“โถ่ ก็รถมันติดไงคุณ”
“หรอ”
โทนี่เอ่ยประชดประชันและเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินข้อแก้ตัวของคนที่มาสายไปเกือบสิบห้านาที
เป็นพ่อมดแล้วจะขับรถมาร้านไอศกรีมเองเนี่ยนะ?
“แล้วนี่สั่งอะไรไปยัง”
“ยังอ่ะ ก็รอคุณอยู่นี่ไง เอาเมนูไปดูไป”
คนพูดยื่นหนังสือเมนูให้อีกฝ่ายอย่างขอไปที ก่อนจะแสดงท่าทีแปลกใจ เมื่อสตีเฟ่นรับมันมาวางไว้ข้างตัวเฉยๆ ไม่แม้แต่จะเปิดดูรูปไอศกรีมหน้าตาน่าทานในนั้นเลยสักนิด ราวกับมีสิ่งที่อยากจะสั่งในใจแล้ว
“เคยมากินหรอคุณอ่ะ”
“อ่าฮะ”
“หูย สงสัยเคยพาใครมาเดทแน่เลย ร้ายเหมือนกันนะคุณพ่อมด”
โทนี่ไม่พูดเปล่า เขามองคนที่กำลังโดนแซวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ไม่หยุด หวังจะให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหรือโมโหขึ้นมา แต่ก็ผิดคาดอีกครั้ง เมื่อสตีเฟ่นกลับยิ้มให้เขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้งและตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า
“อือ เคยพามาหลายครั้งเลยแหละ”
ดึงดราม่าซะงั้น
“งั้นสั่งเลยนะ”
“โอเค”
โทนี่ส่งเสียงเรียกพนักงานเสิร์ฟของร้านให้มารับออเดอร์ ซึ่งเขาก็ต้องแปลกใจเป็นครั้งที่สาม เมื่อสตีเฟ่นรู้ว่าเขากำลังจะสั่งอะไร และเป็นคนบอกพนักงานตัดหน้าเขาเสียด้วย
“คุณใช้พลังอ่านใจผมไรงี้ป่ะเนี่ย”
“เปล่าซะหน่อย ก็แค่เดาได้”
โทนี่ไม่ได้ตอบอะไร และเก็บความสงสัยไว้กับตัวเอง ซึ่งกำลังเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก เมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยปากสั่งไอศกรีมของตนบ้าง
“ผมเอา Stark Raving Hazelnuts ครับ”
“มาช้าจังเลยนะ”
“ผมมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย”
“ธุระอะไร”
“ไม่บอก”
“เอ่า"
โทนี่มองค้อนคนกวนประสาท ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่นายพ่อมดคนนี้ทำตัวกวนโอ๊ยเก่งกว่าเขา จำได้ว่าตอนที่เจอกันบนดาวไททันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังดูเคร่งขรึมอยู่เลย
“ตกลงถ้ากินเสร็จแล้วจะพาผมไปไหนต่อนะ”
“ว่าจะพาไปดูหนังอ่ะ ไปดูป่ะ”
คนถูกชวนขมวดคิ้ว พลางนึกสงสัยถึงท่าทีที่แปลกไปของสตีเฟ่น ก่อนจะตอบกลับไปด้วยคำถามสองคำถาม
“เรื่องอะไร แล้วนึกครึ้มยังไงถึงจะดูหนังกับผมอ่ะ”
“ก็เหงา อยากหาคนดูด้วยไง A Star Is Born อ่ะ ดูป่ะ”
อารมณ์ไหนวะเนี่ย
“เออ ดูก็ได้ เห็นตัวอย่างแล้วน่าดูเหมือนกัน”
“ดีมาก รับประกันว่าหนังดีแน่นอน”
สตีเฟ่นพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ว่าแต่จะดูไหนอ่ะ ตึกผมมีโรงหนังนะ”
“ไม่เอา ไปดูที่โรงหนังใกล้ๆเนี่ยแหละ คนในโรงเยอะๆจะได้ได้ฟีลไปอีกแบบ”
“วุ่นวายอ่ะดิไม่ว่า”
“ไม่วุ่นวายหรอกน่า สั่งไอศกรีมได้แล้วไหม พนักงานยืนมองนานแล้ว”
โทนี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายไปอย่างน่าหมั่นไส้
“จริงๆ เขามองมาเพราะผมคือ โทนี่ สตาร์ค เถอะ”
“มาช้าจังเลยนะ”
“อ่า ขอโทษที”
เป็นอะไรของเขาวะ
โทนี่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะวันนี้สตีเฟ่นมีท่าทีอ่อนลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปกติอีกฝ่ายจะชอบพูดจากวนโมโหเขาจะตาย แถมหน้าตาก็ยังดูอ่อนเพลียและโทรมลงไปอีก
“เป็นอะไรป่ะเนี่ยคุณ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“เปล่าสักหน่อย”
คนโดนคาดคั้นบอกปัด และเลี่ยงสายตาไปมองเมนูไอศกรีมบนโต๊ะแทน
“ไม่เชื่อ”
“เฮ้อ”
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าเป็นอะไร”
โทนี่คาดคั้นต่อด้วยความเป็นห่วง(ปนความอยากรู้อยากเห็น)
“ก็วันนี้ เอ่อ ครบรอบ 1 ปีของการจากไปของคนๆนึงที่..สำคัญกับชีวิตผมน่ะ”
พูดไม่ออกเลยแฮะ
“เอ่าหรอ ผมเสียใจด้วยนะคุณ”
โทนี่พยายามฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างปลอบโยน ก่อนจะรู้สึกแปลกขึ้นภายในใจ เมื่ออีกฝ่ายจ้องกลับมาที่ดวงตาของเขาอย่างมีความหมาย น้ำตาเอ่อล้นขึ้นเล็กน้อย
“จะร้องไห้หรอ ผมไม่มีผ้าเช็ดหน้านะ”
สตีเฟ่นพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ภายใน มือหนาเอื้อมไปแตะปลายนิ้วของคนที่นั่งตรงข้าม และเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผมร้องไห้มาพอแล้วแหละ”
“มาช้าจังเลยนะ”
“ตื่นสายนิดหน่อย”
“จริงดิ”
“อือ”
สตีเฟ่นนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม ก่อนจะสั่งไอศกรีมอย่างรวดเร็วทั้งของเขาเองและของอีกฝ่าย ทำเอาโทนี่งงไปหมด
“เชื่อละว่าเป็นพ่อมด”
“ควรจะเชื่อตั้งนานแล้วป่ะ”
คนพูดยักคิ้วให้อย่างยียวน ถึงแม้จะรู้ตัวว่ากำลังโดนหมั่นไส้อยู่จากลักษณะการเบ้ปากของโทนี่
“เชื่อตั้งแต่คุณเห็น14ล้านวิธีที่จะเอาชนะทานอสแล้วแหละ ดีนะที่วิธีเดียวของคุณมันจบสวยและไม่ต้องเสียใครไปอ่ะ ไม่งั้นเศร้าตายเลย”
สตีเฟ่นนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษ”
“อะไร ขอโทษอะไร”
อยู่ดีๆก็มาทำหน้าเศร้าซะงั้น
“ขอโทษที่ผมปล่อยให้มันเกิดขึ้น”
“ห้ะ หมายถึงตอนสู้กับทานอสบนดาวไททันอ่ะหรอ มันก็ต้องเกิดอยู่แล้วป่ะ ไม่เกิดก็ไม่ชนะดิ คิดมากอะไรเนี่ย”
“ผมไม่ได้ขอโทษเรื่องนั้น ช่างมันเถอะ กินไอศกรีมเถอะ”
คราวนี้โทนี่เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง เขานึกสงสัยว่าสตีเฟ่นพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมต้องทำสีหน้าจริงจังขนาดนั้น อย่างกับเคยทำอะไรผิดกับเขาซะใหญ่โต
“สตีเฟ่น”
“ว่า”
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็ให้อภัยคุณได้นะ ไม่ดิ ผมว่าผมไม่โกรธคุณหรอก”
“…”
“มาช้าจังเลยนะ...เอ๊ะ”
“เอ๊ะอะไรโทนี่”
“ทำไมคุณ เอ่อ”
“แก่ขึ้น?”
โทนี่พยักหน้าเบาๆ พลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เนื่องจากใบหน้าของสตีเฟ่นในตอนนี้มีริ้วรอยเพิ่มขึ้นจากเมื่อตอนสู้ด้วยกันบนดาวไททันอย่างเห็นได้ชัด ผมสีขาวที่เคยมีแค่กระจุกเล็กๆกลับลุกลามเหมือนเวลาผ่านไปเป็นสิบปี อีกทั้งดวงตาที่เคยเปล่งประกายก็ดูอ่อนล้าลงอย่างแปลกประหลาด
เกิดอะไรขึ้นกับหมอนี่กันล่ะเนี่ย
“อ่า เป็นผลข้างเคียงจากการใช้เวทย์มนตร์น่ะ”
“ผลข้างเคียง? ล้อเล่นป่ะเนี่ย”
“เปล่า”
โทนี่ไม่เชื่อสตีเฟ่น แน่นอนว่าไม่เชื่อ ไม่เห็นจะเคยได้ยินว่าการใช้เวทย์มนตร์มีผลข้างเคียงทำให้คนแก่ขึ้นเป็นสิบปีได้ นอกจากสตีเฟ่นจะเป็นพวกพ่อมดพันปีอะไรเทือกๆนั้น แต่ก็นั่นแหละ ไม่ถามซักไซร้จะดีกว่า
“งั้นสั่งไอศกรีมเถอะ ดูเมนูเลย”
“โทนี่”
“ว่า”
“คือเมื่อวันก่อนผมไปเยี่ยมลูกสาวเพื่อนคนนึงมา”
“อ่าฮะ”
“เธอฝากบอกว่าเธอคิดถึ- เอ่อ ไม่สิ เธอมีคุณเป็นไอดอลนะ”
“หือ ลูกสาวเพื่อนคุณนี่เป็นแฟนคลับผมหรอ”
โทนี่เลิกคิ้วและหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก็ปกติจะเห็นแต่เด็กผู้ชายเดินมาบอกว่ามีเขาเป็นไอดอลนี่นา อย่างเช่นเจ้าหนูปีเตอร์นั่นน่ะ
“ประมาณนั้น”
“เธอชื่ออะไรล่ะ แล้วอายุเท่าไรแล้ว”
สตีเฟ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายออกไป
“ชื่อมอร์แกน อายุ14ปี”
“โห โตเป็นสาวแล้วไม่ใช่หรอเนี่ย พอจะมีรูปเธอให้ผมดูไหม”
“ไม่มีหรอก แต่ไว้วันหลังจะหามาให้ดูนะ”
“โอเค จริงๆวันหลังคุณพามอร์แกนมาหาผมที่ตึกก็ได้นะ เผื่อเธออยากเจอผมน่ะ”
“อืม ได้ ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไร เพราะแค่ได้ยินคุณพูดถึง ผมก็รู้สึกถูกชะตากับเธอขึ้นมายังไงไม่รู้แล้ว เคยคิดว่าถ้ามีลูกก็ว่าจะให้ชื่อมอร์แกนเนี่ยแหละ”
สตีเฟ่นพยักหน้ารับเบาๆ ความจริงและความรู้สึกผิดท่วมท้นอยู่ภายในจิตใจ
“ผมเชื่อว่าวันนึงคุณจะได้มีลูกที่ชื่อมอร์แกนนะ และเธอจะเป็นเด็กที่น่ารักมากๆแน่นอน”
ผมขอโทษนะโทนี่
“อ่า ขอบใจมากคุณพ่อมด จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะอยู่กับลูกของผมจนวันที่ผมแก่เฒ่าไปเลยล่ะ อยากเห็นลูกของตัวเองเติบโต อยากเห็นเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แค่นี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์แบบแล้ว”
“ผมต้องการเท่านี้จริงๆ”
"…"
ความฝันคือช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายๆคน
ความฝันคือสิ่งที่ทำให้คำว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
ความฝันคือเรื่องราวที่ถูกแต่งเติมขึ้นเพื่อให้บางชีวิตยังคงอยู่
แม้ว่าลึกๆแล้วเราต่างรู้ในใจว่า
ทุกอย่างในความฝัน
.
ไม่เคยมีอยู่จริง
ไม่เคยมีอยู่
ไม่เคยมี
ไม่เคย
ไม่
End.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in