‘ที่ชิคาโก้อากาศเย็นเหมือนกับที่นี่หรือเปล่า’
‘ถ้าเป็นหน้าหนาวก็เย็นเหมือนกันนั่นแหละอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ’
‘ไม่ดีเลยเนอะ.....ชาไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย’
‘จะกลัวอะไร’
‘มีพี่ให้กอดทั้งคน’
.
.
.
บนสนทนาเก่าๆไหลเวียนเข้ามาในหัวยองโฮไม่หยุดเหมือนกับคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่งคลื่นลูกหนึ่งซัดเข้ามาและจากไปในเวลาไม่ถึงหน่วยนาทีคลื่นลูกใหม่ก็ประเดประดังซัดเข้ามาอีกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกมันว่าความทรงจำที่สวยงามได้หรือไม่ในเมื่อมันถูกสร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้ว นานเสียจนเลือนลางเหมือนกลุ่มหมอกในหน้าหนาวคำว่านานในที่นี้อาจไม่กินเวลามากนักถ้านับตามหน่วยปีแบบมนุษย์โลกทุกคนนับกันแต่มันช่างจะสุดแสนยาวนานในห้วงหัวใจของเขา
ช่วงนี้อากาศที่ชิคาโก้ไม่น่าพิศมัยมากนักเนื่องจากหิมะที่ตกตลอดทั้งวันจนกองทับถมกันบนท้องถนนที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้สัญจรอีกทั้งอากาศที่เย็นลงทุกวันๆจนถึงขั้นติดลบเป็นเลขสองหลักสองข้างทางรวมถึงบนยอดไม้และหลังคาบ้านขาวโพลนบางบ้านมีตุ๊กตาปั้นตัวไม่น้อยไม่ใหญ่หน้าตาพิลึกพิลั่นตั้งอยู่บางบ้านมีรอยหิมะยุบคล้ายรูปโบว์สีแดงที่ใช้ตกแต่งบนต้นคริสต์มาสเดาได้ไม่ยากเลยว่าต้องมีเด็กซนๆซักคนออกมานอนเล่นบนกองหิมะนี่แน่ๆสำหรับยองโฮแล้วเรื่องสภาพอากาศแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นพิษภัยเท่าไหร่ แหงสิตราบใดที่ยังมีฮีตเตอร์น่ะ แต่ถ้าเป็นอีกคนแล้วละก็รับรองต้องบ่นไม่หยุดแน่ๆเด็กคนนั้นต้องบ่นไปเอามือถูกันไปไม่หยุดแล้วถ้าเขาบ่นว่าหนาวแล้วล่ะก็...ต้องดึงโค้ทตัวเองมาคลุมให้เลยล่ะเจ้าตัวน่ะไม่เคยจะรับรู้เลยด้วยซ้ำว่าโค้ทของตัวเองไม่ได้ทำให้ตัวเขาอุ่นขึ้นแต่อย่างใดจริงๆแล้วมันไม่สามารถให้ความอบอุ่นแม้กระทั่งกับนกตัวเล็กๆสักตัวได้เลยด้วยซ้ำแต่การที่เจ้าเด็กหน้าคล้ายกระต่ายคนนั้นขยับเข้ามาใกล้ๆต่างหากที่ทำให้เขาอุ่นขึ้น.....หมายถึงที่ใจนั่นแหละ
นี่ก็ล่วงเข้าปีที่4 แล้วที่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ จะว่าอยู่ตามลำพังก็ไม่ถูกเสียทั้งหมดเขายังอาศัยอยู่บ้านของพ่อกับแม่แต่เพียงแค่พ่อกับแม่เขาย้ายไปอยู่รัฐอื่นในประเทศนี้แทนและนานๆทีถึงจะบินหอบของฝากมาเยี่ยมเยียนและพักผ่อนราวๆ2-3 วัน ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา ชิคาโก้,อิลลินอยส์,
เราสองคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลาที่ผันผ่านจนเข้าปีที่สองที่รู้จักกัน เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของเด็กคนนั้นในวันปีใหม่เกาหลีจริงๆแล้วด้วยความที่เขาอยู่ที่อเมริกามาทั้งชีวิตวันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาทั่วไปวันหนึ่งแต่บางทีเด็กนั่นอาจจะคิดว่าการที่เขาไม่ได้อยู่กับครอบครัวในวันปีใหม่แบบนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสารและน่าเห็นใจอีกทั้งคงกลัวเขาจะไม่ได้ทานซุปเค้กข้าวอร่อยๆในวันปีใหม่แล้วอายุจะไม่ยืนไปถึงสิ้นปีละมั้งถึงได้ชวนและคะยั้นคะยอให้เขามาข้างที่บ้านให้ได้ครอบครัวของดงยองเป็นครอบครัวเล็กๆที่มีกันอยู่ทั้งหมด 4 คนนั่นคือพ่อ แม่พี่ชายและเจ้าตัวต่างกับครอบครัวเขาที่วันหยุดทีไรต้องมีการรวมญาติที่ยิ่งใหญ่จนวุ่นวายและปวดหัวไปหมดแต่ที่น่าแปลกก็คือพี่ชายของเจ้าเด็กนั่นก็ตัวหนาและมีกล้ามเนื้อแบบผู้ชายทั่วๆไปทำไมน้องชายถึงได้ตัวลีบแบบนั้นกันนะ
หลังจากการพักผ่อนและทานซุปข้าวในวันปีใหม่เกาหลีเป็นที่เรียบร้อยเราสองคนก็ได้ไปเที่ยวสวนสนุกชื่อดังของเกาหลีในวันถัดมาเพราะข้อตกลงที่ยองโฮได้สัญญาเอาไว้การสอบติดมหาวิทยาลัยที่หวังแลกกับตั๋วฟรีเข้าสวนสนุกถึงแม้เด็กนั่นอยากจะเรียกร้องอะไรที่เป็นดูเป็นเงินและจับต้องได้มากกว่านี้ก็ตามแต่พอมีตัวเลือกให้เลือกแค่ระหว่างสวนสนุกกับสวนสัตว์เท่านั้นจึงได้ข้อสรุปในทันทีแหงล่ะ เด็กนั่นกลัวสัตว์อย่างกับอะไรดี แต่ก็ไม่วายเปิดปากบ่นตั้งแต่ก้าวแรกที่แตะสวนสนุกอยู่ดี
.
.
.
‘คนเยอะมากเลยอ่ะมีแต่เด็กๆ นี่พี่เห็นผมเป็นเด็กหรือไง!’
‘สวนสนุกใครๆก็เล่นได้ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นเด็กเลย’
‘ไม่เห็นจะน่าสนุกเลยซักนิดเดียว’
‘ลองเล่นแล้วหรือไงเล่า’
ถ้าถามว่าวันนั้นมีความสุขมากขนาดไหนยองโฮคงอธิบายออกมาไม่ได้เลยล่ะก็การที่เขาได้แกล้งดงยองมันมีความสุขมากๆไม่ว่าจะเป็นการที่เขาชวนเด็กนั่นเข้าบ้านผีสิงแล้วแกล้งปล่อยมือที่จับกันไว้ออกจนดงยองถึงกับร้องหาแม่เสียงหลงการที่เขาหลอกล่อเด็กนั่นไปขึ้นรถไฟเหาะแล้วดงยองก็เอาแต่พูดว่ากลัวจนต้องเอาหน้ามาซบกับไหล่เขาไว้ตลอดเวลาหรือการที่เขาชวนเด็กนั่นไปเต้นกับตัวการ์ตูนมาสคอตของสวนสนุกจนอีกคนเบ้หน้าออกมาพร้อมๆกับเต้นไปด้วยกันกับเขาแต่แล้วก็ยอมหัวเราะออกมาทีหลังเมื่อเขาทำท่าเต้นที่บ้าๆบอๆออกมามันมีความสุขล้นจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดเลยล่ะ
.
.
.
‘จริงๆแล้วที่นี่ก็สนุกดีเหมือนกันเนอะ’
‘สนุกสิสนุกมากๆเลยล่ะ’
‘แหงล่ะก็พี่เอาแต่แกล้งผมนี่’ จะรู้ตัวมั้ยนะว่าใบหน้าเล็กๆเวลาขมวดคิ้วและทำหน้ายุ่งๆแบบนั้นมันน่ารักขนาดไหนในสายตาของยองโฮคนนี้ถ้าหยุดเวลาได้ เขาอยากให้มีวันนี้ตลอดไปเลยล่ะ ไม่ต้องมีเมื่อวานไม่ต้องมีวันต่อๆไป มีเพียงวันนี้ก็เพียงพอแล้ว
‘ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองน่าแกล้งขนาดไหน’
‘ไม่!พี่ต่างหากที่ขี้แกล้ง’
ความสัมพันธ์เราเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งๆที่จริงๆแล้วเราทั้งสองคนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราทั้งสองต่างบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างสนิทใจไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะกอดเขาไว้ในอ้อมแขนในช่วงเวลากลางดึกเพียงเพราะเขาฝันร้ายไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ห้องของผมเต็มไปด้วยของของอีกคนและห้องของเขาก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของผมเรามักจะไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันทุกวันศุกร์จับมือกันและเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางในสวนสาธารณะริมแม่น้ำผมมักจะชวนเขาเข้าไปร่วมวงเล่นกีฬากับเด็กๆแถวนั้นเสมอ เขาจะชอบบ่นเพราะเขาไม่ชอบออกกำลังกายซึ่งผมน่ะตอนแรกก็ใจแข็งแต่ก็มักจะใจอ่อนเสมอเมื่อเขาเข้ามาออดอ้อนพร้อมกับบอกว่าง่วงนอนเนื่องจากล่วงเข้าเวลานอนของเขาแล้วเราอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แชร์ทั้งทุกข์และสุขให้กันและกันความสัมพันธ์ของเราไม่มีชื่อเรียก ทั้งผมและเขาต่างฝ่ายต่างไม่ได้เรียกร้องอะไรจากความสัมพันธ์นี้ตอนนั้นผมเอาแต่เพียงคิดว่าแค่เรามีกันและกันแบบนี้ตลอดไปในทุกๆวันมันก็มากพอเกินกว่าผู้ชายคนหนึ่งจะต้องการ
.
.
.
‘พี่ยองโฮ’ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแต่หันไปมองใบหน้าเขานิ่งๆ
‘ที่ชิคาโก้อากาศเย็นเหมือนกับที่นี่หรือเปล่า’เขาถามในวันหนึ่งที่เรายืนอยู่ด้วยกันที่จุดชมวิวของนัมซานทาวเวอร์ช่วงหน้าหนาววันที่หิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบปี
‘ถ้าเป็นหน้าหนาวก็เย็นเหมือนกันนั่นแหละอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ’ ผมตอบ พร้อมกับจับมือเล็กที่ถู
กันไปมาใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทตัวโปรด
' ไม่ดีเลยเนอะ .... ชาไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย'
‘จะกลัวอะไร’ ความเงียบถาโถมเข้าสู่เราทั้งสองน่าแปลกที่ผมไม่แม้แต่จะรู้สึกอึดอัด
‘มีพี่ให้กอดทั้งคน’
‘ใครจะให้พี่กอดกันเล่า!’เขาโวยวาย หันมาแยกเขี้ยวใส่ผมทั้งๆที่ใบหูและหน้าแดงก่ำ การกระทำแบบนั้นมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดกลับกันเสียอีก การกระทำแบบนั้นน่ะน่ารักมากๆเลยล่ะ
ทั้งเขาและผมไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าคืนนั้นจะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้ไปเดินเล่นด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มีโอกาสจับมือเรียวเล็กของเขาไว้ เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมและเขาจะได้พูดคุยกันอย่างสนิทใจถัดจากคืนนั้นเป็นวันที่ผลการรับคัดเลือกเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทของผมถูกส่งมาที่ห้องเขาและผมเปิดมันขึ้นมาดูด้วยกันด้วยความสงสัยผมได้รับการคัดเลือกให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาจริงๆแล้วผมควรจะดีใจด้วยซ้ำที่จะได้กับบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมาแต่ตอนนั้นที่เกาหลีก็เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผมไปแล้วผมตัดสินใจที่จะปฏิเสธโดยการให้เหตุผลว่าอยากทำงานหาประสบการณ์ก่อน แต่จริงๆแล้วผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้นานที่สุดผมกับเขาทะเลาะกัน เราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เราไม่เคยไม่เข้าใจกันผิดกันกับครั้งนี้ เราต่างคนต่างไม่เข้าใจ ผมในตอนนั้นไม่เข้าใจเด็กคนนั้นเลยเรื่องการไปเรียนต่อของผม ณ ตอนนั้นยังไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญมากนักผมเอาแต่คิดว่าถ้าพลาดมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยผมก็จะได้ใช้ระยะเวลา 2 ปีที่จะต้องไปเรียนต่อไปกับการใช้เวลาอยู่กับเขาให้เต็มที่แต่เขาไม่เข้าใจความคิดนี้ของผมเขาคิดแค่เพียงว่าไม่ว่ายังไงผมก็ต้องมีอนาคตที่ดีและสดใสแม้อนาคตข้างหน้านั้นจะไม่มีเขาอยู่เด็กคนนั้นยังเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นไม่เปลี่ยนแต่คนที่เปลี่ยนไปคงจะเป็นตัวผมเอง ผมที่อยากให้เขาลองเห็นแก่ตัวสักครั้งเพียงแค่เขาบอกสิ่งที่ต้องการ ผมก็พร้อมจะทำให้เสมอ
ดงยองป่วยเขาไม่เคยบอกผมว่าป่วยด้วยโรคอะไร อาการเป็นอย่างไรผมรับรู้มาเสมอว่าเขามีปัญหาทางสุขภาพ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้สักนิด
.
.
4 ปีผ่านไป ยองโฮในวัย24 ปียังคงเป็นคนเดิมในวัย 19 ปี ช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับดงยองไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปเท่าไหร่ความรู้สึกก็ยังคงเดิมอยู่เสมอ
วันนี้วันที่ 30พฤศจิกายน เป็นวันเดียวกับวันหิมะแรกในปีนั้น ปีที่ผมกับเขาได้ขึ้นไปดื่มด่ำบรรยากาศวันแรกของหน้าหนาวบนยอดเขานัมซานเพียงแต่ในปีนี้เป็นวันที่ผมได้รับจดหมายจากครอบครัวเขาอีกครั้งหลังจากที่ขาดการติดต่อกันมานานเป็นวันเดียวกันกับวันที่ผมได้รับรู้ว่าจะไม่มีเด็กคนนั้นคอยเรียกชื่อผมอีกต่อไปแล้วไม่ใช่แค่ 4 ปี แต่เป็นตลอดไป .....
เด็กใจร้ายคนนั้นมักจะฉลาดเสมอเขารู้วิธีบ่ายเบี่ยง เขารู้วิธีที่จะกีดกันผมไปห่างๆเขารู้วิธีที่จะเก็บความเจ็บปวดไว้คนเดียวและแสดงแต่ด้านที่ความสุขออกมาเขารู้วิธีที่จะไล่ให้ผมไปมีอนาคตที่ดี ผมต่างหากที่โง่งมหลงเชื่อคำพูดที่เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร ผมช่างเขลานักดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นเอาแต่พูดคำพูดที่ทำให้ผมสบายใจตอนนี้ทุกอย่างดูจะสายไปเสียหมด ตอนนี้ผมเข้าใจและรับรู้ทั้งหมดแล้วว่าเด็กคนนั้นรักและหวังดีกับผมมากแค่ไหนเขาอยากให้ผมประสบความสำเร็จ เขาอยากเห็นผมได้ทำตามความฝันของตัวเองเขาคงกลัวว่าถ้าเขาเห็นแก่ตัวอีกสักนิดมันจะทำให้ชีวิตผมลำบากและต้องติดอยู่กับเด็กที่ป่วยไม่มีวันหายตอนนี้ผมไม่โทษเขาแล้ว ผมโทษตัวเองที่เอาความโมโหมาบังตาผมโทษตัวเองที่ไม่ได้แม้แต่จะพยายามหาทางเพื่อจะกลับไปดูแลเด็กคนนั้น
.
.
.
ตอนนี้เจ้าเด็กกระต่ายนั่นจะเป็นอย่างไรบ้างนะผมได้แต่คิดและภาวนาให้ที่ตรงนั้นอย่าได้มีอากาศที่หนาวเย็นผมอยากให้ที่ที่เขาอยู่เป็นที่ที่อบอุ่น เด็กคนนั้นขี้หนาว กลัวว่าถ้าไม่มีใครคอยกอดเขาไว้เขาคงจะทรมาน
.
.
.
‘พี่ร้องไห้ทำไมเนี่ย’เขาถาม ในวันที่เราสัญญาว่าจะแต่งงานกัน
‘เกิดเสียใจขึ้นมาหรือไงที่ผมตอบตกลง!’เขามุ่ยหน้าซึ่งมันถามให้เขาเหมือนกับกระต่ายขี้รำคาญไม่มีผิด
‘พี่แค่ร้องไห้เฉพาะตอนที่มีความสุขต่างหาก’ผมตอบ
.
.
.
วันนี้ผมร้องไห้
และวันนี้ผมไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่นิด
TALK : กาวมากค่ะคุณแม่ เนื่องจากโมเม้นจอนโดมีมาหน้าไทม์ไลน์บ่อยมากจนทนไม่ไหว เชิญติชมกันได้เต็มที่ค่ะ
ด้วยรัก
จาก เจ้าชายซอ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in