เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Phenomenon of LifeJINNY
ชีวิตที่ไร้จุดหมายของเด็กม.6
  •         สวัสดีค่ะ หนู ดิฉัน ฉัน เดี๊ยน เรา แทนว่าเราแล้วกันค่ะ555 ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตเรา เพราะเพิ่งจบม.6มาเดือนกว่าๆ เพิ่งสอบเสร็จมาไม่กี่อาทิตย์ บวกกับความฉิบหายจากclusterโควิด ทำให้ต้องอยู่แต่ในห้อง ไปได้ไกลสุดก็สวนในรั้วบ้าน ไม่รู้จะเอายังไงต่อ ชีวิตที่ไม่รู้ว่าชอบอะไร อยากเรียนอะไร ต้องการอะไรกันแน่ ทั้งความคาดหวังจากครอบครัวบวกกับความกลัวอดตายในอนาคต พอคิดได้ว่าคณะนี้ก็ดีนะน่าจะเข้ากับเราได้ก็มาพร้อมกับคำถามในหัวตัวเองว่า "แล้วจบไปจะไปทำไรวะ" เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง กำลัง financial support มีจำกัด นิยามง่ายๆว่าการใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย 

            ช่วงปิดเทอมใหญ่เตรียมตัวขึ้นม.6 (2020) เราคิดแค่ว่าเรียนหมอก็ได้ ก็เลยเรียนพิเศษ เรียน เรียน แล้วก็เรียน พอโควิดเริ่มมาทำให้เราต้องquarantineอยู่บ้าน ด้วยความขี้เกียจก็เรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง เล่นบ้าง บางวิชาก็เรียนไม่จบคอร์ส ทำให้รู้แล้วว่าเราคงเรียนหมอไม่ได้หรอก จนสุดท้ายเราพอค่ะ เอาแค่วิชาที่ชอบก็คือภาษาอังกฤษและแคลคูลัส (ไม่ได้ชอบคณิตค่ะ ชอบแค่แคล555) ก็พยายามเรียนให้จบก่อนจะเปิดเทอมม.6 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนบ้าทำขนม ทำอาหาร เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ทำขนาดที่ว่าทุกวันต้องมีเมนูที่เราทำ1เมนู แม่ก็ถามว่าถ้าชอบทางนี้ไปเรียนสายอาหารมั้ย เราก็เก็บมาคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ไม่เอาดีกว่า เราอยากให้การทำอาหารเป็นอะไรที่ทำให้เราสบายใจในการทำ ไม่ใช่เป็นงานที่เราต้องมานั่งเครียด เลยปัดตกไป พอช่วงเปิดเทอมเรามีเพื่อนสนิทคนนึงนางเป็นเด็กเก่งภาษาจีน เคยไปแลกเปลี่ยนมา เราก็ถามว่า "มึงจะเรียนไรวะ อักษรหรอ?" แน่นอนว่าคำตอบก็คือใช่ เราก็มานั่งคิดพักใหญ่ๆแล้วว่าหรือเราจะเรียนอักษรดีวะ เพราะเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และชอบสายนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพี่เราจบมาจากอักษร เอกภูมิศาสตร์ นางอยากให้เราเรียนวิศวะเพราะมันมั่งคงและรู้ว่าเราไม่เอาหมอแล้ว และบอกว่าเรียนอักษรมันหางานยากนะ จากนั้นนางก็พยายามหาทุนให้เราไปไต้หวันเหมือนนาง ด้วยความที่อยากออกจากประเทศนี้เต็มทน เอาวะ ลองดู ไม่ติดก็มีTCASที่ไทยรองรับอยู่ เราก็เตรียมเอกสารนั่นนี้ ทุ่มเทกับการสอบTOEIC จนมาถึงม.6เทอม2 ช่วงที่มึงต้องรู้แล้วแหละว่ามึงจะทำอะไร อีก4เดือนสอบ ช่วงต้นเทอม2เป็นช่วงที่เราเหนื่อยมากๆ เพราะต้องเขียนessay3-4ฉบับ เนื่องจากยื่น2ทุน2มหาลัย เป็นคณะที่เกี่ยวกับ Technology management เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาว่าง การบ้านก็ถาโถม โครงงานวิทยาศาสตร์ก็ต้องทำ เรียนพิเศษก็ต้องเรียน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนจะไซโคให้เราเรียนวิศวะ ถ้าถามว่าเราอยากเรียนไหม 'ก็เรียนได้' แล้วความปีชง ความโชคร้าย ความฉิบหายวายป่วงก็บังเกิดขึ้น หลังจากพ้นปี2020มา เราต้องทำงานเยอะมาก ไม่รู้ว่าครูไม่อยากให้เราจบม.6หรือเปล่า สั่งเอาๆ ซึ่งการจะยื่นทุนไปไต้หวัน มันต้องไปปั๊มเอกสาร2ที่ กินเวลาเกือบ1อาทิตย์ ทุนที่เราจะยื่นปิดรับสมัครวันที่ 31 มีนาคม ส่วนเราปิดเทอมวันที่ 5 มีนาคม พอเคลียร์งานเสร็จ ก็ต้องมาอ่านหนังสือสอบเพราะเกรดก็ต้องทำให้ดีเผื่อจะเรียนที่ไทย พี่เราก็ทวงยิกๆให้เราไปปั๊มเอกสาร บวกกับบอกให้เราไปเลือกคณะใหม่ นางกลัวเราไม่มีงานทำ เราก็หงุดหงิดเพราะเพิ่งมาบอกอะไรตอนนี้ ช่วงแรกๆเราให้ดูคณะนางก็ไม่ว่าอะไร ถ้าจะให้เลือกใหม่ essayก็ต้องแก้ ซึ่งมันไม่ทัน สรุปก็เอาคณะเดิม แต่ด้วยความที่เป็นเด๋็กต่างจังหว้ัด ส่วนพี่เราทำงานที่กรุงเทพ ความเจริญอะไรก็อยู่กรุงเทพหมด การไปปั๊มเอกสารก็เช่นกัน วันนั้นเป็นวันที่ 3 มีนาคม เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ (มั้ยนะ..) เราตัดสินใจบอกกับพี่ไปว่าจะไม่ไปไต้หวันแล้ว เพราะถ้าไปปั๊มเอกสาร เราก็จะเหลือเวลาอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับสอบที่ไทยน้อย นางก็แล้วแต่เรา นางบอกว่ากลัวเราจะเหมือนนาง กลัวจะหางานยาก เพราะถ้านางไม่ไปต่อป.โทที่ไต้หวัน เงินเดือนคงไม่เกิน2หมื่น เราก็คิดว่าเราค่อยไปตอนป.โทเหมือนนางก็ได้ เพราะถ้าเราเลือกทุ่มกับไต้หวันที่ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ กับที่ไทยที่มีโอกาสมากกว่าโข สุดท้ายพอสอบไฟนอลจบ เราก็ทุ่มอ่านหนังสือจากที่ช่วงเปิดเทอมได้อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ติวเลิก5ทุ่มเที่ยงคืน ครูสอนพิเศษเค้าอยากให้เราเรียนวิศวะ (อีกแล้ว...) จากนั้นก็มาถึงช่วงสอบ ช่วงที่เครียดชิบหาย ช่วงที่นั่งคิดคะแนนตัวเองทุกวันทั้งที่ยั่งไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ จะมากหรือน้อยกว่าที่คิดไว้ขนาดไหน จากนั้นเราก็กลับมาความคิดเดิมที่ว่าจะเรียนอักษรเอกสารสนเทศ ไม่ก็ภูมิศาสตร์เหมือนกับพี่ ด้วยความที่ไม่มีคะแนนPAT7 มีแต่PAT1 และเสียดายที่เรียนสายวิทย์มาไม่อยากเบนเต็มตัว555555 ก็เอาอันนี้แหละ ไม่ได้จุฬาก็เอาศิลปศาสตร์ มธ. ยอมรับเลยว่าคีพม. ไม่คีพคณะ แล้วก็เหมือนเดิม วนมาที่ความคิดที่ว่า "หรือจะเอาวิศวะดีวะ" แต่กูไม่ได้ชอบฟิสิกส์อะ!!! นั่งไล่ดูคณะไปซักพักจิตวิทยาก็น่าเรียนนะ ซึ่งพอดูคะแนนแล้วก็เหม่อไปพักใหญ่ GAT 292/300 ใครมันจะทำได้วะ!!! ไม่ใช่กูแล้ว1 เลยพับเก็บไป  ไปปรึกษาเพื่อนหลายๆคนที่มันคิดจะซิ่วทั้งที่คิดว่าคะแนนตัวเองไม่ดี ทั้งGAP year มันก็บอกว่าจริงๆการซิ่วไม่ใช่เรื่องไม่ดี เราก็มาฉุกคิดว่า เออ ก็จริง จากนั้นเราก็ไปปรึกษาครูที่สนิทกันเค้าเป็นครูที่เขียน letter of reccomendation ให้เราตอนที่จะยื่นทุนไต้หวัน เราถามครูว่าทำไมครูถึงมาเป็นครู เค้าบอกว่าเค้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี รู้แค่ชอบเคมี เลยไปเรียนคณะวิทย์ แถมเคลมว่าจริงๆตอนนั้นไม่ได้เก่งเคมี แต่แค่ชอบ จากนั้นก็มาสอบเป็นครู ทำไปทำมาดันชอบเป็นครูซะงั้น เราก็เลยบอกไปว่าเรายังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจริงๆเราชอบอะไร เรารู้แค่เราไม่ชอบอะไร เค้าก็แนะนำคณะนู่นนี่มา ซึ่งเราก็บอกว่าจริงๆก็มีในใจอยู่คณะนึงคืออักษร เค้าบอกว่า "ก็ดีนะ เราอยากไปอยู่ต่างประเทศใช่มั้ย ครูว่าถ้าเรียนคณะนี้ก็น่าจะไปได้ดี" เราก็ถามไปว่ามันจะหางานยากมั้ย เค้าก็บอกว่าจริงๆมันยากทุกอาชีพแหละ เอาที่เราชอบดีกว่า แล้วเค้าก็พูดมาประโยคนึงที่ทำให้เราน้ำตาแตก "จริงๆมันไม่ผิดเลยนะที่เรายังไม่รู้ตัวเอง สังคมไทยมันบีบให้เราต้องเร่งรีบ จริงๆเราก็เป็นแค่วัยรุ่นคนนึง" ไม่ใช่เพราะแค่เราซึ้งแต่เป็นเพราะความเฮ็งซวยของประเทศไทย ความเครียดสะสม ค่านิยมที่ล้าสมัย ดีจริงๆ สุดท้ายก็มาถึงปัจจุบัน ณ เวลาที่เรากำลังเขียนระบายลงเว็บนี้ เราตัดสินใจว่า รอคะแนนออก แล้วมาคิดกันใหม่ แล้วถ้าติดคณะอะไรก็ลองเรียนไปก่อนซักเทอมนึง ถ้าชอบก็ลุย ถ้าไม่ก็ซิ่ว ชีวิตเป็นของเรา ใช้ให้คุ้ม

            จริงๆมีหลายเรื่องมากที่เราไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งเรื่องข้อสอบ ทั้งเรื่องที่ว่าเราเคยมีความคิดจะไปเรียนสถาปัตย์ เรื่องวิชาแนะแนวที่ไม่เคยช่วยอะไร และเพื่อนสนิทคนนึงที่เคว้งไม่ต่างจากเรา เรียกได้ว่ามีสอบกี่วิชาเรากับมันสอบแม่งหมด เน้นหว่านไปก่อน สุดท้ายนี้เราแค่อยากมาระบายเฉยๆว่าชีวิตม.6เราต้องเจอกับอะไรบ้าง ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน (ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีมั้ย) เป็นการเขียนระบายที่พิมพ์ไปร้องไห้ไป เราเหนื่อยมากจริงๆ ไว้เราจะมาอัปเดตเรื่อยๆนะคะ ช่วงนี้เราว่างมาก ไปเที่ยวก็ไม่ได้ไปเพราะโควิดระบาด ขอให้ทุกๆคนปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หรือถ้าใครกำลังเคว้งแบบเราก็ขอให้เจอแสงสว่าง เจอทางไปต่อ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
KK. (@KKstory)
ว่าจะไปเรียนต่อไต้หวันเหมือนกัน(ต่อโท) เราก็อยู่ต่างจังหวัดเหมือนกัน เรื่องตราปั้มเราคือใช้เงินแก้ปัญหาไปเลย(หลายพันเลย)ก็ให้เอเจนซี่ติดต่อให้

จริงอยู่นะว่างานหายาก แต่คณะที่ว่ามาเกี่ยวกับTech น่าจะไปได้ไกล ส่วนตัวเราเรียนวิศวะมาก็จบแบบดักดานมาก ฟิสิกส์ไม่ชอบ แคลไม่โอจบมาได้ก็บุญ

เป็นกำลังใจให้นะ การเรียนมันยาก ส่วนการใช้ชีวิตก็ยากกว่า
JINNY (@littlemissJinny)
@KKstory เพิ่งได้เข้ามาดุ ขอบคุณมากๆนะคะ ตอนนี้เรากำลังเอาเอกสารเก่ามาดู แล้วก็เรียบเรียงessaysให้เป็นปัจจุบันอยู่