมเลย อ้อมมาก ๆ อ้อมมากจริง ๆ
อยากจะพูดเหมือนกันว่า ไม่ได้ตัดสินอะไรใคร แต่บางอย่างก็ย้อนแย้งเกินกว่าจะรับไหว
เรื่องที่เราเล่าให้ฟังว่าตอนแรกเราลายมือไม่สวยอ่ะ แต่ครูประจำชั้นเราลายมือสวย ครูทำให้เราดู พาเราเขียน สักพักเราเริ่มอยากเขียนสวยเหมือนครู แล้วลายมือเราก็สวยเหมือนครูเลย...
มนุษย์เราจะมีการซึมซับคนรอบข้าง ได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง จึงสร้างพฤติกรรมเลียนแบบคนรอบข้าง ถ้าพฤติกรรมเหล่านั้นมีให้เห็นเป็นจริง ไม่ใช่แค่คำพูด...
ที่เราจะบอกตอนนี้ก็คือ อะไรก็ตามที่บอกเราว่า "เสียสละนะ" "ช่วยกันนะ" "ทำเพื่อโรงเรียนนะ"
แต่ในรายงาน ในจุดประสงค์ของการเขียนแผนการสอน การประเมินตนเองต่าง ๆ กลับมีคำที่บอกว่า "ทำเพื่อผู้เรียนเป็นสำคัญ"
คือสรุปแล้วต้องยังไงอ่ะ เมื่อสิ่งที่บอกให้ทำเพื่อโรงเรียน บางอย่าง ไม่ใช่ทำเพื่อผู้เรียน "เป็นสำคัญ"เลย !
จะให้เราซึมซาบเรื่องอะไรดี ในเมื่อเราเลียนแบบอะไรจากตรงนั้นไม่ได้เลย มันไม่มีอะไรให้เราเห็นเลย
คำว่าเสียสละเหรอ...
ถามกลับได้มั้ยว่าสรุป อาชีพนี้... เราทำเพื่อใครนะ
ถ้าตอบว่าก็ นักเรียนแหละ แต่เราก็ต้องทำเพื่อปากท้องตัวเองด้วย
งั้นนี่ขออนุญาตพูดจริง ๆ ว่า แล้ว
การไหว้ครู
ที่บอกว่าเป็นพิธีการให้เด็กมาแสดงความเคารพกตัญญูต่อครูอ่ะ
ไม่จำเป็นก็ได้มั้ง
เพราะยังไงเราก็ต่างคนต่างทำธุรกิจกัน เด็กจ่ายเงินเรา เราสอนเด็ก
ไม่เห็นมีอะไรต้องมากตัญญูกันเลย ใส่ผ้าถุง หรือไม่ใส่ เราก็ทำธุรกิจกับพวกเค้าอยู่แล้วอ่ะ
เป็นความสัมพันธ์แบบ win - win ทั้งคู่แหละมั้ย
ถ้าเด็กเค้าตั้งใจเรียน เค้าก็ได้ ถ้าไม่ตั้งใจ ก็เรื่องของเค้า เค้าจ่ายเงินมาแล้ว เราก็แค่ทำหน้าที่สอนไป
เออ... ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรโทษเด็กแล้วนะ ว่าทำไมเค้าไม่ฟัง เค้าไม่สนใจ เค้าไม่ให้ความสำคัญกับพิธีนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in