05/09/2015
วันแรกที่ไม่ได้นอนอยู่บ้านตัวเอง........ (ถ้าไม่นับวันที่อยู่โรม)
เราก็ถามโฮสว่า บ้านอยู่ไกลจากสถานีรถไฟไหม
คำตอบก็คือ โฮสชี้ขึ้นไปบนสถานี แล้วบอกว่า บนนั้นแหละ บ้านเรา
เอ๊ะ... ว่ายังไงนะ
ใช่ค่ะ บ้านเราอยู่บนสถานีรถไฟ ซึ่งก่อนหน้านั้นเราถามในแชทเฟซบุ๊กก่อนที่จะมาถึงอิตาลีว่าโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้านไหม มาร์ติน่าก็ส่งรูปมาให้ แล้วบอกว่า นี่ไงบ้านเราอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเลย
โอ้ นี่ทุกอย่างอยู่รอบตัวกูเลยสินะ
ค่อนข้างผิดคาดพอสมควร เพราะตอนนั้นเรานึกว่าจะเป็นบ้านแต่ก็ไม่ได้อะไร อย่างน้อยเค้าก็เป็นโฮสเราแต่จิตใจด้านปีศาจก็มีแอบคิดน้อยใจอยู่นิดนึง บ้านก็เป็นทางเดินแคบๆ บ้านก็แคบ มีห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอนของแต่ละคน แต่เราแชร์ห้องกับมาร์ติน่าเพราะเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด
แต่ดูท่าบ้านนี้น่าจะชอบท่องเที่ยวมาก ในครัวมีตัวแม่เหล็กติดตู้เย็นเยอะมาก
ในห้องของมาร์ติน่าก็มีรูปปั้นสถานที่ต่างๆของที่ระลึกต่างประเทศ ข้าต้องได้ไปเที่ยวเยอะแน่ๆ อุวะฮ่าฮ่า
นอกจากนี้บ้านนี้ยังชอบสัตว์เลี้ยงมากค่ะซึ่งเราก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ ตอนอ่านข้อมูลที่โครงการส่งมาก็คิดว่ามีหมามีแมวแค่นั้นเอง แต่ความจริงคือมีหมา 2 ตัวชื่อ โอดี้และกอเลียหมาตาบอด ที่นอนอยู่ระเบียงนอกบ้าน แมวผีอ้วน 1 ตัวชื่อโอบาม่า เราเกลียดมันแต่ก็รักมันมาก มีกระต่าย 1 ตัวชื่อดัฟฟี่ มีหมูน้อยอีก 2 ตัว ชื่อ บินเญ่ กับ บาบา
โอโห นี่สวนสัตว์ใช่ไหม หรรษาเลย เลี้ยงสัตว์ได้ไม่แคร์พื้นที่บ้านเลยค่ะ..
ในส่วนของมื้อเย็นวันแรกกับครอบครัวอุปถัมภ์
นั่งกินด้วยกันทั้งครอบครัว ดูทีวีไปด้วยกัน โฮสพยายามออกเสียงเราหลายครั้งมากก็ตลกดี อิน ยิน ไม่ออกหยินสักที 5555555555
เราว่ามันก็แอบเขินนิดๆอะ เราก็พยายามเล่าให้ได้มากที่สุดค่อยๆคุยไปเรื่อยๆจะได้สนิทกัน
ละโฮสก็ถามขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้หยินจะกินมื้อเช้ากับอะไร”
อะไรนะ... ของพวกนี้ต้องถามกันด้วยเหรอ? เออเนอะ ลืมไปเค้าไม่ได้กินข้าวแบบบ้านเรานี่
เลยตอบไปว่า “ไม่รู้ค่ะ กินไรก็ได้นะ ฉันกินได้หมดแหละ” ถึงอย่างนั้นก็ยังจะถามต่ออีก “ชอบนมหรือน้ำผลไม้ล่ะ”
นี่ก็ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่ากินทุกอย่างพร้อมกันไม่ได้เหรอวะ ...อยู่ไทยมีไรก็กินพร้อมกันหมด .__.
เลยตอบไปว่า “เอานมล่ะกันค่ะ” โอเค เค้าใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากกว่าฉันที่เป็นตัวเขมือบทุกอย่าง
หลังจากนั้นก็เก็บของเข้าชั้น โชว์ของฝากให้มาร์ติน่าดู
เราเอาพวกผ้าไหมไป กับภาพนางมโนราห์แขวนบ้านได้ ไทยๆหน่อย พวกกำไล กางเกงลายช้าง ย่ามลายช้างไม่เยอะมากเพราะไม่มีพื้นที่ในกระเป๋า ส่วนมากเราเอาแต่ของกินมา แฮะๆ
มาร์ติน่าเลยบอกเดี๋ยวค่อยให้วันหยุดละกัน จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา โฮสยายจะได้เห็นด้วย เราก็โอเค งั้นไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำ แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวก่อนนะ
และก่อนมาที่ค่ายเค้าก็บอกอยู่ว่าอาจจะเจอเรื่องห้องน้ำเป็น Culture shock
ก็คือห้องน้ำที่อิตาลี จะมีสองโถ โถนึงเอาไว้ปล่อย โถนึงเอาไว้ล้าง... งงล่ะสิ ก็คือพอเราใช้เสร็จก็กดน้ำ ย้ายก้นมาอีกโถนึง แล้วก็ล้างเช็ดด้วยทิชชู ค่อยทิ้งลงชักโครกหรือถังขยะอีกที (ที่นั่นทิ้งทิชชูลงชักโครกเป็นปกติค่ะ) ซึ่งไอ่โถล้างนั่น เรียกว่า Bidet ถ้าไม่รู้มาก่อน หน้าตามันเหมือนอ่างล้างมือค่ะ
อย่าไปล้างมือนะ ล้างปั๊บ อวสานอาหารเย็นทันทีเลยนะคะ
ขอสารภาพตรงนี้ว่านี่ไม่รู้ว่าใช้ยังไงก่อนใช้เลยแอบไปเสิร์ชดูในยูทูปมา ..
มันเป็นภาพประกอบวาดอย่างสวยเลยนะแกไม่ใช่ขี้ๆเลย
เออ ละมันจะทำให้ยุ่งยากทำไมวะ สายฉีดตูดไหมนวัตกรรมสุดยอดเลยนะรู้จักปะยู ฉีดปิ๊วๆสะอาดเลย
เจอสายฉีดตูดในยุโรปนี่ดีใจมากกว่าถูกหวยอีกค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไปเข้านอนแล้วก็บอกฝันดีกับมาร์ติน่าเป็นภาษาอิตาเลียนแบบด๋อยๆ นางก็บอกฝันดีเหมือนกันนะ
เอาเป็นว่า วันแรกก็จบลงอย่างสวยงามเช่นกัน ล่ะมั้ง?
หมายเหตุ : เคยมีครั้งนึงที่ในห้องน้ำมีฟองน้ำที่วางไว้บนอ่างอาบน้ำเรานึกว่าเป็นฟองน้ำขัดตัว ก็ถูแบบไม่เกรงใจผิวหนังและใบหน้า แล้ววันถัดมากำลังจะไปเข้าห้องน้ำ ตาเหลือบไปเห็นฟองน้ำที่ใช้ถูตัวเมื่อวานชิ้นนั้น อยู่ในโถ Bidet ...........................................
ขมคอเลยกู.................................
06/09/2015
เช้าวันนี้โฮสถามว่าอยากทำอาหารไทยอะไรไหม โห มาวันแรกก็อยากกินเลยเหรอ เราก็เลยไปเช็คดูโลโบ้ในกระเป๋า ขอขอบพระคุณโลโบ้มา ณ ที่นี้ ที่ช่วยชีวิตนักเรียนไทยได้กลายเป็นเชฟระดับมือโปร แค่ฉีกซองลงน้ำร้อน
ฮ่าๆได้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศก็เพราะโลโบ้เนี่ยแหละค่ะ (เอ๊ะ ทำไมดูมีความฝากร้าน)
แต่ประเด็นก็คือ โฮสสองคนเป็นมังสวิรัติ..
โดยทั่วไปแล้ว คนอิตาเลียนบางคนเลือกที่จะเป็นมังสวิรัติค่ะ ไม่รู้ทำไม อาจเป็นเพราะไม่อยากฆ่าสัตว์ละมั้ง ก็แน่นอนล่ะ บ้านเราเลี้ยงหมาแมวกระต่ายขนาดนั้น
มันก็เลยเป็นปัญหาว่าเราจะทำอะไรให้เค้ากินได้บ้างเพราะอาหารไทยส่วนมากต้องใส่เนื้อสัตว์
สุดท้ายเราก็ทำแกงจืดกับไข่พะโล้ ยังไม่วายถามอีก กินอันไหนก่อนเหรอ
ว้อยยยย แก นี่มันอาหารเอเชีย ไม่มีเมนคอร์สอะไรทั้งนั้น กินๆไปเถอะ
พวกนางก็ซดน้ำซุปกับไข่พะโล้เปล่าๆแบบไม่หุงข้าว..
แต่อาการคิดถึงอาหารไทยก็ลดลงแล้วเป็นเรื่องที่ดี จะได้ไม่ทรมานมาก ฮ่าๆ
09/09/2015 หมดตัวที่ เนเปิลส์
เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องของกินไทย เลยเอาเสื้อผ้ามาไม่ถึง 7 ชุดวันนี้เลยไปซื้อของที่นาโปลี (Naples)
ถนนนี้ชื่อ Via Toledo มีร้านเสื้อผ้าเรียงกันมาหมดเท่าที่ในหัวจะนึกชื่อแบรนด์ออก
แต่เราซื้อมาได้ไม่กี่ตัว เพราะแพงม้ากกกกกกกกกก คุณพระ อยากได้เสื้อโค้ตสักตัวเห็นราคาแพงระยับมาก แค่เสื้อยืดเฉยๆก็ 10 ยูโรแถมกางเกงซื้อมาบางตัวใส่ไม่กี่ครั้งก็ไม่ชอบ อ้วนขึ้นใส่ไม่สวย ก็เลิกใส่ (อย่างหลังนั่นความผิดแกเองไม่ใช่เหรอที่อ้วน) แทบหมดตัว แต่ก็ได้เดินเล่นเที่ยวรอบๆนาโปลีด้วยเจอทั้งโรงละคร ปราสาท พิพิธภัณฑ์ ก็สวยดีค่ะ (ไม่ได้เข้าไปอีกต่างหาก เห็นแค่ด้านนอก...)
อยากแปะภาพให้ดูมากเลยค่ะ แต่ช่วงนึงเอาภาพที่ถ่ายจากไอแพดลงคอม ละคอมฮาร์ดดิสพัง เลยเหลือภาพไม่ถึงครึ่ง................ ฮือ
12/09/2015 ดูหนังเป็นภาษาอิตาเลียนครั้งแรก
อยากดูคาร่า เดเลวีญ! โอยๆ ทำไงดี เลยลองไปถามมาร์ติน่าว่าพาไปดูหนังเรื่อง Paper Towns ได้ไหม พยายามไซโคอย่างรุนแรงว่า แกๆมันดีมากเลยนะ ฉันอ่านหนังสือมาแล้ว มันดีมั่กกกก เลยกะจะไปดูใกล้บ้านเนี่ยล่ะ
ป็อบคอร์นไม่ได้ซื้อเพราะมาถึงโรงหนังเค้าบอกว่าหนังฉายไปแล้วทั้งๆที่เช็คในเว็บบอกอีกเวลานึง เลยรีบซื้อตั๋ววิ่งไปเลย ราคาตั๋วส่วนมากอยู่ที่ประมาณ 7-10 ยูโรค่ะตามขนาดของโรงหนัง และที่ก็ไม่ค่อย VIP อะไรเลย ปกติมากโรงหนังก็เหมือนห้องธรรมดา จอก็เหมือนโปรเจคเตอร์มาต่อกันสองอันแต่
ประสบการณ์เคยไปดูมาทั้งแบบสองโรง จอใหญ่จอเดียวแบบที่ไทยก็มีค่ะแต่จะเป็นเมืองใหญ่มากกว่า(ราคาแพงกว่าด้วยนิดหน่อย) ทำให้คิดถึงการใช้บัตร student card ที่ไทยมากๆ
ที่ไทยแค่แปดสิบเองอะ อยู่อิตาลีเนี่ยจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่บาท ไปคอนเสิร์ตบัตรอยู่บนดอยได้เลยนะ ฮือ
แถมดูไป เสียอารมณ์มาก นอกจากจะแปลไม่ออกแล้วยังหยุดหนังโฆษณากลางคันอีก!
เค้าจะหยุดเพื่อให้คนไปเข้าห้องน้ำหรือไปซื้อป็อบคอร์น ซึ่งคนดูหนังอย่างเราโมโหมาก หนังกูกำลังสนุกๆแล้วมึงมาหยุดเกือบสิบนาทีเนี่ยนะ ไม่พอใจจจจจจจจจจจ (แต่เออ ก็ดีสำหรับคนปวดฉี่บ่อยน่ะค่ะ)
แต่รวมๆแล้วก็สนุกดี คาร่าน่ารัก หนังก็สนุก เราก็เลยหยวนๆให้ก็ได้ ชิชะ
และวันนั้น ทั้งโรงก็มีแค่สองคน เลยให้อารมณ์โรงหนังส่วนตัวถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่แย่ค่ะ
13/09/2015 ไปงานเทศกาลเอเชีย
มาร์ติน่าแชร์มาให้ดูในเฟซบุ๊กว่า เนี่ย มีงานเอเชีย คุณอยากไปไหมซึ่งเราดูๆแล้ว มันน่าจะงานจีนกับญี่ปุ่นมากกว่า แต่ก็ไม่ได้อะไรอยากไปดูเหมือนกัน ทั้งครอบครัวเลยนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน พอไปถึงงาน เรากำลังจะหยิบเงินมาจ่ายค่าเข้า แต่โฮสก็ซื้อตั๋วมาให้แล้ว แอบเกรงใจ แต่ของฟรี เราก็ไม่ปฏิเสธค่ะ(?)
พอเข้าไปก็มีบูทแจกแผนผังงาน เราก็ไปหยิบมาดูว่างานใหญ่ประมาณไหน
มีโซนที่เขียนว่า La Tailandia
เข้!! ประเทศฉันค่า ไม่คิดว่าจะมีอะ ฮอล ตื้นตัน ไม่เคยรู้สึกพราวด์ขนาดนี้ เราชี้ให้โฮสดูรัวๆ ไปกันเถอะโฮสก็ว้าว อย่างงี้ก็ดีสิ คุณจะได้เจอคนไทยด้วย
ก็เดินเข้างานไปเรื่อยๆคนเยอะยังกับตลาดน้ำ ไม่คิดว่าฝรั่งจะมางานแบบนี้ด้วย
บูทคนไทยคนไปรุมซื้ออาหารเยอะมากค่ะ เห็นแล้ว รู้สึกปริ่มมาก อาหารประเทศฉันค่ะฮือๆๆๆ เราเดินเข้าไปเห็นกล้วยทอดกับผัดไทย
“โอยยยยยยยยย มีกล้วยทอดด้วยอะ งานดีมาก” เราพึมพำออกมาป้าคนไทยที่เป็นคนขายก็เลยเงยหน้าขึ้นมามอง
“คนไทยเหรอลูก โอ้ย นานๆทีป้าจะเจอคนไทยมาซื้อ มาขายอยู่นี่หลายปีละ”
“ใช่ค่ะ หนูมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนค่ะ ฮ่าๆ ว่าแต่กล้วยทอดขายยังไงคะ”
“ถาดละ 6 ยูโรจ้า เดี๋ยวป้าแถมขนมอย่างอื่นให้นะนานๆทีเจอคนไทย” ป้าพูดไปยิ้มไป ขายของใส่เราเต็มที่
ลาภปากละ อิอิ วันนี้เป็นวันของฉันค่ะ
จุดนั้นซื้อแบบไม่คิดชีวิตซื้อแบบไม่มีสติด้วย อาหารไทยอยู่ตรงหน้า ไม่คิดอะไรอีกแล้วแล้วก็ไม่ได้แปลงเงินด้วย คิดว่าถุงละสิบบาท กลับมาบ้านนับเงินหายไปเกือบ 30 ยูโร.... โอ .........นี่กูแค่กินส้มตำ ผัดไทย กล้วยทอด มะพร้าวเองนะ!!
เออ เราไม่มีสติกับเรื่องของกินจริงๆว่ะแก
แต่เห็นในใบเสร็จ เขียนว่า มาจากเบอร์ลิน เยอรมัน มาไกลมาก นี่อิตาลีนะ ละไม่ใช่เมืองหลวงด้วย มาทั้งครัว ทั้งเตาแก๊ส ครกสากกันเลย ยอมแล้วค่า
โอเคค่ะป้า หนูไม่บ่นว่าแพงแล้วก็ได้ กล้วยทอดอร่อยมากเลยค่ะ
ภายในงานก็มีเกือบทุกประเทศในเอเชียเลยค่ะ ภูฏาน ประเทศเล็กๆก็มา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
ญี่ปุ่นดูเป็นที่สนใจที่สุด อิตาเลียนมุงกันเลยทีเดียว มีทั้งเขียนชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น
บางโซนมีเวทีหลัก มีโชว์การแสดงเอกลักษณ์แต่ละประเทศมีเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์มาขาย บางโซนมีกีฬาประจำชาติให้คนลองเล่นด้วย
ข้างนอกยังมีอีกหอประชุมนึงที่จัดให้เป็นเกี่ยวกับยาแผนโบราณ สุขภาพฝังเข็ม นวดแผนไทยก็มี ถ้าฝรั่งคงจะมีความทึ่งมากค่ะ แต่เราเป็นคนเอเชียเห็นของพวกนี้บ่อยเลยชินตาไป แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า 15 ยูโร (ที่ไม่ได้จ่ายเอง) ฮ่าฮ่าฮ่า
ปล.หลังจากที่ไปงานเอเชีย อาทิตย์ถัดมา เพื่อนคนฮ่องกงชวนไปอีกรอบกับนักเรียนแลกเปลี่ยนในแอเรียอีกสองคน ก็คือจูเลียต กับโอซาน หนุ่มตุรกี แล้วก็โฮสพี่สาว พี่ชายของพวกนั้นแหละ
แน่นอนว่า เราไปอีกรอบ แม้จะต้องเสียค่าตั๋วเข้างานเอง15 ยูโรเพราะพี่ชายโอซานที่ชื่ออัลเฟรโด้หล่อมากก็ไปด้วย เราไม่บ้าผู้ชายเลยค่ะ (เค้าโอบชั้นด้วยแกรรรรรรรร๊)
โรงเรียนอิตาเลียน
นี่โรงเรียนเราเองงง เฮ่ ถ่ายจากหน้าต่างบ้าน..
14/09/2015
เราตื่นเต้นระริกระรี้มากที่จะได้ไปเรียนโรงเรียนต่างประเทศครั้งแรก จะได้ใส่ชุดอะไรก็ได้ไปโรงเรียน จะได้เลิกเที่ยง
มันเป็นความฝันของชะนีจากประเทศไทย ผู้ผ่านมรสุมปั่นงานอดตาหลับขับตานอนมานาน จะเป็นจริงสักทีกรี๊ดๆๆ
เอาจริงๆ วันที่เค้าเปิดเทอม นี่ก็ยังไม่ได้ไปโรงเรียนหรอกเพราะคนดูแล หรือ contact person บอกว่าจะไปส่งที่โรงเรียนเอง
วันแรกเราก็ได้แต่มองเพื่อน พี่ น้อง (ที่ไม่รู้จักชื่อ) ผ่านหน้าต่างบ้านอย่างเดียว
มองไปว่ามีใครหล่อบ้าง— ไม่ใช่ละมองไปเพื่อเช็ครอบเฉยๆนะ จริงๆสาบานได้ *ไขว้นิ้ว*
พอมาร์ติน่ากลับมา เราก็ถามว่า โรงเรียนวันแรกเป็นยังไงบ้าง เรียนไรมา
นางก็ตอบกลับมา น่าเบื่อเหมือนเดิมแหละ ไม่มีใครอยากเปิดเทอมไปเรียนหรอก เราก็เลยบอกไปว่า ไอนี่ไงไออยากไปโรงเรียนมากเลยนะ รอแทบไม่ไหวแล้วเนี่ย เธอรู้มั้ยว่าฉันจะได้ไปเรียนคลาสไหน
มาร์ติน่าก็ตอบกลับมาว่า “ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่รู้สึกว่าสเตฟาเนีย(ชื่อคอนแทค) บอกมาว่า เธอจะได้ไปเรียนกับคลาสจิตวิทยานะเพราะในเอกสารที่กรอกวิชาอยากเรียน เธอลงว่าเรียนสังคมนี่นา ที่นี่ไม่มีสังคม ใกล้เคียงสุดก็จิตวิทยาปรัชญานะ”
เชี่ยยยยยยยยยยยยยย ไม่ได้คิดสักหน่อยนี่ว่าจะเรียนจิตวิทยา จะบ้าเหรอก็ตอนนั้นนึกไม่ออกนี่หว่าว่ามีอะไรให้เรียนบ้างก็เลยเขียน social ไปส่งๆไม่เอาไม่อยากเรียน กูอยากเรียนศิลปะ *พ่นไฟ*
แต่เสียใจไปก็เท่านั้น เราดันไปเขียนเองว่าโซเชียล ช่วยไม่ได้ยังไงเราก็คงไม่เรียนอยู่ดี เพราะไม่เข้าใจภาษา ห้าห้าห้า
ทีนี้จะอธิบายเกี่ยวกับโรงเรียนอิตาเลียน โดยส่วนมากแล้วมัธยมจะเริ่มเรียนตอนอายุ 14
14– ปีหนึ่ง prima พรีม่า – ม.2
15– ปีสอง seconda เซกอนดา – ม.3
16– ปีสาม terza เตรซา – ม.4 เราเรียนอยู่ชั้นนี้ค่ะ
17– ปีสี่ quarta ควาร์ตา – ม.5
18– ปีห้า quinta ควินตา – ม.6
โรงเรียนจะแบ่งไปตามความถนัดของแต่ละคน เหมือนกับที่ไทยมีสายวิทย์คณิต-ศิลป์ต่างๆ เรียนจันทร์ถึงเสาร์เลิกบ่ายโมงค่ะ(บางโรงเรียนอาจจะบ่ายสาม) ส่วนปี1-2จะพิเศษเลิกเที่ยง 3 วัน
แต่ทุกโรงเรียนก็ไม่เหมือนกันค่ะ หลักๆจะประมาณนี้แหละ
แต่ที่อิตาลีก็จะมี คลาสสิค เรียนพวกละติน กรีกต่างๆ , ภาษา , จิตวิทยาปรัชญา,ศิลปะ,ดนตรี บางที่ก็จะมีโรงเรียนเทคนิคแยกไปเลยเรียนแบบเจาะจง เช่น พยาบาล ทันตกรรม ทำอาหาร โอย เยอะค่ะ แต่ที่เจอมา จำได้แค่นี้
ซึ่งโรงเรียนเรามีสามสาขา ก็คลาสสิค ภาษา และจิตวิทยานั่นเอง ทะด้า
เราได้มีโอกาสไปพูดแนะนำตัวเอง (ช่วยโฆษณาโครงการแลกเปลี่ยนนั่นละค่ะ) ที่โรงเรียนอาร์ต เค้าเรียนกันจริงจังมาก มีผลงานนักเรียนเต็มไปหมด ทั้งงานออกแบบงานปั้น เรียนกันจริงจังมาก เราจนอยากขอย้ายมาเรียนด้วย เราต้องมีความสุขมากกว่าการเรียนจิตวิทยาแน่ๆ T__T
โอเค นอกเรื่องมามากละ คืนนั้น เรากับมาร์ติน่าเขียนสคริปต์แนะนำตัวเป็นภาษาอิตาเลียน และพยายามฝึกอ่านจนดึก เขียนยาวมากทีแรกว่าจะจำ แต่อ่านเอานี่แหละ ขี้เกียจแล้ว...
15/09/2015 ได้ไปโรงเรียนแล้ว เย้!
แล้วสเตฟาเนียส่งข้อความบอกว่าจะมารับไปโรงเรียนตอนแปดโมงครึ่ง แหม ใช้คำซะมารับ ความจริงเดินข้ามถนนไปก็ถึงโรงเรียนละ
เราก็อาบน้ำเรียบร้อยเลือกเสื้อผ้า(?) เสื้อผ้าดีๆไม่ค่อยมี ไม่มีกระเป๋าด้วย ไม่มีอะไรเลย มีแต่ย่ามลายช้างเป็นแฟชั่นที่เข้าถึงยากมาก แต่เราก็หาแคร์ไม่ พี่มั่นใจ พี่มาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
ใส่รองเท้าพร้อม ติ๊กต่อกๆๆ แปดโมงครึ่งก็ยังไม่มา นี่ควรกลับไปนอนรอมั้ย?
รอไปสักพัก เสียงออดก็ดัง เราเลยรีบวิ่งลงไป สเตฟาเนียก็ทักหอมแก้มซ้ายขวาสบายดีไหม อยู่กับโฮสเป็นยังไงบ้าง เราก็ตอบไปว่าทุกอย่างโอเคดี ไม่มีปัญหาโนพรอบเบล้มๆ
ก็เดินไปโรงเรียนกับคอนแทค สเตฟาเนียก็ถามคนในโรงเรียน ฟีลแบบฝ่ายประชาสัมพันธ์ ว่าคลาสห้องนี้อยู่ไหน เราก็ตื่นเต้นมาก กรี๊ดๆๆๆ จะได้เจอผู้ชายแล้—
ผ่าง!
ผู้หญิงทั้งห้องเลย...
ชะนีทั้งห้องเลยแกร...
ทำไมพระเจ้าถึงทำกับคนบ้าผู้ชายแบบนี้ละคะะะะะะ ฮืออออ น่าจะมีอาหารตาสักหน่อย /เดี๋ยวๆ
ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนๆทั้ง 18 คน ต้อนรับเราดีมาก มีธงชาติไทยใหญ่มากๆห้อยไว้ เขียนว่า Welcome น้ำตาจะไหล พอเราอ่านสคริปต์แนะนำตัวจบ แต่ละคนก็ทยอยให้ของขวัญ ต่างหู กำไล ปากกา สร้อยมีแต่ของผู้หญิงๆ ซึ่งเราเป็นคนไม่แต่งตัว เอามาก็ใช้ไม่กี่อย่าง แฮะๆ...
แล้วก็ให้ช่อดอกไม้เรา เราก็อยากเก็บไว้ทั้งช่อแต่ไม่รู้จะทำไง เลยเก็บไว้ไม่กี่ดอก ใส่ทับไว้ในไดอารี่แทน
และเพื่อนลงความเห็นกันว่าเราควรไปนั่งข้างคนที่ใช้ภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในห้องก็คือ เดซิเร่
ทีแรกเรารู้สึกว่าเดซิเร่เป็นคนหน้าตาไม่ค่อยอยากคุยกับเราเท่าไหร่ แต่ไปๆมาๆเค้าก็กลายเป็นเพื่อนสนิทเราที่สุดค่ะ เมาท์กันได้ทุกเรื่องตั้งแต่อาหารการกิน นักร้องที่ชอบ ยันไปเรื่องเล็บขบก็เล่าให้กันฟังหมด
เพื่อนสนิทอีกคนก็คือ มาดดาเลน่า พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่พยายามมาคุยกับเดซิเร่เพื่อให้แปลให้เราเข้าใจเราก็เลยสนิทกับสองคนนี้ที่สุดค่ะ
นอกจากนั้น คนสวยประจำห้อง ไมร่า ถ้าเป็นผู้ชายเราก็คงจีบนางไปแล้ว ฮ่าๆก็เดินมาสอน นี่ๆ ยูไอจะสอนคำหยาบอิตาเลียนนะ สอนมาหมดเลย ฟักทั้งไร่ทั้งสวนสัตว์ป่ามาเป็นสวนสัตว์เลย มาโหม้ดดดด ตลกกก รักนาง
แต่ปัญหาตอนนี้เพื่อนที่เหลือ เราจำชื่อไม่ได้ทำไมมันหน้าตาเหมือนกันทุกคนเลยวะ ชื่อยังคล้ายกันอีก มี มาเรียตั้งสองคนมาดดาเลน่าก็สองคน ฮือ บ้าเอ้ย
และหลังจากทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเสร็จ ไม่ใช่ละ ต้อนรับเสร็จก็เริ่มเรียนวิชาแรกทันทีเลย
วิชาคู่ปรับเรานี่เอง คณิตศาสตร์
ง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หาครน. กับบวกลบเลขเฉยๆ (หมายถึงว่าตอนนั้นอ่ะนะง่ายมากหลังๆเริ่มเรียนยากไปละ ไม่เข้าใจ จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตลอดเวลาเรียน)
โจทย์คำถามคือ “ออกจากสถานีรถไฟโรมเวลา 14.30 และไปถึงมิลานเวลา18.45 ใช้เวลาไปทั้งหมดกี่ชั่วโมง”
แหม่ ง่ายแบบไม่ต้องปอกเปลือกกล้วย พอเดซิเร่แปลโจทย์ให้ฟังเราทำเสร็จตั้งแต่ห้าวิแรก อาจารย์ก็คงจะถามเพื่อนว่า ทำไมเราไม่ทำ เร่ก็หันมามองกระดาษเรา แล้วก็น่าจะตอบอาจารย์ไปว่า เธอทำเสร็จแล้ว
อาจารย์ก็ไม่เชื่อ แกไม่เชื่อว่าเราจะทำเสร็จ เข้ามาดูแล้วเราก็ตอบถูก ทุกคนก็ปรบมือให้เรา ตะโกน Brava!
เออเว้ย อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนฉลาดขึ้นมาแบบงงๆซะงั้น
แล้วมีครั้งนึงที่เราเดินไปคุยกับพรอฟที่โต๊ะ แล้วเราย่อตัวลงพรอฟก็ถามว่า ทำแบบนั้นทำไม ยืนขึ้นสิ
เพื่อนก็เลยถามว่าทำไมหยินต้องย่อเข่าลงอะ
เราเลยตอบไปว่า ไม่รู้ มันชิน ที่ไทยยืนค้ำหัวอาจารย์ไม่ได้นะ
พรอฟก็เลยแบบ หืม จริงเหรอ ทำไมที่อิตาลีไม่ทำแบบนี้บ้างน้า นักเรียนอิตาเลียนไม่เห็นทำเลย
เพื่อนก็เลยโวยวายขึ้นมา ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ! ไม่แฟร์เลย
ก็ขำๆกันไป เพื่อนก็จะชอบถามเรื่องพวกนี้อีก ว่าที่ไทยทำอะไรได้บ้างอันไหนไม่ได้ แล้วเพื่อนก็จะไม่ทำกับเรา เพราะเพื่อนบอกหยินจะได้ไม่ตกใจแล้วก็ไม่เสียมารยาทด้วย
ฮือ ทุกคน ดีกับเราเกินไปแล้วนะ (.___.)
และในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนคนเดียวในโรงเรียน บวกกับหน้าเอเชียดั้งแหมบเป็นหลุมดำประจำโรงเรียนทำให้เรากลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาทันทีทันใด เวลาเดินผ่านโถงทางเดินในโรงเรียนก็จะโดนทักทาย Ciao! Buongiorno Yin! (สวัสดีนะหยินนนน)
เราก็โบกมือทักทายกลับ ฟีลแบบนางงามมาก ตระกูลคาร์เดเชียนมาก อยู่ไทยไม่เคยมีใครมองเห็น ไร้ตัวตนสิ้นดี พอมานี่แล้วเซเลปสุดได้ทีจะดังต้องขอออกนอกหน้าหน่อยค่ะ(?)
ความจริงอีกอย่างนึง ของนักเรียนแลกเปลี่ยนก็คือจะไม่มีใครรู้จักประเทศไทยมากเท่าไหร่ โดนทัก หนีห่าวววว อาริกาโตะทุกที คืออะไรคะอยากให้ฉันภูมิใจกับทักษะการเดาประเทศของพวกเธอเหรอ ถามฉันก่อนไหม?
ส่วนมากจะคิดว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น หนักหน่อยก็คิดว่าประเทศเราใช้ภาษาอังกฤษ
โหยยยยย อีบร้าาา ถ้าใช้อังกฤษกูก็คงไม่มางมหอยโข่งที่นี่หรอก
ศึกษาภูมิประเทศหน่อยไหม ประเทศไทยมันอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลกพวกเอ็งรู้จักไหม!! ไม่ใช่ทุกที่คือจีนนะเฟ้ย!!
แน่นอนว่า ภาษาอิตาเลียนเราไม่แข็งแรงเลยสักนิดพรอฟที่สอนภาษาอังกฤษ (คนอิตาเลียนเรียกอาจารย์ว่า professore สั้นๆคือ พรอฟ) ที่ดูแลเรา ติดต่อเอกสารในโรงเรียน เลยมาถามเราว่าอยากเรียนวิชาอื่นสลับกับคลาสอื่นบ้างไหม จะลองเปลี่ยนตารางเรียนให้
ในใจตอบไป แน่นอนสิคะ!! หนูอยากไปส่อง— เอ๊ย เรียนกับห้องอื่น
ปากก็บอกแค่ว่า ดีเหมือนกันค่ะ อยากมีเพื่อนเยอะๆจะได้พูดอิตาเลียนเยอะขึ้นด้วย //ดูคนดีขึ้นมาทันที
พรอฟก็เปลี่ยนตารางบางวิชา เอาวิชายากๆอย่างละติน ฟิสิกส์ออกแล้วให้เราไปเรียนอิตาเลียนพื้นฐานแทน
และเราก็ได้ไปเรียนกับ ....เด็กปีหนึ่ง เป็นเด็กโข่งคนเดียวเลยทำไมถึงทำกับฉันด้ายยยยยย เราก็ห่อเหี่ยวไปสักพักแอบเศร้านิดนึงเพราะไม่เคยมีเพื่อนเป็นรุ่นพี่เลย อยากไปเรียนกับชั้นที่อายุเยอะกว่าอะอยากไปเรียน
และปัญหาถัดมาก็คือ จำชื่อไม่ได้ แหม เรียนตั้งหลายคลาส จำได้ก็ฉลาดเกินไปแล้ว คนอิตาเลียนยิ่งชื่อซ้ำกันเยอะด้วย
สมมติว่าผู้หญิง ชื่อฟรานเชสก้า ก็มีฟรานเชสก้าทุกห้อง ห้องละ 2 คนยิ่งมาเรียนี่เยอะมาก บางทีมีแถมคำสร้อยชื่อกลางแนบมาอีก มาเรียคิอาร่ามาเรียเทเรซ่า มาเรียโจวานน่า มาเรีย+และอื่นๆอีกมากมาย ผู้ชายก็ ฟรานเชสโก้ ลูก้า อเลสสิโอ้ ชื่อฮ็อตฮิตสุดๆไปเลย
ชื่อคนอิตาเลียนผู้หญิงส่วนมากจะลงท้ายด้วย a ค่ะ ส่วนผู้ชายจะเป็น o แยกไม่ยาก ตามชื่อนักบุญต่างๆ
ขอสารภาพว่าตอนนี้ก็จำยังไม่ได้ครบทุกคน ..
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายกับหยินเท่าไหร่ค่ะ ยังพอมีแต้มบุญอยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาเลือกตั้งหาประธานนักเรียนกับคณะกรรมการนักเรียนใหม่ การหาเสียงของนักเรียนที่นี่ก็จะมีประธานพรรค ก็จะเข้ามาแนะนำนโยบายบลาๆให้แต่ละห้องฟัง แล้วก็มีแอสเซมบลีรวมตัวกันอีกหนึ่งครั้ง
จริงๆมันก็ไม่เชิงประธานนักเรียนอะนะ เค้าเรียกว่าเป็นตัวแทนนักเรียน แต่เราเปรียบเทียบกับไทยเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
เนี่ยแหละค่ะ ทำให้ชีวิตฉันกลับมาเป็นลิตเติลโพนี่ขี่ผ่านสายรุ้งอีกครั้ง
วันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าวิชาอะไร อาจจะกำลังเรียนละตินอยู่ ความจริงก็ไม่ได้เรียน นั่งตีหน้างงตลอดทั้งคาบ anyway มีชายหนุ่มหน้าตาดีมากทรงผมบลอนด์ๆออกน้ำตาลนิดๆ อันเดอร์คัตมาอย่างดี ฮือ ตาตุ่มพี่ยังหล่อเลยค่ะ พี่จะเพริศพราวเพริศแพร้วอะไรเบอร์นี้อะคะ ออร่าแสบตามาก เข้ามาเคาะประตู ดูท่าทางกำลังจะขออนุญาตอาจารย์นำเสนอนโยบาย
และเรา นักเรียนแลกเปลี่ยน โดนจับนั่งหน้าห้อง ก็เลยนั่งตรงข้ามพี่คนนั้นแบบเห็นชัดเจนยันรูขุมขน
พี่แกก็พูดไรไปไม่รู้ฟังไม่ออกแต่มองตาไม่กระพริบ หล่อมาก ผู้ชายมีอุดมการณ์ สุขุม สูงด้วย
หนูยอมเป็นคนแคระค่ะ ความสูงเราไม่มีผลเพราะส้นสูงยังมีขาย
เอาเป็นว่าถึงพี่จะสูงส่งเหมือนดวงดาว แต่หนูจะดมกาวแล้วดึงดาวลงมาเองค่—
#ทำไมฟังดูอบายมุขและผิดศีลธรรมมาก
เราก็แอบพร่ำเพ้ออยู่ในใจ พอเขาออกจากห้องไปเลยหันไปถามเพื่อนว่าเขาชื่ออะไร
เพื่อนทำหน้าเหมือนรู้ทัน และส่งกระแสจิตมาว่า “มึงชอบเค้าล่ะสิ”
เออ....หน้าผากเรามันมีคำว่า 'กูชอบผู้ชายคนนั้น' อยู่สินะ....อ่านง่ายมาก
และได้ความว่า เป็นพี่ปีสุดท้าย อยู่ห้อง A เราก็ได้แต่โอดโอยเสียดายว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไปเรียนกับพี่ปีสุดท้ายบ้าง
แล้วจู่ๆครูสอนอังกฤษก็มาบอกว่าคุณควรเรียนพละเพิ่มนะ จะได้มีเวลาเล่นกับเพื่อนๆบ้าง ฝึกภาษาไงแต่เราซึ่งเกลียดวิชาพละมาก ไม่ชอบ เพราะอ้วน ไม่อยากวิ่ง เหนื่อย ไม่อ้าววววว
เดซิเร่ก็เหมือนได้ยิน ก็เลยเดินออกไปเช็คตารางเรียนห้องอื่นแล้วก็วิ่งกลับมาหาเราด้วยหน้าตาตื่นเต้นมาก
“หยิน! ห้อง 5A วันเสาร์มีคาบพละตรงกับตารางที่หยินว่างพอดี ต้องได้ไปเรียนกับลูก้าแน่ๆ!!”
แหม่... อยู่ดีๆก็ชอบวิชาพละขึ้นมาซะแล้วสิ
.................โคตรจริงเลยที่เค้าเขียนบล็อกในอินเตอร์เนตนักเรียนแลกเปลี่ยนอาจจะตกหลุมรักใครสักคน ต่อให้คนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนทางกันบนถนนก็ตาม
ฮือออออออออออออออออ ชุ้นยังไม่อยากนกตอนนี้ยยยยยยยยย์นะะะะะะ
พี่ขำบรรทัดนี้หนักมาก... ?