สำหรับโรงเรียนอิตาเลียน 1 ที่นี่ค่ะ > EP.3 อิตาเลียนเฟิร์สไทม์ย์ว์ส์
โรงเรียนของเรามีพื้นที่ไม่มากค่ะ มีโรงยิมมีห้องสมุด มีห้องคอม เบียดๆกันอยู่ไปหมด นักเรียนก็น่าจะมีไม่ถึงพันคน แต่ละห้องก็มีอย่างมากแค่ 30 คน ใกล้สถานีรถไฟ ใกล้บ้านเราด้วย
เปิดประตูบ้านมาก็ จ๊ะเอ๋โรงเรียนเลย เรียนจันทร์ถึงเสาร์ค่ะ แปดโมงถึงเที่ยง อย่างมากก็บ่ายโมง
แต่บางโรงเรียนในอิตาลีก็เรียนถึงศุกร์แต่จะเลิกเรียนบ่ายสามทุกวันก็มี
ฟังดูอาจจะทรมานที่เรียนถึงเสาร์
ก็คงทรมานสำหรับเพื่อนอิตาเลียนที่เรียนอ่ะนะคะ ส่วนเราก็มาผลาญเวลาเล่นแค่นั้นแหละค่ะ ไม่ได้มาหาความรู้ใดๆทั้งสิ้น
ถ้าเปรียบเทียบให้เป็นสำนักฝึกจอมยุทธ์ท่านอาจารย์ก็คงจะเฉดหัวเราออกจากสำนักตั้งแต่วันแรกที่ไปเรียน
ถ้าไม่เขียนถึงเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วเพราะวันๆชีวิตน่าเบื่อมาก การได้ไปโรงเรียน(แต่ไม่เรียน)เป็นความสุขอย่างนึงของเรา แล้วยิ่งพอได้เปลี่ยนคลาสด้วย ยิ่งสนุกขึ้นไปอีก
โดยปกติ วิชาที่โรงเรียนก็จะวนอยู่ที่ปรัชญาละติน จิตวิทยา ฟิสิกส์ คณิต อังกฤษ อิตาเลียน พละ
ซึ่งที่พูดมา เราเรียนแค่อังกฤษกับพละอย่างเดียว...
แต่ด้วยความที่กรอกลงไปในเอกสารขอเรียนฝรั่งเศสด้วย เพราะกลัวจะลืมฝรั่งเศส
ที่ไทยเรียนศิลป์ฝรั่งเศสค่ะ ถ้ากลับไปแล้วลืมนี่ซวยเลย เลยได้ไปเรียนฝรั่งเศสพื้นฐานกับห้องปีหนึ่ง
ซึ่ง....
จะทำให้ตัวเองลำบากทำไม!!!
การเรียนฝรั่งเศสมีเพิ่มแต่ความบั่นทอนจิตใจและสมอง
นอกจากต้องใช้สมองเพื่อจำอิตาเลียนแล้ว ยังต้องมาจำฝรั่งเศสอีก ยิ่งเป็นคนแรมต่ำต้องลบฝรั่งเศสที่พอมีเท่าหางอึ่งออกแล้วจำอิตาเลียนแทน
ผลปรากฏว่าการเรียนฝรั่งเศสของเราไม่ส่งผลอะไรเลย ไม่รู้เรื่อง และโง่เพิ่มไปอีก
การเรียนภาษาที่นั่นเค้าจริงจังมากค่ะ เข้าไปคาบแรกไม่มีใครพูดอิตาเลียนเลย เด็กปีหนึ่งรัวฝรั่งเศสฉอดๆๆโต้ตอบกับอาจารย์ได้ในขณะที่ตัวเรายังจำวันเดือนและตัวเลขฝรั่งเศสไม่ได้ด้วยซ้ำ…
แนะนำสำหรับ คนที่เรียนสายศิลป์ภาษาแล้วกลัวลืมแล้วมาประเทศภาษาอื่นๆ ถ้าไม่ขยัน ก็อย่าเพิ่มภาระให้ตัวเองเถอะค่ะ คนเราจะจับปลาสองมือไม่ได้ ฮือ เลือกเรียนภาษาที่จำเป็นต้องใช้ตอนนั้นก่อนเถิด
แต่ใครเก่งเราก็ขอชื่นชมและอวยพรให้ท่านโชคดีกับการเรียน multi-language นะคะ ฮ่าๆ
สรุปก็คือโรงเรียนก็เหมือนการไปนั่งผลาญเวลาเล่นมากกว่าแล้วก็เอาเวลาทั้งหมดที่มีไปถามเพื่อนแทนว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร หล่อจังเลย #ค่ะ
และหลังจากที่ได้ตารางเรียนใหม่มาตอนนี้ได้เรียนกับทุกชั้นปีเลย เพื่อนเด็กกว่า เราก็จะแอ๊บเด็กคุยกับเขาเพื่อนที่โตกว่าเขาก็ดูแลเราเหมือนน้องสาว อรั๊ยยยยยยย
เนี่ย คือกำลังจะอวดว่าได้ไปเรียนกับลูก้าไง (ลูก้าก็อยู่ตอนเก่า ไปย้อนหาอ่านกันได้ข่ะ)
คลาสที่ไปเรียนด้วยคือปีห้า แก่สุดในโรงเรียนเราก็จะอายุน้อยกว่าพี่เค้าประมาณ 2 ปี
บางทีพี่ๆเค้าเวลาเจอหน้าเราก็จะทัก Hello little sister! แล้วก็มาลูบหัวเราแบบเอ็นดูมากโอ๊ย เขิน ถึงร่างกายฉันจะไม่ลิตเติ้ลก็เถอะนะ ฉันดีใจ
ครั้งแรกที่ไปเรียนกับคลาส 5A เราไม่กล้าเข้าไปเลยยืนรอหน้าห้องก่อน รอให้ครูพละมาถึงจะเข้าไป
พี่ๆเค้าก็มองหน้าเราแบบยัยนี่มาทำไรตรงนี้วะก็เลยส่งยิ้มสยามไป
พออาจารย์มาเลยเนียนเข้าไปด้วยอาจารย์ก็แนะนำว่า เออ คนนี้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากไทยแลนด์นะ ดูแลน้องด้วย
ตอนนั้นไม่ได้สนใจค่ะ กวาดสายตาทั่วห้อง ลูก้าอยู่ไหนวะ เมื่อเช้าแอบส่องก็เห็นยืนหน้าโรงเรียนนี่สงสัยไปช่วยงานโรงเรียนยังไม่เข้ามาในคลาส แต่มาเถอะนะ อยากเจอ
เราก็เลยทักทายพี่คนอื่นรอไปก่อน มีคนนึงชื่อว่าโรซ่ามาเรีย แต่เค้าแนะนำตัวว่าโรซี่ แล้วพี่เค้าก็ชวนเราคุยนู่นนี่นั่นเยอะแยะมากค่ะรู้สึกไม่เหงา ดีค่ะ ถามอะไรมากมายก่ายกองเกี่ยวกับประเทศไทย เราก็เล่าให้ฟัง
กำลังคุยเพลินๆอยู่
ก็ได้ยินเสียงประตูเปิด เอาแหล่วววววๆๆๆๆๆต้องใช่แน่นอน
ลูก้าก็เดินเข้ามาทักเหมือนจะรู้ด้วยว่าเราจะมาเรียนด้วย เค้าก็เดินเข้ามาหาเรา
“My name is Luca. Nice to meet you”
นี่ก็พยักหน้า มัวแต่อึ้งตะลึงตึงตึง นั่นมือพี่เค้าจริงๆใช่มั้ยเค้าจับมือฉันด้วย โอ๊ย รู้สึกคอมพลีท รู้สึกอยากอัดเสียงไปตั้งเป็นนาฬิกาปลุกตอนเช้า น่ารักจังเลยค่ะ อยากจะกินเข้าไปทั้งตัวแล้วเรอออกมาดังๆ---
แต่แล้วเราก็ลืมบอกชื่อตัวเองไป....
เจริญจ้า! เค้าจะไปรู้จักมึงมั้ยทีนี้สมองงงงงงงงงงงงงงง
วันนั้นก็ไปเรียนพละกับห้องนั้นแหละค่ะ
แล้วเราก็เหมือนไปยืนผิดตำแหน่งมั้ง ลูกวอลเลย์ก็กระแทกปั้งเข้าที่ไหล่ เจ็บมากพี่ๆที่อยู่แถวนั้นก็เข้ามากอด โอ๋ ไม่เป็นไรใช่มั้ย
กำลังจะหันไปส่งสายตาด่าคนที่ตีวอลเลย์มาโดน แต่ลูก้าก็เดินเข้ามาลูบไหล่ แล้วบอกแอมซอรี่ๆ
อ๋อ..ถ้าเป็นพี่ตีมาโดน ไม่เป็นไรค่ะจะอัดเข้าที่ดั้งหนู หนูก็จะบอกหนูสบายดีค่ะพี่.... (แหม ไม่ไบแอสเลยมึง)
ถ้าให้เล่าเรื่องรุ่นน้องบ้างส่วนมากก็จะเป็นปีหนึ่งเลย น้องผู้หญิงส่วนมากก็จะเมคอัพกันเต็มมาก จนเรารู้สึกว่าการไม่แต่งหน้ามาโรงเรียนเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ควรจะไปหาอะไรมาแต่งมั้ย
แต่ทุกวันนี้จะกันคิ้วยังไม่กล้าเลย
แต่ส่วนมากน้องเค้าไม่ค่อยกล้าเล่นอะไรกับเราเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีใครพูดภาษาอังกฤษได้ บางคนก็จะพูดอิตาเลียนใส่เราอย่างเดียวเลยเราก็ต้องรู้จังหวะในการพยักหน้า อ๋อ อืม ใช่เลย เห็นด้วย นับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ได้มาหลังจากการแลกเปลี่ยนด้วยถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจเรื่องอะไรที่เค้าพูดมาแต่เราก็ต้องทำให้เค้าสบายใจไว้ก่อนว่าเราเป็นผู้ฟังที่ดี ฮ่าๆ
แต่มีน้องคนหนึ่งค่ะ ที่เราประทับใจในตัวเค้ามากนางชื่อ มาเรียคิอาร่า เด็กปีหนึ่งห้อง A พูดภาษาอังกฤษได้ สื่อสารคล่อง น้องชอบชวนเราคุยบ่อยๆ เป็นนักดนตรีที่ชนะในโรงเรียน เล่นกลองเท่มาก เบสก็เล่นได้เป็นผู้หญิงที่เท่มาก สอนภาษาอิตาเลียนด้วย น้องเคยสอนให้เราออกเสียงตัว r
เราก็กระดกลิ้นได้นะแต่ภาษาอิตาเลียนมันจะมีกิมมิคอย่างนึงที่ยากกว่าการออกเสียง ร เรือ แบบธรรมดาๆคนอิตาเลียนจะอ่านออกเสียงทุกตัวอักษร ยกตัวอย่างคำว่า Scherzo ที่แปลว่าเรื่องตลก
มันจะออกเสียงว่า สะ แกรรรรรรรร โซซซซซ่ต้องพูดเร็วๆ ตัว ร ต้องออกเสียงเยอะๆ ซ โซ่ก็ต้อง ซ มีเสียงซี่ๆลอดไรฟันออกมาด้วยต้องเป็น ซ ที่สตรอง
เราพยายามออกเสียงคำนี้นานมาก บางทีก็ออกได้บางทีก็ออกไม่ได้
น้องก็นั่งขำ ถามว่า มันยากขนาดนั้นเลยเหรอหยินเฮ้ย เราทำไม่ได้จริงๆนะเว่ย เปลี่ยนลิ้นไม่ทันอะ เดี๋ยวเถอะ เจอ มา หม่า ม่า ม้าหมา เดี๋ยวพวกแกจะหนาว คอยดูเถอะ เคยเจอมั้ย พลังผันวรรณยุกต์ไตรยางค์อักษรสามหมู่
นอกจากนี้มาเรียคิอาร่ายังสนิทกับคลาสลูก้าด้วย เพราะโรงเรียนที่นี่เป็นเพื่อนกันหมดถึงจะอายุต่างกันสี่ห้าปี
ทีแรกเราก็อึ้ง มันไปสนิทกันได้ยังไงวะแต่เวลาเจอกันก็เห็นคิอาร่าอยู่กับแก๊งโรซี่ตลอดเลยเราว่ามันก็เป็นภาพที่น่ารักดีนะ เราตอนม.1 แทบไม่รู้จักใครในมอหกด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนอิตาเลียน เรื่องพวกนี้ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ ซึ่งนั่นก็ดีค่ะ เพราะถ้าเราคิดว่าใครหล่อ เราก็สามารถถามเพื่อนได้หมดแล้วเพื่อนก็จะส่งข้อมูลมาให้เราประหนึ่งเปิดวิกิพีเดีย
แต่ข้อดีของเราเราก็มีโอกาสได้มีเพื่อนทุกอายุเหมือนกัน เราได้เรียนตั้งแต่ปี 1-5 ได้ไปเล่าเรื่องประเทศไทยให้บางห้องฟังด้วย มีครั้งนึงพี่ๆที่ปีสี่ประทับใจในชื่อกรุงเทพ นางให้เราบอกทีละท่อน แล้วก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษบนกระดานแล้วให้เพื่อนทั้งห้องอ่านตาม เราอัดวิดิโอเก็บไว้ด้วย ผลปรากฏว่า กรุงเทพกลายเป็นชื่อบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไหนไม่รู้พวกพี่พูดอะไรกันคะ โอ๊ย ฮ่าๆๆๆ
ปีสามก็ได้เรียนด้วยประมาณสามห้องคนรู้จักเราเยอะมาก แต่ขอสารภาพจากใจจริงว่าตอนนี้เรายังจำชื่อเพื่อนไม่ได้ครบทุกคน ก็ชื่อยากอะแล้วบางคนก็ไม่เคยคุยกับเราด้วย จะจำไปทำไม เปลืองเมมโมรี่ค่ะ สมองแรมต่ำค่ะ
แต่ชีวิตแฮปปี้มาก เหมือนนางงามจักรยาน มิสแกรนด์ไถ่แล้นนนนดดด์ ทุกคนรู้จักดิฉัน แค่ดิฉันเดินไปเข้าห้องน้ำก็มีคนทักห้าหกคนเราก็แจกยิ้มไปทั่วค่ะ อยู่ที่ไทยไม่เคยมีใครรู้จักเล่นอยู่แต่กับเพื่อนสนิทไม่กี่คน พอมานี่ละได้ใจใหญ่ ทุกคนรักฉัน
ชีวิตที่โรงเรียนเราก็ประมาณนี้ชวนคนอื่นคุยไปทั่ว ช่วงเบรกก็แด๊ะแด๋ไปตู้กดขนม ไม่ค่อยมีอะไรมากค่ะแค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ...
ถามว่า ที่โรงเรียนอิตาเลียนมีทัศนศึกษาไหมมีแน่นอนค่ะ ถ้าเป็นทริปไปต่างประเทศ ส่วนมากจะเป็นพวกสายภาษาจะได้ไป ถ้าไปในประเทศใกล้ๆอย่างฝรั่งเศสจ่ายประมาณ 500 ยูโรถ้าไปไกลอย่างอังกฤษ อาจจะ 800 ยูโร
และถามว่าคนโชคร้ายแบบเราจะได้ไปไหน คำตอบคือ ไป Naples ค่ะ ...
ไปใกล้มาก นั่งรถไปชั่วโมงเดียวไม่ใช่เนเปิลส์ไม่สวยนะ แต่เราไปบ่อยแล้วอะ ไปทีไรก็ไปแต่ปราสาทที่เดิมน่าเบื่อมาก บางห้องอาจจะได้ไปโรม ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอาจารย์ในช่วงนั้นแต่ที่แย่คือ หลังจากที่เรากลับมาไทยเพื่อนบอกปีนี้โรงเรียนไปทัศนศึกษาที่ฟลอเรนซ์กับเกาะซาร์เดเนียด้วยนะหยิน
จ้า................จ้า................ดีจ้า........ดีไปหมดเลยจ้า..............
ทำไมทำกับฉันแบบนี้!! ทำไมปีฉันเอาฉันไปเที่ยวปราสาทที่ไม่มีอะไรเลย!!ทำไม ทำไมวะ ให้จ่ายเงินเพิ่มก็ได้ ฉันสวยและรวยมากแค่ให้ฉันไปที่ดีๆกับเพื่อนได้ไหม ทำไมถึงทำกับฉันได้ ฮือ
โลกแม่งไม่ยุติธรรมจริงๆ
โกรธ
ย้อนเรื่องไปเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่า ตอนประมาณ ม.1ยังเป็นเด็กเอ๋อผมเท่าติ่งหู กำลังนั่งเข้าแถวอยู่สนามหน้าโรงเรียน ในหัวกำลังก่นด่าว่าจะเข้าแถวเชี่ยอะไรนานขนาดนี้วะ พูดก็นาน ร้อนเว้ย
แต่พอมีนักเรียนรุ่นพี่ประมาณ 4-5 คนขึ้นมาพูดเรื่องไปแลกเปลี่ยน หูเริ่มผึ่ง ไหน น่าสนใจ ฟังหน่อยซิ
พี่ทุกคนไปอเมริกา และมีพี่คนหนึ่งไปอิตาลีเรารู้สึกว่า เฟี้ยวว่ะ.. กล้าไปประเทศภาษาที่สามด้วย นอกจากนี้พี่เขาเล่าว่าตอนไปวันแรกเนี่ย โอ๊ยแก เค้ามาหอมแก้มฉัน แล้วหล่อมากด้วย!
นั่นแหละ ทำให้การมาอิตาลีของเรามีความคาดหวังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าว่าจะต้องได้ ‘อะไรๆ’ แน่นอน…
โดยปกติ คนอิตาเลียนจะชอบทักกันด้วยการหอมแก้มถ้าสนิทบ้างก็มีกอด หรือถ้าหวงตัวหน่อยๆหรือทางการอาจจะแค่จับมือเชคแฮนด์แบบสากลทั่วไป และคนประเทศนี้การทักทายก็เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญค่ะ เช้าก็ทัก เย็นก็ทัก บ่ายก็ทักเจอกันตอนเย็นยังจะทักอีก ถ้าไม่ทัก ก็คิดว่า เราไม่มีความสุขนู่นนี่นั่นไปอีก ..เอ้อ เอากับเขาสิ
แต่ว่าตั้งแต่มาอยู่นี่ เราก็รู้สึก แก้มเราเป็นของสาธารณะ
อยู่ไทยปีนึงพ่อแม่หอมแก้มประมาณสองครั้ง
แต่อยู่นี่เช้าเที่ยงกลางวันเย็น...
เช้าเริ่มต้นเบาๆด้วยเพื่อนในคลาสประมาณสิบกว่าคน หอมแก้มซ้ายขวากันกว่าจะครบ ก็ดูซีรี่ส์จบไปสามตอนไหนจะถามเป็นไงบ้างสบายดีไหม ละด้วยความที่เราอ้วนก็พากันมารุมดึงแก้มเราด้วยความหมั่นเขี้ยวไม่แน่ใจว่าเพราะเราน่ารักหรือพวกมันเกลียดเรา แก้มแทบขาด
เพราะเราน่ารักแน่ๆ เรามั่นใจ…
เราก็เป็นผู้หญิงเรียบร้อย รอคอยว่าจะมีผู้ชายมาหอมแก้มทักบ้างไหม(ไม่หวงตัวเล้ย) รอจนเลิกรอ อยู่มาสามเดือนแล้วไม่มีสักคน รอจนเลิกหวังไปแล้วโดนแต่เพื่อนผู้หญิงหอมแก้มจนแก้มช้ำ ชิชะ
แต่ว่า มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง
วันนึงได้ไปเรียนพละกับคลาส 3B เป็นห้องสายคลาสสิคเรียนกรีกโรมันละติน ทำให้ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิง ทำให้เราได้รู้จัก เจอร์ราโด้
เจอร์ราโด้ถ้าให้เทียบกับความชอบของสาวๆอิตาเลียน นับว่าไม่ได้หล่อมาก แต่สำหรับเราเค้าผมบลอนด์ ตาฟ้าแบบน้ำทะเล ตาใสแบบลูกแก้ว ทำให้ในใจเราเทคะแนนให้เจอร์ราโด้แบบสามผ่าน เอาไปเลย!!
วันแรกที่ไปเรียนเพื่อนคลาสนั้นไปเที่ยวโรมกันค่ะ เหลือแค่ไม่กี่คนที่ได้ไปหนึ่งในนั้นคือเจอร์ราโด้ อาจารย์ก็ให้เราไปนั่งคุยกันเพราะไม่มีอะไรจะพาเล่นกีฬาอะไร เหลือกันอยู่แค่นี้ เจอร์ราโด้เลยสอนเราพูดภาษา Neapolitan เป็นภาษาถิ่นของคนนาโปลีค่ะสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว นอกจากคนแก่ กับพวกวัยรุ่นที่ชอบเอามาใช้แบบห่ามๆ
ด้วยความอยากตีสนิทเราก็นั่งคุยกันงุ้งงิ้งเรียนภาษานี้อย่างสนอกสนใจ...
อืม ทีอิตาเลียนที่ต้องใช้จริงๆน่ะ ดันไม่เรียน นี่เราเป็นคนประเภทไหนคะ
พอเลิกคาบ เราก็เลยขอเฟซบุ๊ก กะว่าจะเอาไปส่องเจอร์ราโด้ก็พิมพ์ให้ พิมพ์เสร็จแล้วก็บอกเราว่า ‘อาริกาโตะ!’
อาริกาโตะพ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงกูยังบอกอยู่ว่ากูมาจากประเทศไทย เดี๋ยวฟาดด้วยทัพพี ไม่ติดว่าหล่อนี่ตีตายเลยอยากกางแผนที่โลกให้ดู
เวลาผ่านไปหลายวันตอนเช้าเรายืนที่สถานีรถไฟรอเพื่อนมาโรงเรียนตามปกติ
เจอร์ราโด้เดินผ่านหน้าเราไป เราก็ไม่ได้คิดอะไรแค่ยิ้มให้ แล้วเค้าก็ถอยกลับมา
เจอร์ : Ciao! หยินนน เป็นไงสบายดีไหม
หยิน : โซโซ เจอร์ราโด้ล่ะ
เจอร์ : ก็สบายดี มานี่มา
แล้วนางก็ยื่นหน้าเข้ามาเพื่อหอมแก้มเรา
เจอร์ : ไปละนะ ไว้เจอกัน
หยิน : อ่า... *พยายามหุบยิ้มเลเวลหนึ่งร้อยแล้วพยักหน้าตอบ*
คือแบบ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สติชั้นนนนนนน
ยังไงก็แล้วแต่ เจอร์ราโด้มีแฟนแล้วค่ะแล้วการทักทายแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ควรทำใจให้ชินว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำก๊านนนนนน
เบื่อผู้ชายอิตาลีอะบางทีก็ชอบมาอ้อยเราแบบไม่ตั้งใจอ้อย ทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว แล้วผู้ชายก็ชอบเล่นกับเพื่อนผู้หญิงอย่างกับแฟนเคยเจอกระโดดกอดกัน เพื่อนผู้หญิงร้องไห้บางทีก็เข้าไปกอดแล้วกให้ซบกับไหล่แล้วจูบหน้าผาก
แล้วกูที่มาจากประเทศที่ผู้ชายแทบแตะตัวผู้หญิงไม่ได้จะให้กูคิดยังไง
คือฉันชอบเค้าได้ แต่ห้ามมโน ห้ามหวั่นไหวสินะคะ
เอ๊ะ นี่ทำไมพาไปนอกเรื่องบ่อยจังไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อการทักทายตรงไหนเลย
แต่มีครั้งนึงที่การทักทายทำให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ เรื่องมันมีอยู่ว่า ระหว่างคาบเบรกเลยออกไปตู้กดขนม หาอะไรกิน แล้วเราก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงกับผู้ชายสองคนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยความสยามเมืองยิ้มเราก็ส่งยิ้มไปให้แล้วก็หันไปสาละวนกับขนมต่อ
เราก็เลยลืมๆไปจนวันนึงเราได้เปลี่ยนคลาสไปเรียนกับ 2A เข้าไปในห้องแล้วไปเจอสองคนนั้น
แล้วคราวนี้ เค้าสองคนยกมือขึ้นไหว้เราแขนตั้งฉากมาก แล้วบอก ‘ซาหวาดดีขรั่บ’
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย น่ารักมากกก
เราก็เลยตอบไปว่า สวัสดีค่าทุกคนในห้องก็มองมาที่ทางสองคนนั้น แล้วสายตาประมาณว่า คุยอะไรกันวะ ผู้ชายก็เลยอธิบายไปว่ามันเป็นคำทักทายของคนไทยน่ะ
หยิน : รู้ได้ไงว่า เรามาจากไทย ไม่เคยเจอกันเลยดีใจมากที่มีคนรู้ว่าเรามาจากไทย นายเป็นคนแรกเลยที่ทักด้วยคำว่าสวัสดีครับยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อหยินนะ
ช1 : เราไปถามพรอฟมาว่าปีนี้มีนักเรียนแลกเปลี่ยนไหม พรอฟเลยบอกว่ามี มาจากไทยเรากับฟรานเชสโก้เลยไปหามา เผื่อได้เจอเธอ จะได้เอาไว้ทัก เราชื่อแอนเจโลนะ
เดี๋ยว นายชื่อแอนเจโล่นี่เราเข้าใจแต่ฟรานเชสโก้เนี่ย ผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะเห็นครั้งแรกยังไงก็ผู้หญิง
ชื่อคนอิตาเลียนถ้าลงท้ายด้วย o ส่วนมากจะเป็นผู้ชายถ้า a จะเป็นชื่อผู้หญิงแต่ฟรานเชสโก้ผมยาว และหน้าสวย แก้มแดงมากค่ะ ตัวเล็กด้วย สวยกว่าเราอีก..
ได้แต่เก็บความสงสัยไว้แล้วไปแอบกระซิบถามผู้หญิงโต๊ะข้างๆว่า ฟรานเชสโก้นี่ผู้ชายจริงๆเหรอ..
แล้วหล่อนก็ตอบว่า ใช่แล้ว ผู้ชายนะไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ
พี่นี่อึ้งเลย
ผู้หญิงที่เราถาม ชื่อฟูลเวียเป็นเพื่อนสนิทของสองคนนั้นค่ะ ฟูลเวียเป็นผู้หญิงผมยาว แต่งตัวมีสไตล์ฮิปมากวาดรูปสวยด้วย แอบมองนางวาดอยู่ในสมุดจด เป็นผู้หญิงที่คูลมากกกก ชอบ
ส่วนฟรานเชสโก้ ไม่ค่อยพูด เงียบๆแต่แอนเจโลดูสนใจมากกับเรื่องแลกเปลี่ยน เราก็คุยกันนิดหน่อย กลัวฟรานเชสโก้เหงาเลยชวนคุยบ้าง
หยิน : ฉันเคยเห็นฟรานเชสโก้แถวนี้บ่อยๆนะบ้านอยู่นี่เหรอ
ฟรานเชสโก้ : ใช่ เราอยู่แถวนี้แหละ
เราก็คุยกันนิดหน่อยค่ะ สามคนนี้ก็เลยเป็นเพื่อนสนิทเราไปอีกแก๊งนึง
บางครั้งช่วงที่มีปัญหาเล็กน้อยก็มาระบายให้สามคนนี้ฟัง ฟูลเวียแทบจะอยากขอรับโฮสเราเพราะนางสงสาร เพราะเห็นเราหน้าระทมขมขื่นเกินไป ทั้งที่ปัญหานั้นเราก็แค่บ่นให้ฟังเฉยๆไม่ได้จริงจังอะไร คนดีมากค่ะ น้ำตาจะไหล
เวลาเรายืนรอรถเพื่อนคลาสเราคนเดียวที่สถานีรถไฟ เวลาแอนเจโลกับฟูลเวียเห็นเรายืนรอ ก็เข้ามาทักมายืนเป็นเพื่อนเพราะกลัวเราจะเหงาที่ไม่มีคนคุยด้วย
ทำไมเค้าใส่ใจกับอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ เราปริ่มอ่ะพอมาอยู่คนเดียวที่นี่ เวลาใครทำอะไรดีๆให้ ก็รู้สึกตื้นตันไปหมด
จนพักหลังๆ เดซิเร่รู้ว่าเราสนิทกับแอนเจโลมีการบอกว่า I ship you with him อีกนะคะ
โอย นังคนนี้ เดี๋ยวตีให้ตายเลย! แค่เพื่อนค่ะ! บางทีชิปต่อหน้าแอนเจโลเลย สะกิดเรา ทำหน้าทำตาแซว แหม หยิน ไปหาแอนเจโลอีกแล้วนะ
เราก็ได้แต่ส่งสายตาหาแอนเจโลว่า นายเราขอโทษแทนเพื่อนเราด้วย...
เรารู้สึกดีนะ ที่เราได้เจอคนพวกนี้จากการทักทาย บางทีการเริ่มต้นทักด้วยคำสั้นๆ มันสร้างมิตรภาพอะไรดีๆได้อีกเยอะ สร้างความทรงจำได้อีกเยอะ ใครจะไปคิดว่า แค่คำว่า ซาหวาดดีขรั่บจะทำให้เราได้เพื่อนดีๆเพิ่มมาตั้งสามคน เป็นที่พึ่งพาเวลาเรานอยด์โลก ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกัน ได้เรียนด้วยกันแค่สัปดาห์ละคาบ แต่ทุกครั้งที่เจอกันบทสนทนามันทำให้เรามีความสุขมากมาก แบบหัวใจพองโตเลยบางครั้งมาอยู่ต่างประเทศคนเดียวมันก็เหงา พอมีใครฟังเราเล่าอะไรบางอย่างมันก็จะมีความสุขโดยอัตโนมัติเลย
ขอบคุณนะที่โลกนี้มีภาษา ถ้าไม่มีคนเราคงจะเหงาน่าดูเลยล่ะ
------------------------------------------------
ตอนนี้ก็ยังเสียดายอยู่เลยค่ะ ไม่มีรูปเจอร์ราโด้เลย คุยกันบ่อยแต่ไม่ได้ถ่ายรูปกันไว้เลย...
ไม่รู้ว่าถ้าสมมติกลับอิตาลีไป เค้าจะยังจำเราได้รึเปล่า 5555555555555555
จบแล้วค่ะะะ เดี๋ยวแวะมาอัพลงเรื่อยๆนะคะ
?โดนทุกเพศทุกวัย