Pairing: Erwin Smith/Levi Ackerman
Warning!
มีส่วนที่สปอยล์เนื้อหาในอนิเมะซีซันสามพาร์ทสอง
เขาถูกปลุกโดยเหล่านกรอบบ้าน เสียงร้องประสานสูงต่ำจากในป่าดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นจังหวะ
'เช้าแล้ว’ พวกมันบอก มนุษย์จึงพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้
หลังนอนฟังเพลงกล่อมได้ราวห้านาทีเจ้าของร่างใต้ผ้าห่มผืนหนาถึงได้ตื่นขึ้นเต็มตา หากเมื่อพลิกกายเอื้อมแขนไปควานหาไออุ่นที่ใช้พักพิงตลอดคืนกลับต้องครางฮือออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะพบเพียงความว่างเปล่า สุดท้ายก็ทำได้แค่ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ ใบหน้าไม่สบอารมณ์ปรายตามองผ้าห่มที่ร่นไปถึงข้อเท้า จากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นมาสวม คิดในใจว่าตนตื่นสายเกินไปหรือเปล่าถึงได้ถูกทิ้งไว้บนเตียงโดยคนขี้เซาที่แสนจะปลุกยากปลุกเย็น
คนตื่นเร็วกว่าคงห่มผ้าให้เขาก่อนลุกออกไป พวกเขาทั้งคู่ติดนิสัยสวมเพียงเนื้อหนังยามหลับนอน นั่นเป็นนิสัยติดตัวที่ไม่คิดจะแก้ เพราะข้อดีของมันคือทำให้สัมผัสความร้อนจากกายมนุษย์ได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือคนที่ตื่นสายจะต้องถูกทิ้งไว้เผชิญความหนาวเพียงคนเดียว
ฝ่าเท้าเล็กย่ำไปตามพื้นไม้ไม่กี่ก้าวชายผมสีเข้มก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่ครัว บ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียวนี้ถูกแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนและมีเครื่องเรือนน้อยชิ้น พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าที่ซุกหัวนอนยามค่ำคืน ห้องอาบน้ำและอุปกรณ์เครื่องครัว --อ้อ ยังมีหนังสือจำนวนมากและเอกสารกองมหึมาของเขากองระเกะระกะตามชั้นวางของอีก เมื่อคิดถึงงานขึ้นมาได้ รีไวล์ที่กำลังรอกาต้มน้ำร้อนเดือดก็ต้องถอนหายใจ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องรีบจัดการให้สำเร็จในเร็ววัน เช่น... เรื่องของคนที่หายจากเตียงไปเมื่อเช้า
รอไม่นานชายร่างเล็กก็เดินถือแก้วชาออกมาพิงขอบประตูหน้าบ้าน มือยกเครื่องดื่มสีเข้มขึ้นจิบก่อนวางไว้บนโต๊ะไม้กลม กลิ่นสดชื่นของหญ้าเกรียมแดดโชยมาให้ได้สัมผัสจาง ๆ ชายหนุ่มสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ก่อนสายลมอุ่นจะแล่นพัดผ่านผิวแก้มไปกระทบต้นหญ้าจนพลิ้วลู่ตามลม ขาเรียวก้าวไปตามทุ่งหญ้า ทิวทัศน์เขียวขจีตัดกับสีครามทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ของภาพตรงหน้าจนลืมสวมรองเท้า ต้องโทษความสงบของชายป่าใกล้ที่พักใหม่ทำให้ทุกอย่างดูน่าผ่อนคลายและสวยงาม ทุกอย่างที่ว่านี่ยังรวมไปถึงแผ่นหลังกว้างของวีรบุรุษแห่งสงครามที่เขากำลังตามหาอยู่ อีกฝ่ายกำลังเหม่อมองแผ่นฟ้าผืนใหญ่ ร่างกายสูงใหญ่ยืนหยัดอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง ริมฝีปากเหยียดยิ้มเหมือนกำลังพอใจหากแต่นัยน์ตาสีฟ้าใสกลับดูแสนโศก ภาพตรงหน้าดูเลอค่าหากแต่สวยงามเกินจริง
เหมือนเป็นเพียงความฝัน รีไวล์ยืนมองทัศนียภาพตรงหน้าอย่างละเมียดละไม เขาไม่อยากเข้าไปขัดบรรยากาศอันสุนทรีย์ตรงหน้าเพราะกลัวว่าจะไม่ต่างอะไรกับการรบกวนศิลปินที่กำลังรังสรรค์งานชิ้นเอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้การมาถึงของเขามาตั้งแต่แรก
“ตื่นสายจังนะวันนี้” เออร์วินหันกลับมาทักพร้อมรอยยิ้มกว้าง มันเจิดจ้าจนทำให้ตาพร่ามัว ชายผมทองอ้าแขนทั้งสองข้างยืนรอให้เขาเดินเข้าไปกอด
เออร์วิน สมิธทำให้เขาอยากตื่นขึ้นมาขอบคุณตัวเองในทุก ๆ วันที่วันนั้นตัดสินใจไม่ผิด แม้จะต้องทำให้ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจพวกเขาทั้งคู่ก็ตาม
เออร์วินยามตื่นจากฝันร้ายบอกกับเขาเสมอว่าตนเป็นปีศาจที่คร่าเอาผู้คนไปไม่น้อย เป็นความผิดบาป เป็นเพียงสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้ รีไวล์ได้แต่ตอบกลับในใจว่าเขาก็เป็นเพียงคนที่ฟื้นปีศาจตนนั้นขึ้นมา ถ้าบนโลกนี้ไม่มีเออร์วิน สมิธ ก็ไม่ควรมีรีไวล์ เอคเคอร์แมน
เราทั้งสองต่างใช้อีกฝ่ายเป็นสิ่งเยียวยา เป็นเครื่องย้ำเตือนให้ตื่นมาใช้ชีวิต ยามค่ำคืนเราเหมือนเสือสองตัวที่ต่างคอยโลมเลียแผลของอีกฝ่าย ต่างกันก็ตรงที่มันเป็นแผลในจิตใจและไร้ซึ่งหนทางรักษา ทำได้เพียงใช้เวลาประคับประคองกันและกันไปเรื่อย ๆ เพื่อรอผลลัพธ์ที่ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไร
สงครามยังไม่จบ ทุกความพยายามจึงเต็มไปด้วยคราบเหงื่อและหยาดน้ำตา หลังจากเหตุการณ์ห้องใต้ดินพวกเขาก็กลับไปยังทรอสต์พร้อมกับชัยชนะและความจริง ในตอนนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการรู้หรือไม่รู้นั้นดีกว่ากัน สิ่งที่พวกเขาคาดฝันไว้นำมาซึ่งภาระอันใหญ่หลวง เออร์วินถูกพักงานไม่มีกำหนดและมีรีไวล์คอยดูแล เราถูกจับตามองโดยคนของหน่วยทหารสารวัตรเพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าเออร์วินที่ได้รับเซรุ่มไททันนั้นเป็นประโยชน์หรืออันตรายต่อชาติกันแน่
แต่รีไวล์ไม่กังวลอีกต่อไป ทั้งอิสรภาพ ทั้งสันติภาพ เมื่อมีสองอย่างนี้ก็ไม่อยากคาดหวังกับอะไรในวันข้างหน้า ขอเพียงให้เออร์วิน สมิธได้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพียงพอ แม้ภาพใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเอเรนและมิคาสะจะตามมาหลอกหลอนอยู่ในฝันของเขาทุกคืนก็ไม่เป็นไร ในวันนั้นเด็กพวกนั้นบอกกับรีไวล์ทั้งน้ำตาว่าเขาโหดเหี้ยมแค่ไหนที่ไม่เลือกชีวิตของอาร์มิน อาร์เลอร์ท บอกกับเขาถึงความเห็นแก่ตัวและอคติส่วนตัวที่เลือกเออร์วินในฐานะคนสนิท และใช่ เขายอมรับว่ามันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวที่เอาผลประโยชน์ของชาติมาบังหน้า แต่เขาเองก็ยอมรับการสูญเสียของคนสำคัญอีกไม่ได้เหมือนกัน
“คิดอะไรอยู่คนเดียวอีกแล้ว” เสียงทักของเออร์วินเรียกให้ชายร่างเล็กได้สติ
“แค่เรื่องไร้สาระ” รีไวล์ส่ายหน้า
ชายตัวสูงกว่ายิ้มมุมปากก่อนถอนหายใจ
“ก็พูดแบบนี้ตลอด”
เพราะมันเป็นความจริงยังไงละ ขอเพียงเออร์วินได้กลับมาอยู่ข้างกาย ได้กลับมาเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งให้เขายืนหยัดในฐานะกัปตันของหน่วยสำรวจ และในฐานะผู้เหลือรอด เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีก เขาจะใช้ชีวิตแทนเหล่าคนที่จากไป จะมีชีวิตต่อไปพร้อมกับความรู้สึกผิด จะรักษาสิ่งที่เหลืออยู่นี้เอาไว้แม้จะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อก็ตาม
“แดดเริ่มแรงแล้ว กลับเข้าบ้านกันเถอะ” เออร์วินเอ่ยก่อนเดินนำ ฝ่ามือใหญ่จับมือของเขาเอาไว้
คำพูดของคนรักทำรีไวล์ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ใช่ กลับบ้านของเรา
ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอเพียงแค่วันนี้ได้มีมือคู่นี้คอยกุมมือของเขาอยู่ก็พอ
แด่ เมื่อวาน
ขอบคุณที่ทำให้เออร์วิน สมิธยังอยู่กับเขาตรงนี้ต่อไป ขอบคุณจริง ๆ
/ เป็นเพียงแฟนฟิคสั้น ๆ ที่เขียนขึ้นเพื่อรักษาใจตัวเองค่ะ T T ตอนเริ่มเขียนก็คิดแค่จินตนาการฟุ้ง ๆ ในหัวว่าถ้าตอนนั้นรีไวล์เลือกเออร์วินจะเป็นยังไงนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะฟุ้งขนาดนี้ มังงะเองก็ใกล้จะจบแล้วใครที่อ่านซีซันสี่อยู่ก็รักษาใจตัวเองกันด้วยนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in