เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MY FICTIONtungpang
Ducati
  • สายลมพัดอ่อน ๆ ในยามเช้าพาให้ต้นหญ้าปลิวไสวลู่ไปตามแรงลม


    ทางเดินสู่ประตูหลังโรงเรียนทอดยาวไกลออกไปดูเหมือนไม่มีสิ้นสุด


    เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถ ยกกระเป๋าขึ้นพาดไปบนบ่าพลางหาวอย่างเกียจคร้านก่อนจะเริ่มออกเดิน
    แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง


    “แหม ทำเป็นใส่เสื้อ Ducati มีใบขับขี่แล้วเหรอ”


    เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปมองก็พบเด็กสาวผิวขาวอมเหลืองคนหนึ่ง ผมสีดำสนิทยาวมัดรวบอย่างเรียบร้อย เธอใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนเดียวกัน คาดคะเนจากสายตาแล้วอายุก็คงพอ ๆ กับเขา


    เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ปกติเขาก็ใส่เสื้อตัวนี้เตะบอลประจำด้วยความที่ชื่นชอบใน Big Bike มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพียงแต่วันนี้ตื่นสายไปหน่อยถึงยังไม่ทันติดกระดุมเสื้อนักเรียนที่ใส่คลุมทับอยู่ให้เรียบร้อยเท่านั้น เจ้าเสื้อสีเหลืองลาย Ducati จึงโผล่ออกมาให้เห็นนั่นเอง


    “แล้วเธอล่ะ รู้จัก Ducati ดีนักรึไง ถึงมีสิทธิ์มาวิจารณ์การแต่งตัวคนอื่น” เด็กหนุ่มตอกกลับ เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาว่าอะไรง่าย ๆ ซะด้วยสิ


    “อย่างน้อยพ่อฉันก็อยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ก่อนฉันเกิดก็แล้วกัน ฉันมีประสบการณ์มากกว่านายแน่นอน” เด็กสาวเถียงทั้ง ๆ ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ ‘ไม่น่าปากไวไปทักเขาแบบนั้นเลย’ เธอคิด แต่จากที่เห็นมันก็อดไม่ได้จริง ๆ เนื่องจากพ่อของเธอก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ชื่นชอบในการขี่ Big Bike มากและเธอเองก็มีเสื้อDUCATI แบบนี้ที่บ้านเหมือนกันจึงเผลอทักเขาออกไปแบบนั้น


    “ไร้สาระ ถ้าไม่ใช่ตัวเธอเองจริง ๆ มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เด็กหนุ่มพูดต่อพลางยักไหล่ เด็กสาวเริ่มหน้าแดงด้วยความอับอาย ใช่ ครั้งนี้ดูเหมือนเธอจะผิดจริง ๆ


    เด็กหนุ่มหันหลัง ออกเดินไปตามทางเหมือนเช่นเคย สายลมอ่อน ๆ ยังคงพัด ผมของเขาปลิวตามจนเริ่มยุ่งเหยิง แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบลงที่ทางเดิน ท่ามกลางนักเรียนมากมายที่กำลังเดินเข้าโรงเรียน มือเล็กมือหนึ่งได้เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของเขาไว้


    “หืม” เด็กหนุ่มหยุดเดิน หันกลับไปมอง ยังคงเป็นเด็กสาวคนเดิม เธอเม้มปากแน่น ช้อนตาขึ้นมองเขา
    “เดี๋ยว ฉันหมายถึง ขอโทษ ฉันปากไวไปหน่อย ขอโทษนะ” เด็กสาวพูดอ้อมแอ้ม แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออก


    “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มให้เพื่อแสดงความจริงใจ เด็กสาวมองเขาตาโตเพราะไม่คิดว่าเขาจะให้อภัยง่าย ๆ แบบนี้


    “นายอยากไปเจอพ่อฉันมั้ย ที่จริงรถพ่อฉันโดนชน เขาน่าจะยังรอประกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์” ไม่ทันได้พูดจบ เด็กสาวก็ออกแรงดึงที่ข้อมือ เธอแรงเยอะทีเดียว เพียงแค่ออกแรงก็กระชากจนเด็กหนุ่มต้องวิ่งตาม เงาร่าง 2 ร่างวิ่งสวนกับเด็กคนอื่นที่กำลังเดินเข้าโรงเรียนบนทางเดินแคบ ๆ


    “เดี๋ยวก่อนสิ” เด็กหนุ่มร้องห้ามแต่เหมือนเด็กสาวจะไม่ฟัง ‘ช่างเถอะ’ เขาคิดในใจ ยังไงไปเจอผู้มีประสบการณ์ตัวจริงก็ไม่เลว เขาแอบตื่นเต้นเล็กน้อย


    เด็กสาวลากเด็กหนุ่มมาหยุดที่ป้ายรถเมล์หลังโรงเรียน เธอหอบเล็กน้อยจากการวิ่งมา เด็กหนุ่มหยุดวิ่งตาม ที่นั่นเขาเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้านั่งกดโทรศัพท์อยู่


    “พ่อคะ ดูซิหนูพาใครมา” เด็กสาวดึงตัวเด็กหนุ่มมาข้างหน้าตน


    “เอ่อ สวัสดีฮะ ผมก็ชอบ DUCATI เหมือนกัน ถึงตอนนี้จะมีแต่เสื้อก็เถอะ แต่ซักวันผมจะซื้อรถของตัวเองให้ได้ เอ่อ ดีใจที่ได้พบคุณนะฮะ” เด็กหนุ่มพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อสบกับสายตานิ่ง ๆ ของชายตรงหน้าที่มองมา


    “เฮ้อ ดูเหมือนลูกสาวของฉันจะไปทำให้เธอลำบากใจสินะ” จู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นพลางฉีกยิ้มแล้วส่ายหัวเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีดำออกมาก่อนจะดึงธนบัตรสีเทาใบหนึ่งออกมายื่นให้เด็กหนุ่ม


    “รับไว้เถอะนะ ถือซะว่าแทนคำขอโทษจากฉัน”


    เด็กหนุ่มมองอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะรีบปฎิเสธเป็นพัลวัน


    “ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมแค่มาพบคุณเพราะเห็นว่าชอบ Ducati เหมือนกันเท่านั้นเอง”


    “อ่า ถ้าอย่างนั้น” ชายวัยกลางคนเก็บธนบัตรสีเทาใส่เข้าไปตามเดิมก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาแล้วยื่นให้เด็กหนุ่ม


    “ถ้าเป็นอันนี้คงพอใช้ได้สินะ”


    เด็กหนุ่มก้มมองในมือใหญ่ มันคือสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ของรถ Ducati นั่นเอง


    “ถ้าเป็นอันนี้ก็แจ๋วเลยฮะ ขอบคุณฮะ” เขารับมันมาก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางยิ้มแก้มปริ


    “รีบไปเข้าเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสาย” ชายหนุ่มวัยกลางคนตัดบทแล้วส่งยิ้มอย่างอบอุ่น
     
    “ค่ะพ่อ ไว้เจอกันตอนเย็นนะคะ” เด็กหญิงโบกมือลาพลางหันหลังกลับแล้วออกเดินบนทางที่ทอดยาวสู่ประตูโรงเรียนอีกครั้ง เด็กหนุ่มยกมือไหว้ชายวัยกลางคนก่อนจะออกเดินตาม เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่งเขาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง แต่กลับไม่พบใครแล้ว


    ‘ประกันคงมาแล้ว’ เขาคิด


    “ไปเร็ว เราจะสายแล้ว” เสียงร้องเตือนจากเด็กสาวทำให้เด็กหนุ่มได้สติ จากเท้า 2 คู่ที่เดินสบาย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวิ่ง จนในที่สุดก็เข้าประตูโรงเรียนมาทันเวลาแบบฉิวเฉียด


    “สวัสดีค่ะ/ครับอาจารย์” เด็กทั้ง 2 ยกมือไหว้อาจารย์ที่ยืนประจำอยู่ที่ประตูหลังโรงเรียนก่อนอาจารย์จะปิดประตูลง

     
    “อ้าวชลธิชา ครูดีใจนะที่เห็นเธอกลับมาเรียนได้” อาจารย์ร้องทักเด็กสาว เด็กหนุ่มหันไปมองที่เธออีกครั้ง


    “ขอบคุณค่ะอาจารย์” เด็กหญิงตอบพลางยิ้มกว้าง


    “รีบไปเข้าแถวเถอะเดี๋ยวสาย ส่วนเธอ ธนบดี มาทางนี้เลย ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้กัน”


    ‘อ่าลืมไปซะสนิทว่าเรายังไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนให้เรียบร้อย’ เด็กหนุ่มวางกระเป๋าลงแล้วเริ่มลงมือติดกระดุมชุดนักเรียนก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่ยกมือไหว้อาจารย์ เธอแอบขยิบตาให้เขาทีหนึ่งก่อนจะเดินไปเข้าแถวและเลือนหายไปกับฝูงชน


    “หยุดไปตั้ง 2-3 เดือน ในที่สุดก็กลับมาเรียนจนได้นะคะ” อาจารย์ที่เป็นเวรเฝ้าประตูอีกคนหนึ่งกระซิบกระซาบเสียงเบา แต่ก็ดังพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มได้ยิน ‘คงหมายถึงเด็กที่ชื่อชลธิชาคนเมื่อกี้’ เขาคิด ‘เท่าที่ดูก็แข็งแรงดีไม่น่าจะเป็นโรคอะไรร้ายแรงเลยนะ’


    “ใช่ค่ะ เห็นสภาพแกช็อควันนั้นแล้วใจหายจริง ๆ แต่อย่างว่า เป็นใครเห็นพ่อตัวเองถูกรถชนจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาก็คงช็อคทั้งนั้น” อาจารย์อีกคนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ


    “ครับ?” คราวนี้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์อย่างอึ้งๆ


    “มีอะไรธนบดี แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบไปเข้าแถวได้แล้ว”


    “พ่อของชลธิชาเสียแล้วเหรอครับ” เด็กหนุ่มถามพลางกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก


    “ใช่ ก็เด็กคนนี้แหละที่มีข่าวดังเมื่อเทอมที่แล้ว ที่พ่อของเธอจอดรถส่งเธอที่หลังโรงเรียน พอชลธิชาลงจากรถก็มีรถกระบะพุ่งข้ามเลนมาชนจนพ่อของเธอเสียชีวิตคาที่เลย น่าสงสารจริง ๆ ได้ยินว่าชลธิชาที่อยู่ในเหตุการณ์ช็อคจนต้องเข้าบำบัดที่โรงพยาบาลจิตเวชตั้งหลายเดือน” ประโยคหลังอาจารย์ไม่ได้พูดกับเขา แต่หันไปซุบซิบกันเอง


    เด็กหนุ่มเบิกตาโต ในหัวเริ่มย้อนนึกถึงเรื่องราวในเทอมที่แล้ว ดูเหมือนจะมีเรื่องประมาณนี้เกิดขึ้นจริงๆ เป็นข่าวดังครึกโครมอยู่พักหนึ่งทีเดียว แต่ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้สนใจมากนัก ไม่นานข่าวนี้ก็เงียบหายไปตามกาลเวลา


    “ธนบดี ธนบดี ยืนเหม่อทำไมไปเข้าแถวได้แล้ว ไม่งั้นครูจะถือว่ามาสายแล้วนะ”


    “ครับ ๆ” เด็กหนุ่มได้สติลนลานคว้ากระเป๋าขึ้นมาหนีบไว้แล้วยกมือไหว้อาจารย์ก่อนจะรีบวิ่งไปทางเสาธง เขาหยุดยืน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สัมผัสมันลื่นของพื้นผิวสติ๊กเกอร์บ่งบอกว่ามันยังคงอยู่ในนั้น


    เด็กหนุ่มขนลุกซู่ สายลมอ่อน ๆ ยังคงพัดอย่างแผ่วเบา ราวกับจะทักทายเขาในยามเช้า


    based on my dream

    By Pangnap : 31.12.2022

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in