ขึ้นท่อนมาด้วยการโซโล่กีตาร์แจ๊ซ เริ่มต้นบทเพลง "I wish" เพลงจังหวะกลาง ๆ ไม่ช้าไม่เร็ว กับเสียงโซโล่กีตาร์ที่ใส่ effect reverb มาหนัก ๆ ให้เราหลงล่องลอยไปกับทำนอง เพื่อเตรียมความพร้อมมาโยกตัวกันต่อมากับบทเพลง "Disco Yes" เพลงผสนผสานระหว่างดนตรีแนว Disco ในสมัยก่อนกับไลน์เบสที่ Funky เอามาก ๆ จังหวะ Rytym กีตาร์ที่แบบดนตรี jazz ซึ่งให้อารมณ์แบบใครไม่โยกนี้ ไม่ใช้คนธรรมดาแน่นอน พร้อมกับโซโล่ไวโอลินยาว ๆ เข้ามาแบบไม่ให้ทันตั้งตัวก่อนที่จะจบเพลงไป
"Everybody get down" ถูกบรรเลง โดยมีเบสไลน์ที่นุ่มนวล เสียงจากแซกโซโฟนที่อ่อนหวานราว และเสียงจังหวะ percussion ที่ให้ความเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก เหมือนกับบอกให้ทุกคนระวังตัว จังหวะและทำนองพร้อมจะถาโถมใส่คุณ แสงบนเวทีค่อย ๆ สลัวลงพร้อมกับเสียงอินโทร
เสียงระฆังจากสถานีรถไฟดังขึ้น บอกให้ผู้ฟังรู้ตัวว่ารถไฟขบวนนี้นั้นจะพาทุกท่านดำดิ่งไปยังหัวใจและความทรงจำที่แหลกสลาย คล้ายหนังเรื่องเก่านั้นที่ถูกเปิดขึ้นมา พาเราย้อนกลับไปเมื่อครั้งข้างกายได้แนบชิดกับเธอ ผู้ซึ่งไม่มีวันกลับมา เพลง "Movie" นี้ถือได้ว่าเป็นเพลงไฮไลต์ของงานนี้ได้เลย (ยอดคนดูบน Youtube > 8 ล้านวิว) เพลงจังหวะช้า ให้อารมณ์เราเอาตัวของเราค่อย slow-burn ไปกับเสียงร้อง คอร์ดและริฟของกีตาร์เบา ๆ รวมถึงคีย์บอร์ดที่เล่นเป็นซาวด์ล่องลอย เหมือนภาพยนต์วินเทจภาพขาวดำใน และเม็ดเกรนแตก ๆ ของสมัยก่อน
ต่อกันด้วย 2 บทเพลง "Water baby" และ "Crazy Dream" ที่ได้ร่วม featuring กับศิลปินแรปจากประเทศอังกฤษอย่าง Loyle Carner ที่มีสไตล์การแรปที่โดนเด่น ด้วยโทนน้ำเสียงทุ้มต่ำร่ายดั่งกวี พร้อมกับทำนองบีทที่ความเร็วปานกลาง จังหวะกลองพอให้เราโยกคอได้เป็นจังหวะ เป็นช่วงเปลี่ยนจากเพลงช้า มาเป็นเพลงที่มีจังหวะที่เร็วขึ้น และจบลงด้วยการ Improvise จากกีตาร์แจ๊ส ถือว่าเป็นช่วงในการปรับอารมณ์จากเพลงเศร้าได้เป็นอย่างดี
หลังจากปรับอารมณ์กันแล้ว ก็ต่อด้วยเพลง "Colours of Freedom" ให้ผู้ชมได้ค่อย ๆ เคาะเท้าไปกับจังหวะ โดยมีเครื่องดนตรี synth, jazz guitar, strings ให้ vibes ดิสโกในสมัยก่อน พร้อมกับเซอร์ไพร์สผู้ฟังด้วย รวมเพลง "Medley" ของเพลงและศิลปินในตำนานอย่าง The Pharcyde - Runnin / Dr. Dre - Xxplosive / Ice Cube - It Was A Good Day / The Notorious B.I.G. - Big Poppa โดยเป็นการ solo แจ๊ซกีตาร์ ที่ไม่มีเนื้อร้องความยาวกว่า 3 นาที รวมถึงมีการแจมด้วยไวโอลินอย่างดุเดือด เหมือนการประชันกันระหว่างสองเครื่องดนตรี
หลังจากการ Solo เครื่องดนตรีอย่างดุเดือดแล้ว "Falafel" ที่มีกลิ่นอายของความเป็นดนตรี Rock ผสนผสานอยู่ในเพลง จากเสียงกีตาร์ที่แตกเกรน ผสมผสานกับเครื่อง synth ที่เป็นส่วนผสมของความเป็น Rock แต่ยังคงไว้ซืึ่งกลิ่นอายของความเป็น Funk Disco ที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปินอยู่
หลงไปในท่ามกลางเมืองปารีสกับเพลง "Lost in Paris" กับกลิ่นอายที่นุ่มละมุ่นของ sound แจ๊ซกีตาร์ และ เสียง percussion ที่เคาะจังหวะประกอบได้อย่างพอดี รวมถึงแซคโซโฟนที่เพิ่มลูกเล่นความ catchy ให้กับเพลงนี้อีกด้วย
สุดท้ายปิดคอนเสิร์ตไปกับเพลง "South of the river" ที่พระเอกของเพลงคือไวโอลิน ที่มีกลิ่นอายของ Neo-soul พร้อมกับจังหวะ Loop ของกีตาร์ ถือได้ว่าเป็นเพลงที่มี groove จังหวะที่ยอดเยี่ยม ถูกเรียบเรียงมาอย่างดี บอกลาคอนเสิรต์ไปพร้อมกับบรรยากาศแม่น้ำตอนใต้ของประเทศอังกฤษ
บทสรุป "Tom Misch Live at Montreux Jazz Festival 2019" เป็นคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง นอกเหนือจากความชื่นชอบส่วนตัวของผู้เขียน ทักษะการเล่นดนตรีสดของ Tom Misch ถือได้ว่าไร้ที่ติ ศิลปินรับเชิญที่ได้มาร่วมแสดงก็เป็นศิลปินที่โด่งดัง และด้วยความเป็นนิทรรศการ Jazz ก็ทำให้เพลงที่เล่นสด แตกต่างจากต้นฉบับดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งการ Improvise ต่าง ๆ กีตาร์แจ๊ซที่มีความเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้บทเพลงมีลูกเล่นที่ซับซ้อนมากขึ้น และการใช้เครื่องดนตรีอย่าง Saxophone และ Violin ที่มาสร้างสีนสันเพิ่มความ Sexy ให้กับการแสดงครั้งนี้มากขึ้นไปอีก
ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคอนเสิรต์ ไม่กี่คอนเสิรต์ที่นิสิตได้ฟังในปีนี้ ทำให้ผู้เขียนหวนคิดถึงบรรยากาศเช่นนี้ หวังว่าวงการดนตรีจะกลับมาได้อีกครั้งหนึ่งในเร็ววัน และสุดท้ายหาก "ดนตรีนั้นคือชีวิต" ผู้เขียนก็คิดถึงชีวิตในวันวานเก่า ๆ I want COVID to disappear from the world soon, then I Just want to go to concern :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in