ทำให้เราอิจฉาความกล้าทำหนังสือที่มีลูกเล่นแปลก ๆ ของต่างประเทศ คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับค่าครองชีพ และรายได้สมเหตุสมผลกัน ทำให้คนมีกำลังในการซื้อหนังสือ คนทำหนังสือจึงกล้าสร้างสรรค์ กล้าเสี่ยงทำอะไรแปลก ๆ กล้าสร้างงานที่ต้นทุนสูง เพราะคนมีกำลัังซื้อ ในขณะที่ประเทศไทย ราคาหนังสือหนึ่งเล่มประมาณค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งวัน หมายความว่าถ้าอยากได้หนังสือนิทานดี ๆ ให้ลูกสักเล่ม ต้องทำงานทั้งวันและเหลือเงินไม่พอซื้อข้าว จึงไม่แปลกที่คนจะเลือกซื้อข้าวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากกว่าการซื้อหนังสือเพื่อความบันเทิง และเพื่อพัฒนาทักษะให้ลูกหลาย ๆ เล่ม หนังสือเด็กของไทยจึงทำให้คุ้มค่าในสายตาผู้ใหญ่ เช่น เป็นภาพสี่สีทั้งเล่ม มีสาระความรู้ เนื้อเรื่องปลูกฝังคุณธรรม และเป็นประโยชน์สูงสุด ทำให้หนังสือนิทานที่เน้นความฮาอย่างเดียวของไทยมีน้อยกว่า และไม่ค่อยเปิดกว้างในความสร้างสรรค์เรื่องลูกเล่นของหนังสือ เพราะจะยิ่งทำให้หนังสือราคาสูงขึ้น
จะมีหรือ หนังสือที่กางออกมาแล้วยาว 3 เมตรแบบนี้!
หนังสือนิทานภาพยาวสามเมตรที่ชั้นหนึ่ง โรงแรมครีม
จะมีหรือ หนังสือที่ทำผีหลอกได้แบบนี้!
หนังสือภาพเรื่อง There's a Ghost in this House โดย Oliver Jeffers
จบกันไปเรื่องหนังสือนิทานแปลกตา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 เด็ก ๆ ก็เริ่มทยอยมาที่โรงแรมครีม เราเลยต้องปิดหนังสือแล้วเริ่มเดินไปเดินมาคอยเล่นกับเด็ก วันธรรมดาเด็กจะมาน้อยกว่าเมื่อวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่ที่มาเป็นขาประจำ อย่างน้องธรรมชาติมาที่นี่ตั้งแต่อนุบาล จนตอนนี้เป็นพี่ป.1 แล้ว และมีบ้างที่มาเป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับโรงแรมครีม ทั้งคุณครูและผู้ปกครองจึงคอยชวนเล่น มากกว่าเด็กคนที่คุ้นเคยดีแล้ว
น้องคนแรกที่มาถึงแล้วเราได้เล่นด้วยคือน้องโปร (ไม่แน่ใจว่าเขียนชื่อถูกหรือไม่) มาถึงน้องก็หยิบบอร์ดเกมที่มีลูกแก้วออกมาเล่น แล้วก็เดินไปเดินมาที่ชั้นหนังสือของชั้นหนึ่ง แล้วบ่นพึมพำหาบ้าน 100 ชั้น เราก็เลยช่วยน้องตามหาแล้วชี้บอร์ดเกมบ้าน 100 ชั้นให้น้องดู
"นี่ไงบ้านร้อยชั้น ใช่อันนี้ไหม"
"ไม่ใช่อันนี้บ้านร้อยชั้นขึ้นไปข้างบน แต่จะเอาบ้านร้อยชั้นลงไปใต้น้ำ"
เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่าหนังสือบ้าน 100 ชั้น ทำเป็น 100 ชั้นใต้ทะเลด้วย ถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เราก็พยายามช่วยหาอย่างสุดความสามารถ แต่ที่ชั้นหนึ่งมีแต่นิทานภาษาต่างประเทศ น้องโปรทำท่าคิดอะไรออกแล้วพูดว่า "ต้องไปชั้นสาม" แล้วเรากับแฟรี่ก็เดินตามน้องขึ้นไป และหาหนังสือบ้านใต้ทะเล 100 ชั้นจนเจอ น้องโปรสามารถจำได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนิทานต่อไป ดูเหมือนเล่มนี้จะเป็นเรื่องโปรดของน้องที่อ่านซ้ำก็ไม่เบื่อ แล้วน้องก็นับเลข 1-100 เป็นภาษาอังกฤษอวดด้วย
จากภาพด้านบนเป็นมุมนักประดิษฐ์ แล้วทุกคนคงจะสงสัยว่าสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่บนโต๊ะคืออะไร
เรื่องมีอยู่ว่าน้องมรรคเอาถั่วสีเหลืองที่อยู่ในโหลแก้ว เท่ใส่ขวดพลาสติกขวดใหญ่ จากนั้นก็ปิดฝา แล้วเขย่าแรง ๆ จนมีเสียงคล้ายเสียงฝนดังลั่นโรงแรมครีม แล้วน้องมรรคก็เทสลับถั่วเหลืองกับขวดสองขวดไปมา จนถั่วหล่นกระจายบนโต๊ะและที่พื้น
"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวช่วยกันเก็บ" คุณครูของโรงแรมครีมพูดทันทีที่ถั่วหล่นกระจาย
เรากับแฟรี่ก็ช่วยน้องมรรคเก็บถั่วสีเหลืองใส่ขวดด้วย แต่เพราะถั่วหกเยอะเลยต้องใช้เวลาสักหน่อย เราเลยคิดอะไรบางอย่างได้
"พี่มีวิธีทำให้เร็วด้วยนะ อยากรู้ไหม" เราถามน้องมรรค เพราะเคยฟังหรืออ่านมาจากที่ไหนสักที่ว่าให้ถามเด็กก่อน
"ไม่อยาก เอ้ย อยาก!" น้องตอบทันทีว่าไม่ แล้วก็รีบเปลี่ยนคำตอบพร้อมกับพยักหน้าหนักแน่น เราจึงลุกไปหยิบกระดาษที่มุมวาดเขียน
จากนั้นฉันก็ม้วนกระดาษเป็นทรงกรวยปากกว้าง ให้มีรูที่ก้นกรวย และดึงเทปใส่มาติดเอาไว้ พอเราเอากรวยกระดาษใส่ในปากขวด แล้วยกขวดมาที่จ่อกับขอบโต๊ะและใช้มือกวาดถั่วสีเหลืองลงขวดที่มีกรวยปากกว้างรอรับอยู่ ทำให้เก็บถั่วได้อย่างว่องไว
น้องมรรคดูตื่นเต้น แล้วก็ทำถั่วหกอีกหลายครั้ง เพื่อจะได้กวาดถั่วเก็บใส่ขวดโดยใช้กรวยกระดาษช่วยอีก สิ่งประดิษฐ์เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ ก็ทำให้เด็กสนุกและเล่นจนเพลินได้หลายนาทีเลย (แล้วเราก็ภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์อีกครั้ง)
ระหว่างที่ฉันนั่งดูนิทานอยู่ที่ชั้นสาม ครูบีมกับคุณแม่คนหนึ่งก็จูงเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่มาครั้งแรกขึ้นมา จากนั้นก็เลือกนิทานออกมาให้ครูบีมเล่าให้ฟัง เรานั่งฟังครูบีมตั้งแต่ต้น จากเด็กเพียงหนึ่งคนที่กำลังฟังครูบีม ก็เพิ่มเป็นสองคน สามคน และสี่คน เหมือนเสียงของครูบีมมีพลังวิเศษที่สามารถใช้เรียกเด็ก ๆ ให้มารวมตัวกันได้ สุดยอดมาก ๆ เลยค่ะครูบีม ?
ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อการแสดงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน บนผนังโรงแรมครีม
ได้ยินมาหลายครั้งว่าที่นี่มีการแสดง วันนี้เราเลยรีบถามน้องณนญว่าวันนี้มีการแสดงไหม น้องตอบเราว่า "มี แต่ยังไม่เริ่ม"เราก็ตั้งตาคอยว่าเมื่อไรจะเริ่ม เดินวนอยู่ที่ชั้นสองกับชั้นสามเผื่อว่าถ้ามีจะได้ไม่พลาด แล้วก็ไปเห็นข้อความแสดงความคิดเห็นต่อการแสดงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาจึงยิ่งตื่นเต้นไปอีก ดูเหมือนว่าการแสดงจะจริงจังมากเลยทีเดียว
และการแสดงสุดพิเศษก็ได้เริ่มขึ้นที่ชั้นสาม โดยมีน้องธีร์เป็นพิธีกร มีครูวาวเป็นนักแสดงรับเชิญรับบทเป็นยักษ์ที่จะใช้ช้อนกินลิง มีน้องมรรค น้องณนญรับบทเป็นลิง ที่น้อง ๆ ลงรายละเอียดไปถึงชื่อของตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์อย่างรู้ลึกรู้จริง (เรายังจำไม่ได้เลย) และยังมีเด็กหญิงอีกหนึ่งคนมาเล่นเป็นยักษ์เป็นเพื่อนครูวาว (ขอโทษจากหัวใจที่ไม่สามารถจำชื่อได้)
หลังการแสดงจบพิธีกรก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับถามคำถามจากการแสดง ใครตอบถูกจะได้ของรางวัลจากน้องธีร์ไป จากนั้นก็เขียนความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงนำไปติดที่ผนัง น่าเสียดายที่หมดเวลาสนุก เพราะโรงแรมครีมต้องปิดเวลา 6 โมงเย็นแล้วกลับมาเปิดใหม่ในวันถัดไป
เราขอลาเรื่องเล่าจากโรงแรม 350 ชั้นนี้ด้วยการไขข้อสงสัยว่าที่นี่มีกี่ชั้นกันแน่ ที่บันไดมีกระดาษแปะเอาไว้ว่า
คิดว่ามีกี่ชั้น?
คนที่ 1 ตอบ 350 ชั้น
คนที่ 2 ตอบ 127 ชั้นบนฟ้า 65 ชั้นใต้ดิน
คนที่ 3 ตอบ 3 ชั้น
คนที่ 4 ตอบ 3 ชั้น
คนที่ 5 ตอบ 182 กับอีกครึ่งชั้น
.
.
.
คนที่ 12 ตอบ 1000 แสนล้านชั้น
ตอบไม่เหมือนกันอย่างนี้ จึงไม่ได้คำตอบเสียทีว่าที่นี่มีกี่ชั้น เราเลยถามน้องธรรมชาติที่มาที่นี่ตั้งแต่อนุบาลจนเป็นพี่ป.1
"ที่นี่มี 4 ชั้น!" น้องตอบ
"แล้วทางขึ้นชั้น 4 อยู่ไหนอะ" เราถามน้อง
"อยู่ที่ประตูมิติ!" แล้วน้องก็พูดเหมือนกับจะลองเปิดประตูมิติที่อยู่บนชั้นสาม แต่น้องธีร์ขัดขึ้นก่อน
"เปิดไม่ได้นะ เพราะว่ามันมีฝุ่น" น้องธีร์พูดถูก เพราะว่าเราแอบเปิดประตูมิติดูแล้ว ด้านในเป็นห้องเก็บของโล่ง ๆ
"นั้นเราค่อยเปิดตอนไม่มีฝุ่นแล้วกันเนอะ" เราพูดปลอบใจน้อง แต่ความจริงแล้วปลอบใจตัวเองที่อดทะลุประตูมิติ
"เห็นมีฝุ่นตลอด 24 ชั่วโมงเลย" น้องธรรมชาติพูด
"งั้นเราคงไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงแล้วแหละ"
น่าเสียดายที่เราไขข้อสงสัยให้ทุกคนไม่ได้ว่าที่นี่มีกี่ชั้นกันแน่ ถ้าทุกคนอยากรู้ ลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเองที่โรงแรมครีมดูนะคะ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in